“สหายเซียนจิน เชิญเดินมาทางด้านนี้ ข้าจะพาท่านไปทำความคุ้นเคย” เสื้อหลัวซาน[1]ปักลวดลายงดงาม หยกประดับไข่มุกล้ำค่า ทุกความเคลื่อนไหวมีดอกกล้วยไม้ที่เปลี่ยนรูปมาจากพลังวิญญาณวาบผ่าน กลิ่นหอมบางเบาแผ่กำจาย คนงามดุจเทพธิดา
จินเฟยเหยาเดินติดตามด้านหลังคนงามเช่นนี้ รู้สึกว่าเงาร่างของตนเองปลิวกระจายในรัศมีเจิดจรัสของนาง ไม่รู้สึกถึงการคงอยู่เลยสักนิด
“สหายเซียนจิน นี่คือเรือนสี่สิบสี่ที่เจ้าอยู่ อย่าได้รู้สึกว่าชื่อของเรือนนี้ไม่น่าฟัง เพียงเพราะมีเรือนมากเกินไป ถ้าไม่จัดลำดับเช่นนี้ เกรงว่าคงค้นหาได้ยาก ข้าอยู่เรือนที่สิบห้า มีเวลาว่างก็มาหาข้าบ่อยๆ ได้ เพียงเดินตามหมายเลข ก็สามารถหาเรือนที่สิบห้าได้อย่างสบายๆ” คนงามคล้ายจะยิ้ม หยุดอยู่หน้าประตูเรือน
จินเฟยเหยาฟังคำพูดของนาง ยิ่งไม่มีอะไรจะกล่าว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะหาเรือนที่สิบห้าได้อย่างสบายๆ
คนงามเบื้องหน้าชื่อหลิ่วฉี่ปอ เป็นคนแรกในสำนักที่นางคบหาหลังจากเข้าร่วมสำนักเฉวียนเซียน จินเฟยเหยากลับมาจากหุบเขาร้อยหนอนแมลง ทำเงินได้หกเจ็ดพันศิลาวิญญาณ หลังจากคืนบ้านให้กับอาคารที่พักอาศัย นางก็ตรงมาที่สถานที่รับคนของสำนักเฉวียนเซียน ดำเนินการเข้าสำนักเฉวียนเซียน ณ จุดรับสมัครที่สำนักเฉวียนเซียนแล้วเสร็จ ได้รับแผ่นหยกที่เขียนว่าสี่สิบสี่ ก็นั่งรถม้ามาถึงสถานที่ซึ่งคนในสำนักเฉวียนเซียนอยู่อาศัยในเมืองลั่วเซียน
แค่อาศัยป้ายหยกในมือ นางเดินเข้าประตูใหญ่ที่เลี่ยมเงินและทอง มีหยกสลักรูปสัตว์ภูติขนาดยักษ์ตั้งอยู่ ทั้งยังเต็มไปด้วยพืชและดอกไม้หายาก สำนักใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีแม้แต่คนเฝ้าประตู คนในสำนักที่เข้าออกก็ไม่มีใครคิดจะถามและอยากยุ่งเรื่องคนอื่นสักคน
หลังจากเข้ามาแล้วนางจึงพบว่า สถานที่ที่สำนักเฉวียนเซียนแบ่งให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณในสำนักอยู่อาศัยใหญ่มากจริงๆ สถานที่เข้าสำนักคือสวนขนาดร้อยจั้ง ในสวนมีดอกไม้สดอยู่ทั่วบริเวณ มีผีเสื้อสีสันสดใสร่ายรำ มีประตูโค้งสิบกว่าประตูตั้งอยู่ในสวน ทำให้จินเฟยเหยาไม่รู้จะไปทางไหน
ไม่มีแม้แต่ป้ายบนประตูโค้ง นางเลือกเข้าไปในประตูที่สี่ ผู้ใดให้ตนเองได้เรือนที่สี่สิบสี่เล่า ถึงจะไม่น่าฟังสักหน่อย ทว่าก็น่าจะเข้าทางประตูโค้งที่สี่
