ตอนที่ 19 หลิวฉางเหอมือหนึ่งแห่งจวนผู้กล้า

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 19  หลิวฉางเหอมือหนึ่งแห่งจวนผู้กล้า

หลังจากเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนปรึกษาหารือกันเรียบร้อย สุดท้ายจึงตัดสินใจจะจัดงานแต่งตั้งผู้สืบทอดหญิงหลังจากจบงานประลองของทั้งสองสำนักแล้ว

ประการแรก เนื่องจากการบำเพ็ญเพียรของลู่อู๋ซวงยังอ่อนด้อยอยู่ หากทำพิธีแต่งตั้งก่อนเมื่อถึงวันงานประลอง ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจะต้องยื้อแย่งเพื่อที่จะปะมือกับลู่อู๋ซวงเป็นแน่

ถึงตอนนั้นหากชนะก็คงจะมิเป็นไร แต่หากแพ้ขึ้นมาเท่ากับเป็นการทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต้องอับอายขายหน้าทั้งสำนักเลยทีเดียว

อีกอย่างพวกเขายังต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสที่พำนักในเมืองเสี่ยวฉือผู้นั้น

พวกเขามองว่าการผูกสัมพันธ์กับยอดคนเช่นนี้มิอาจจะรีบร้อนได้ มิเช่นนั้นผลที่ได้รับอาจจะตรงกันข้ามจากที่พวกเขาคิดไว้ก็เป็นได้

เมื่อทุกคนจากไปแล้ว ตำหนักกระบี่ในตอนนี้จึงเหลือเพียงนักพรตฉางเสวียนและนักพรตหยวนเจี้ยนเพียง 2 คนเท่านั้น

“ศิษย์น้องหยวนเจี้ยน ข้าเตรียมจะลงเขาไปพบผู้อาวุโสท่านนั้นในวันรุ่งขึ้น”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและเป็นกังวล

เพราะเขายังมิรู้ว่ายอดคนท่านนั้นแท้จริงแล้วมีนิสัยเช่นไร จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านเตรียมใจพร้อมแล้วใช่หรือไม่ ? ” นักพรตหยวนเจี้ยนเอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนด้วยท่าทีขึงขัง

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้า “เพื่อภายภาคหน้านับหมื่นปีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ข้าต้องลองเสี่ยงดู”

เวลานั้นเองลู่อู๋ซวงก็ได้รีบร้อนเดินเข้ามาภายในตำหนัก

“ศิษย์อู๋ซวง คาราวะท่านเจ้าสำนัก คาราวะอาจารย์เจ้าค่ะ” ลู่อู๋ซวงคำนับลงเล็กน้อย

หลังได้เห็นลู่อู๋ซวง สีหน้าวิตกกังวลของนักพรตฉางเสวียนก็ลดน้อยลงไปในพริบตา ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “อู๋ซวง ผู้อาวุโสที่เร้นกายพำนัก ณ เมืองเสี่ยวฉือมีนิสัยเป็นเช่นไรหรือ ? ”

“เจ้าสำนัก ท่านเตรียมที่จะไปพบผู้อาวุโสเย่หรือเจ้าคะ ? ” ดวงตาสีดำขลับของลู่อู๋ซวงกะพริบปริบ ๆ พร้อมเอ่ยถามขึ้น

นักพรตหยวนเจี้ยนเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเร่งเอาคำตอบ “อู๋ซวง ศิษย์พี่ฉางเสวียนถามเจ้าอยู่นะ”

ฉับพลันสมองของลู่อู๋ซวงก็บังเกิดรูปร่างที่งดงาม ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

“เป็นคนเรียบง่ายเจ้าค่ะ”

ลู่อู๋ซวงใช้คำนี้บรรยายถึงผู้อาวุโสเย่ที่อยู่ในใจของนาง

นักพรตฉางเสวียนและนักพรตหยวนเจี้ยนสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ “อู๋ซวงยังเด็กนัก ผู้อาวุโสท่านนั้นคงเห็นพรสวรรค์ในตัวของนาง จึงมีท่าทีที่ดีต่อนางแต่ข้ามิเหมือนกัน ข้าอายุปูนนี้แล้วย่อมมีหลายอย่างที่ต่างออกไป”

