บทที่ 9 ยกให้ข้าเถิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 9 ยกให้ข้าเถิด Ink Stone_Romance

ซ่งชูอีหรี่ตามองค่ำคืนฝนตกที่มืดสนิท วิสัยทัศน์ไม่ค่อยดีนัก ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่ผสมกันอยู่ในสายฝน ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเหมือนกับเห็นนายทหารเสื้อเกราะแตกเสียหายหลายนาย กำลังประคองคนในเสื้อเกราะสีเงินนายหนึ่งเดินตรงมาทางนี้

ดูจากเครื่องแบบของพวกเขาแล้วเหมือนเป็นทหารรัฐเจ้า ซ่งชูอีอ้าปากค้าง…ไม่จริงมั้ง! กองกำลังเยอะกว่าอีกฝ่ายตั้งครึ่งหนึ่งยังพ่ายแพ้อีกหรือ? ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพศเช่นนี้?

เงาของคนเหล่านั้นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แสงไฟเริงระบำอยู่บนตัวผู้มาเยือน ทำให้เสื้อเกราะที่เยือกเย็นนั้นได้รับความอบอุ่นขึ้นมาบ้าง ครั้นพวกเขาเข้ามาใกล้แล้ว ซ่งชูอีจึงเห็นอย่างชัดเจนว่ามีทั้งหมดเจ็ดคน

หกคนสวมเครื่องแบบนายทหาร คนหนึ่งคอยดูทางอยู่ด้านหน้า สองคนข้างหลังพยุงแม่ทัพนายหนึ่งในเสื้อเกราะสีเงิน อีกสามคนอยู่ท้ายสุด รูปแบบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเพื่อป้องกันการถูกไล่ล่า

“นี่! พวกเจ้าสองคนรีบออกไปเสีย!” นายทหารที่อยู่ด้านหน้าสุดกล่าวเสียงดัง

เจ้าอี่โหลวได้ยินแล้วก็ดึงตัวซ่งชูอีที่ไม่ไหวติง

สายฝนฤดูใบไม้ร่วงหนาวเหน็บเข้ากระดูก ทั้งนายทหหารและแม่ทัพต่างได้รับบาดเจ็บ รออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสองคนที่สภาพดูไม่ได้ข้างกองไฟไม่มีท่าทีจะจากไป น้ำเสียงก็เจือปนความโมโห “ยังไม่ไสหัวไปอีก!”

ซ่งชูอีหันหลังให้พวกเขา ขยี้ผม ปิดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง นางต้องการจะทำตัวสูงส่งเสียหน่อย จะแสดงใบหน้าอันอ่อนเยาว์เช่นนี้ได้เยี่ยงไร!

เจ้าอี่โหลวนึกว่าเพื่อความปลอดภัย จึงรีบขยี้ผมของตัวเองเช่นกัน แต่กลับถูกซ่งชูอีตบไปหนึ่งที “เจ้าขยี้อะไร!”

“ข้าหน้าตาดีกว่าเจ้า เผยใบหน้าให้เห็นไม่ยิ่งอันตรายกว่ารึ” เจ้าอี่โหลวกระซิบด้วยความจริงใจ

“โถ่เอ๊ย แต่เจ้าเป็นผู้ชายนะ!” ซ่งชูอีโมโห แต่ถึงอย่างไรเขาก็ดูดีกว่านางเป็นสิบเท่าจริงๆ

แต่ว่าซ่งชูอีเห็นว่าทหารนายนั้นกำลังจะวาดดาบ ก็ไม่มีเวลาพูดพร่ำกับเขา กระแอมไอเสียงต่ำ “หากยังไม่รีบรักษาแผลบนตัวของเขา เกรงว่าจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้ พวกเจ้ายังมีเรี่ยวแรงก็รีบประคองเขาเข้ามารักษาให้หายจะดีกว่า”