ผู้ใดจะรู้ว่าในประตูโค้งจะมีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ภายในสวนดอกไม้ยังมีประตูโค้งอีกสิบกว่าประตู สุ่มเข้าไปเลือกประตูหนึ่ง ด้านในมีสระบัว นางเดินวนไปวนมาอยู่ในลานบ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า หาเรือนพบหลายหลัง ทว่าทั้งหมดไม่ใช่เรือนสี่สิบสี่ที่นางต้องการ
หลังจากจินเฟยเหยาสงสัยอย่างหนักว่าตนเองเดินเข้าวงเวทและรอบด้านทั้งหมดเป็นภาพลวงตา หลิ่วฉี่ปอก็ปรากฏตัวขึ้นดุจเทพธิดา หลิ่วฉี่ปอไม่เหมือนคนในสำนักคนอื่นๆ ที่เร่งรีบจากไปโดยไม่รอให้จินเฟยเหยาถามทาง เห็นนางยืนอยู่ในลานบ้านด้วยท่าทางโง่งม ก็เดินเข้ามาถาม
หลังจากรู้ว่าจินเฟยเหยาหลงทาง หลิ่วฉี่ปอก็พานางมาที่เรือนที่สี่สิบสี่อย่างใจดี ทั้งยังอธิบายเรื่องที่พักอาศัยของสำนักเฉวียนเซียนให้นางฟังไม่น้อย
อาณาเขตของที่นี่กว้างใหญ่มาก ทั้งยังมีสวนดอกไม้ใหญ่ซ้อนสวนดอกไม้เล็ก เพื่อความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยของบรรดาคนในสำนัก คนในสำนักทั้งหมดล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ แต่ละคนล้วนมีความลับของตน ดังนั้นถึงแม้จะอยู่เรือนเดียวกัน กลับไม่ติดต่อกัน ดังนั้นเข้ามาเป็นครั้งแรกก็ต้องหลงทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากนั้นหลิ่วฉี่ปอก็บอกจินเฟยเหยาว่าเรือนสี่สิบสี่ไม่เพียงเป็นที่พักอาศัยของนางยังเป็นหมายเลขกลุ่มเล็กๆ ที่นางสังกัดด้วย ทุกปีสำนักเฉวียนเซียนจะรับสมัครคนจำนวนนับไม่ถ้วน ปริมาณผู้บำเพ็ญเซียนอิสระไม่ถึงหมื่นก็น่าจะมีอยู่หลายพัน ถ้าไม่แบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ก็ไม่มีทางจัดการได้ และแต่ละกลุ่มก็มีหัวหน้ากลุ่ม โดยปกติงานทั้งหมดสามารถไปหาหัวหน้ากลุ่มโดยตรงได้
มองหลิ่วฉี่ปอเดินจากไปอย่างนุ่มนวล จินเฟยเหยาเห็นตัวเองต้องอยู่เรือนที่สี่สิบสี่ มีประตูเรือนโค้งและไม่มีประตูใหญ่ ทว่ากลับถูกม่านแสงสกัดไว้ มองไม่เห็นทิวทัศน์ในเรือน นางรู้ นี่คือม่านแสงที่สร้างขึ้นจากคาถาป้องกันที่มีประสิทธิภาพไม่เลว คาถาป้องกันในบ้านเล็กๆ ของตนเองเมื่อก่อนมีก็ไม่ต่างกับไม่มี ใช้แผ่นหยกในมือเปิดม่านแสง จินเฟยเหยาเดินเข้าไปในเรือน ในเรือนที่สี่สิบสี่เป็นบ้านที่มีขนาดประมาณห้าหมู่ ในเรือนมีประตูโค้งเล็กๆ ยี่สิบประตู ท่าทางกลุ่มหนึ่งมีคนมากที่สุดยี่สิบคน สร้างสระเล็กๆ ขนาดหนึ่งหมู่กว่าไว้ตรงกลางเรือน ปลูกบัวสายหลายต้น ข้างสระปลูกต้นหลิวขนาดใหญ่ไว้สามต้น ใต้ต้นไม้มีโต๊ะศิลาสองตัววางอยู่ บนโต๊ะศิลายังมีหมากล้อมที่เดินไว้ครึ่งหนึ่ง มุมหนึ่งปลูกดอกไม้สด ยังมีหินแปลกๆ และภูเขาจำลองจัดวางอยู่ไม่น้อย ยามนี้ในเรือนไม่มีคน รู้สึกเงียบสงบอย่างยิ่ง