นักพรตหยวนเจี้ยนพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ฉางเสวียน คำโบราณกล่าวไว้ว่า เดินทางพันลี้เพื่อมอบขนหงส์1 ท่านไปคาราวะผู้อาวุโสครั้งนี้อย่าลืมนำของขวัญไปมอบให้ด้วยนะขอรับ”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปมองลู่อู๋ซวงพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าเตรียมของขวัญเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยพรุ่งนี้ข้าจะพาอู๋ซวงไปด้วย มีคนแนะนำ โอกาสสำเร็จน่าจะมากกว่าไปเองเพียงลำพัง”

“ศิษย์พี่คิดได้รอบคอบนัก” นักพรตหยวนเจี้ยนเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

……………………..

ยามเที่ยงวันรุ่งขึ้น ลู่อู๋ซวงก็ได้มายังตำหนักไท่เสวียนตามเวลาที่นักพรตฉางเสวียนบอกเอาไว้

นับตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญตน ลู่อู๋ซวงก็ไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวเท่าไหร่นัก แต่เพราะจะไปพบกับผู้อาวุโสเย่ในวันนี้ นางจึงได้แต่งกายสวยงามสะดุดตา

นางเปลี่ยนไปสวมกระโปรงยาวสีม่วงที่ดูเรียบร้อย ใบหน้ารูปไข่ที่งดงามนั้นถูกแต่งแต้มอ่อน ๆ ดูแล้วมิเหมือนผู้บำเพ็ญตนเช่นปกติ แต่ดูมีเสน่ห์เช่นหญิงสาวทั่วไปแทน

ดูแล้วช่างน่ามองมิน้อย

“ศิษย์ลู่อู๋ซวงคาราวะท่านเจ้าสำนักเจ้าค่ะ” ลู่อู๋ซวงคำนับนักพรตฉางเสวียน

นักพรตฉางเสวียนกวาดตามองลู่อู๋ซวงครู่หนึ่ง ดูพอใจกับการแต่งกายของลู่อู๋ซวงไม่น้อย

เขาเองก็เปลี่ยนเป็นชุดคลุมที่เรียบง่ายเช่นกัน ดูเหมือนชายชราที่ใจดีคนหนึ่งเท่านั้น

“อู๋ซวง จำไว้นะหากอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสเจ้าอย่าได้เรียกอาจารย์ว่าเจ้าสำนักเด็ดขาด บอกว่าข้าเป็นผู้อาวุโสในครอบครัวของเจ้าก็พอ” นักพรตฉางเสวียนกำชับลู่อู๋ซวง

ลู่อู๋ซวงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ

จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกมาจากตำหนักไท่เสวียน โดยนักพรตฉางเสวียนเดินนำออกมาก่อน จากนั้นจึงแปลงกายเป็นสายรุ้งเหาะไปทางเมืองเสี่ยวฉือทันที

ขณะเดียวกันที่เมืองเสี่ยวฉือก็มีคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งปรากฏกายขึ้น

ชายชราใบหน้าคมคาย รูปร่างผอมบางในชุดสีดำ พร้อมชายวัยกลางคนท่าทางองอาจอีกสี่คนได้ปรากฏกายขึ้นที่ทางตะวันออกของเมืองเสี่ยวฉือ

“ท่านหลิว ดูเหมือนมีบางอย่างแปลก ๆ ขอรับ หลังจากเข้ามาในเมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้ ดูเหมือนมิสามารถใช้ยันต์ติดตามตัวองค์หญิงเก้าได้เลยขอรับ” ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งกระซิบกับชายชราในชุดดำ

ชายชราในชุดดำขมวดคิ้วที่ขาวโพลนขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหนวดพลางมองไปรอบ ๆ “น่าแปลก ครั้งก่อนตอนที่ผ่านเมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้ มีคลื่นปราณเพียงบางเบาเท่านั้น แต่เพียงแค่มิกี่ปีคลื่นปราณของที่นี่มิเพียงมิมลายหายไป แต่กลับเข้มข้นกว่าเดิมมากทีเดียว”