ประตูโค้งยี่สิบประตูมีเพียงสิบเอ็ดประตูที่มีม่านแสง ที่เหลือทั้งหมดว่างเปล่า นางยืนอยู่ในเรือนครู่หนึ่ง ก็ไม่มีคนออกมาจากในม่านแสง จินเฟยเหยาได้แต่หาเรือนหลังหนึ่งที่ไม่มีม่านแสงเดินเข้าไปเอง
เรือนเล็กกินบริเวณประมาณสองหมู่ ด้านหน้ามีสามห้อง ห้องหนึ่งเป็นห้องฝึกบำเพ็ญ ที่เหลืออีกสองห้องแบ่งเป็นห้องหลอมยาและห้องเลี้ยงสัตว์ ห้องชั้นล่างสามห้องทั้งหมดสร้างขึ้นจากศิลา คาดว่าเพื่อความสะดวกในการฝึกบำเพ็ญและเลี้ยงสัตว์ ส่วนชั้นบนมีหนึ่งห้องเป็นเพียงห้องไม้ธรรมดา ใช้สำหรับอยู่อาศัยในชีวิตประจำวันทั่วไป
ในเรือนนอกจากห้องด้านหน้ายังมีพื้นที่ปูด้วยแผ่นหินเขียวเล็กๆ เชื่อมทางน้อยแผ่นหินเขียวและประตูเรือนเข้าด้วยกัน สถานที่อื่นๆ ทั้งหมดสามารถทำแปลงสมุนไพรปลูกพืชวิญญาณได้
จินเฟยเหยามองดูห้องทั้งหมดรอบหนึ่ง ค่อนข้างพอใจห้องเหล่านั้น ดีกว่าบ้านเล็กๆ ที่ราคาห้าสิบศิลาวิญญาณต่อปีมากนัก ทั้งยังไม่ต้องเสียศิลาวิญญาณสักนิด ที่ดียิ่งกว่านั้นคือพลังวิญญาณที่นี่มีระดับคุณภาพถึงบ้านสีเขียวในอาคารที่พักอาศัย เช่นนี้ยิ่งเป็นผลดีต่อการฝึกบำเพ็ญ
เพียงแต่นางไม่มีคาถาป้องกัน ท่าทางตนเองต้องไปซื้อวงเวทสักอัน ถึงแม้ภายในห้องชั้นบนจะมีเครื่องเรือน ทว่ากลับไม่มีของใช้ในชีวิตประจำวัน นางยังต้องออกไปอีกรอบ
จินเฟยเหยาวกกลับออกไป ตอนกลับมาก็หอบสิ่งของมาด้วย เพิ่งเข้าเรือนก็พบผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษสองคนในเรือนกำลังเดินหมากล้อมอยู่ใต้ต้นหลิว เห็นนางเปิดคาถาป้องกันเข้ามาในเรือนก็หยุดลงพินิจพิจารณานาง
“สวัสดีสหายเซียนทั้งสอง ข้าชื่อจินเฟยเหยาเป็นผู้มาใหม่ ต่อไปต้องขอคำชี้แนะด้วย” จินเฟยเหยายิ้มให้ทั้งสองคนอย่างใจกว้าง
ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสอง คนหนึ่งดูแล้วอายุเกินร้อยกว่า มีสีหน้าใจดี อีกคนหนึ่งมีสีหน้าเย็นชา ทว่ายังพยักหน้าให้จินเฟยเหยา
ชายชราลูบหนวดเครายาวที่หงอกขาว กวักมือเรียกจินเฟยเหยา “สหายเซียนน้อย มานั่งนี่ ลิ้มรสชาดีที่ข้าเพิ่งชงเสร็จ”
จินเฟยเหยายิ้มแล้วเดินไปหา เดิมทีนางเพียงแค่คิดจะผูกสัมพันธ์กับผู้อยู่ร่วมเรือนเท่านั้น อีกทั้งจะได้สอบถามสภาพการณ์ของกลุ่มสี่สิบสี่ได้พอดี
นางนั่งลงด้านหน้าโต๊ะศิลา ชายชราเทชาลงในถ้วยหยกให้นางถ้วยหนึ่ง จินเฟยเหยารับถ้วยชาหยกมันแพะมา กลิ่นหอมของชาพุ่งมาปะทะจมูก สีชาเป็นสีอำพัน แฝงรสขมนิดๆ รสที่ยังกรุ่นในปากหวานสดชื่น ชิมเบาๆ คำหนึ่ง นางก็อดเอ่ยชื่นชมไม่ได้ “ชาดี ในความขมมีความหวาน รสชาติยังกรุ่นในปาก”