“และที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ ที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นปราณมากมายอีกด้วย หรือว่าใต้ผืนดินที่นี่จะมีของวิเศษบางอย่างซ่อนเอาไว้เช่นนั้นหรือ ? ” ชายชราในชุดดำเม้มริมฝีปากแน่น ท่าทางเต็มไปด้วยความสงสัย

“เมืองเสี่ยวฉือเป็นหนึ่งในแดนจิตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน อาจเป็นไปได้ขอรับ” ชายวัยกลางคนอีกคนเอ่ยสนับสนุน

“ท่านหลิว” ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเหลี่ยมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

ชายชราในชุดดำมองชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเหลี่ยม แล้วพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้เป็นแดนจิตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน บางทีอาจมีการจัดวางบางอย่างเพื่อสกัดการใช้ยันต์ก็เป็นได้”

“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้าแยกกันไปค้นหาทั้งสี่ทิศ แต่ต้องจำไว้ว่าอย่าใช้กำลังเด็ดขาด ระวังน้ำเสียงที่ใช้ถามชาวบ้านด้วย”

ชายวัยกลางคนทั้งสี่สบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหมุนตัวก่อนกระจายกันไป

หลังจากทั้งสี่คนจากไปแล้วชายชราชุดดำก็หลับตาลงเพื่อสำรวจถึงสิ่งที่อยู่รอบกายอีกครั้ง ก่อนจะพึมพำขึ้นมาว่า “คลื่นปราณของที่นี่กระจายออกมาจากบางแห่ง แต่เมืองเล็ก ๆ นี้มีค่าพอให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนฝังของวิเศษไว้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งชายชราในชุดดำก็สัมผัสได้ถึงคลื่นปราณที่กระจายออกมา

ก่อนที่ชายชราในชุดดำจะปรากฏตัวอยู่บนถนนเส้นหนึ่งโดยมิรู้ตัว ในตอนนั้นเองลู่อู๋ซวงและนักพรตฉางเสวียนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ที่ทางเข้าของถนนเส้นนี้เช่นกัน

ชายชราในชุดดำชะงักเท้าลงทันทีราวกับรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง พลางมองนักพรตฉางเสวียนด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“ท่านคือ…” ชายชราในชุดดำสบตากับนักพรตฉางเสวียนครู่หนึ่ง พร้อมกับมีท่าทีอึกอัก

นักพรตฉางเสวียนก็เหมือนจะสัมผัสบางอย่างได้จากชายชราในชุดดำเช่นกัน ก่อนจะถามเบา ๆ ว่า “หรือว่าท่านคือมือหนึ่งแห่งจวนผู้กล้า หลิวฉางเหอ ? ”

คำถามตรง ๆ ของนักพรตฉางเสวียน ทำให้ชายชราในชุดดำหลิวฉางเหอมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบประสานมือคาราวะทันที “ข้ามิได้มีเจตนาที่จะบุกรุกเข้ามาในแดนจิตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน”

หลิวฉางเหอพูดเพียงเท่านั้น แต่นักพรตฉางเสวียนกลับแค่นเสียงเอ่ยออกมาด้วยความมิพอใจว่า “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนและแคว้นต้าเยี่ยนได้ทำข้อตกลงกันไว้ หากคนในราชวงศ์ต้องการเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน จะต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน ท่านเป็นถึงคนของจวนผู้กล้า มิรู้กฎข้อนี้หรือเยี่ยงไร ? ”

“ท่านเซียน ข้ามีความจำเป็นจริง ๆ…”

หลิวฉางเหอพูดไม่ทันจบ นักพรตฉางเสวียนก็เอ่ยขัดขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ไว้หน้า “รีบกลับไปซะ มิเช่นนั้นเจ้าคงจะรู้ผลลัพธ์ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ! ”

“ท่านเซียน องค์หญิงเก้าของเราอาจจะอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้ขอรับ”

“หืม ? ”

1 เดินทางพันลี้เพื่อมอบขนหงส์ เป็นสำนวนมีความหมายว่า แม้สิ่งของที่มอบให้จะไร้ซึ่งราคาแต่กลับมากด้วยไมตรี