“คิดไม่ถึงว่าสหายเซียนอายุยังน้อย ก็สามารถลิ้มรสกลิ่นอายของชานี้ออก” ชายชราลูบหนวดเคราหยักหน้าเอ่ยเบาๆ
จินเฟยเหยารีบโบกไม้โบกมือ “ไม่มีเรื่องเช่นนั้น ข้าจะแยกแยะชาได้ที่ไหน เพียงแค่รู้สึกว่ารสดี บอกอะไรไม่ได้” ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองเพิ่งซื้อขนมมา จึงนำออกมาอย่างไม่ขัดเขิน “ข้าไม่รู้ว่าดื่มชานี้แล้วกินขนมได้หรือไม่ นี่เป็นขนมที่ข้าเพิ่งซื้อกลับมา รสชาติพอไหวไม่มันเลี่ยนเกินไป”
นางนำปิ่ง[2]ไส้เถาฮวา[3]สีชมพูที่ห่อในกระดาษน้ำมันออกมา แล้วหาจานใส่ เข้ากับน้ำชาชั้นดีของชายชรา ดึงดูดใจคนเป็นพิเศษ
ดื่มชาไปสองถ้วย ชายชราจึงเริ่มแนะนำตนเอง “พวกเรารวมทั้งเจ้าในเรือนนี้ ทั้งหมดมีเพียงสิบสามคน คนที่เหลือทั้งหมดล้วนไปทำภารกิจกับหัวหน้ากลุ่ม ข้าแซ่เวิง ทุกคนเรียกข้าว่าเวิงเหล่า ส่วนท่านนี้คือสหายเซียนหลิว หลิวเกาอี้ เจ้าอย่าเห็นว่าเขามักจะมีท่าทางเย็นชา จิตใจกลับไม่เลวร้าย ก่อนหน้านี้พวกเราสองคนเพิ่งทำภารกิจกลับมา ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ต้องติดตามทุกคนไปด้วย”
“ผู้อาวุโสเวิง ผู้อาวุโสหลิว” จินเฟยเหยายืนขึ้นประสานมือคารวะคนทั้งสอง สองคนนี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลาย อายุเยอะกว่านางมาก เรียกพวกเขาสองคนว่าผู้อาวุโส ไม่ถือว่าเสียเปรียบ
เวิงเหล่าหัวเราะฮาๆ “สหายเซียนน้อยไม่ต้องเกรงใจเกินไป พวกเราล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ทั้งยังเป็นสมาชิกกลุ่มเดียวกัน ไม่ต้องเรียกผู้อาวุโสหรอก ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงกลางของสหายเซียนน้อย เรียกพวกเราว่าผู้อาวุโส หากสหายเซียนคนอื่นๆ กลับมาจะไม่ถูกเจ้าดึงต่ำลงมารุ่นหนึ่งหรือ”
“จะว่าไปก็จริง เช่นนั้นข้าจะไม่เรียกผู้อาวุโสให้ท่านทั้งสองลำบากใจ” จินเฟยเหยาเองก็ยิ้ม มีเพียงสหายเซียนหลิวที่ยังมีสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม ดื่มชาราวกับไม่ได้นั่งด้วยกันกับพวกเขาสองคนแม้แต่น้อย นิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถึงแม้ท่าทางของเขาจะเย็นชา ทว่าจินเฟยเหยาไม่รู้สึกถึงการถูกดูหมิ่นจากร่างของเขา ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจ
คุยกับเวิงเหล่าในลานเรือนอยู่นาน นางก็สอบถามสภาพการณ์ภายในกลุ่มสี่สิบสี่อย่างชัดเจน นอกจากนาง ในกลุ่มยังมีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีอีกหนึ่งคน ทว่าแต่งงานเป็นสามีภรรยากับผู้บำเพ็ญเซียนอีกคนไปนานแล้ว
มิน่าเล่าก่อนหน้านี้จินเฟยเหยาจึงรู้สึกแปลกๆ มีสิบสองคนชัดๆ กลับมีเพียงสิบเอ็ดเรือนที่มีคาถาป้องกัน ที่แท้มีคู่หนึ่งเป็นสามีภรรยา ดังนั้นจึงใช้เรือนร่วมกัน
ส่วนหัวหน้ากลุ่มคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายอย่างสมบูรณ์คนหนึ่ง ได้ยินว่าเป็นมิตรกับผู้อื่น และไม่ด่าทอสมาชิกโดยไร้สาเหตุ เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยาโล่งอก นางกลัวว่าจะพบหัวหน้ากลุ่มที่นิสัยประหลาด ถึงตอนนั้นเอาแต่โหดร้ายอำมหิตทั้งวัน คงทำให้จิตใจคงตึงเครียด
ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ เวิงเหล่าไม่ได้เอ่ยถึงอย่างเจาะจง ไม่ใช่แม่สื่อแม่ชักจึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาหมด เพียงแต่ให้จินเฟยเหยารอคนทั้งหมดกลับมาก็จะรู้เอง
พูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง ดื่มน้ำจนเต็มท้อง จินเฟยเหยารู้สึกว่าตนเองสมควรลุกขึ้นกล่าวอำลาแล้ว เวิงเหล่าและหลิวเกาอี้ยังมีหมากล้อมอีกครึ่งกระดานที่ยังเดินไม่จบ และไม่อาจทิ้งนางไว้ด้านข้างโดยไม่สนใจ ดังนั้นนางจึงยืนขึ้นกล่าวอำลาอย่างรู้ตัว เพียงบอกว่าตนเองเพิ่งมา ยังไม่ได้จัดการเรือนพักให้เรียบร้อย
เวิงเหล่าหัวเราะหึหึบอกให้นางรีบไป ยังบอกว่าตนเองฝืนฉุดลากนางมาดื่มชาทำให้นางต้องเสียเวลา และยังบอกนางว่าอีกว่า ทุกวันจะมีคนมาส่งอาหาร อยากรับประทานอะไรก็สามารถสั่งได้ กล่องอาหารทั้งหมดจะมาส่งที่สวนด้านนอก ถ้าจะกินก็ออกมาหิ้วไปก็พอ
จินเฟยเหยากล่าวขอบคุณพวกเขาสองคน แล้วกลับมายังเรือนเล็กของตนเอง
ที่สำคัญที่สุดคือต้องใส่คาถาป้องกันก่อน นางใช้เงินก้อนใหญ่เป็นศิลาวิญญาณชั้นล่างห้าร้อยก้อนซื้อวงเวทหกก้าวห้าสะบั้นมาชิ้นหนึ่ง ถึงแม้ชื่อจะฟังดูดุร้ายอย่างยิ่ง ที่จริงในวงเวทแค่ถือว่าเป็นของคุณภาพชั้นกลางไปทางต่ำ ต่อไปถ้ามีเวลา จินเฟยเหยาคิดว่าต้องสร้างวงเวทขึ้นเองจึงจะใช้ได้ สิ่งของนี้อาศัยการซื้อเพียงอย่างเดียวไม่ได้ วงเวทที่มีคุณภาพสุดยอดล้วนแล้วแต่ราคาสูงลิบ ทั้งยังได้แต่รอโชควาสนา
ตามคำอธิบายบนแผ่นหยก นางนำธงเล็กๆ หกสีจำนวนยี่สิบสี่ผืนเสียบไว้ในตำแหน่งที่กำหนด จากนั้นก็ขับเคลื่อนวงเวทธง ม่านแสงสีเหลืองสายหนึ่งปรากฏขึ้นในเรือน ขวางอยู่ตรงประตูเรือนอันว่างเปล่า เรือนนี้ก็ถือว่าเป็นพื้นที่เล็กๆ ของนางแล้ว
[1] เสื้อหลัวซาน คือ เสื้อที่ทอจากผ้าไหมบางและเบาดุจปีกจักจั่น
[2] ปิ่ง คือ แป้งทอดใส่ไส้มีลักษณะแบนๆ
[3] เถาฮวา คือ ดอกท้อ