ซ่งชูอีกกดเสียงต่ำมาก แต่ก็ยังคงมีเสียงที่ไร้เดียงสาเจือปนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรเสียน้ำเสียงและเนื้อหาในคำพูดของนางก็สามารถกลบเกลื่อนไปได้ครึ่งหนึ่ง

ถ้าหากอยู่ในเมืองและผู้พูดเป็นผู้อาวุโสที่พอมีสถานะอยู่บ้างก็จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แต่ว่าท่ามกลางป่ารกร้างเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นคำพูดที่มาจากคนที่อายุยังน้อย ดูเหมือนจะผิดแปลกมาก

นายทหารนิ่งไปชั่วขณะ แม่ทัพที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดพูดขึ้น “พยุงข้าเข้าไป”

เสียงของเขาหนามาก ทำให้ฟังแล้วรู้สึกว่านี่คือบุคคลที่น่าเชื่อถือคนหนึ่ง ซ่งชูอีลุกขึ้น ยัดฟางมัดหนึ่งใส่อ้อมแขนของเจ้าอี่โหลว ทั้งสองคนย้ายตำแหน่งไปด้านข้าง เพื่อให้พื้นที่ว่างแก่พวกเขา

แม่ทัพนั่งลงด้านหน้ากำแพงหิน ค่อยๆ พิงหลัง หันมามองสำรวจซ่งชูอีและเจ้าอี่โหลว เพราะว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าซ่งชูอีกล่าวความจริง ถ้าหากยืดเยื้อต่อไป มันเป็นได้มากว่าเขาอาจไม่รอด

นายทหารสองคนรีบถอดชุดเกราะของแม่ทัพออกอย่างรวดเร็ว เผยร่างกายส่วนบนของเขา

ซ่งชูอีเหลือบมองแวบหนึ่ง ร่างกายแข็งแรงจริงๆ! แต่ว่าไม่ช้าลูกธนูหักที่ปักคาอกของเขาก็ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของนาง ลูกธนูนั้นเพิ่งถูกหักออกไป โผล่พ้นผิวหนังออกมาเพียงนิ้วกว่าๆ และเห็นได้ชัดว่ามันเข้าไปลึกมาก ยากที่จะดึงออกมา

การถูกธนูยิงขณะที่สวมเสื้อเกราะไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จริงไม่ว่าแม่ทัพหรือนายทหาร การใส่เสื้อเกราะก็ไม่สามารถป้องกันของมีคมได้ อย่างเช่นเสื้อเกราะของทหาร มีไว้เพียงปกป้องตำแหน่งที่สำคัญของหน้าอกหน้าท้องและส่วนศีรษะเท่านั้น ตำแหน่งอื่นในร่างกายล้วนถูกปกปิดด้วยผ้าธรรมดา อย่างไรก็ตามแม่ทัพที่มีสถานะสูงกว่าก็จะดีกว่าเล็กน้อย เสื้อเกราะของพวกเขาประกอบด้วยชิ้นเกราะหลายชิ้น เพื่อสร้างเกราะต่อสู้ ไม่เพียงมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ในร่างกายก็ถูกปกป้องจากการถูกทำร้ายอีกด้วย

ถึงกระนั้นก็ยังไม่ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ ชุดเกราะก็มีจุดอ่อนเช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่ามีช่องว่างระหว่างชิ้นเกราะแต่ละชิ้น ถ้าหากลูกธนูถูกยิงโดยมือธนูฝีมือฉมัง ก็สามารถยิงทะลุชุดเกราะผ่านช่องว่างเล็กๆ นี้ได้

“เจ้ารู้วิชาแพทย์รึ?” จู่ๆ ท่านแม่ทัพหันมา จ้องซ่งชูอีเขม็ง

เมื่อเผชิญหน้ากันโดยตรง ซ่งชูอีจึงเห็นอย่างชัดเจนว่าแม่ทัพท่านนี้หน้าตาใช้ได้ คิ้วคมดุจดาบ ดวงตาดุจดวงดารา จมูกเป็นสันตรง หน้าตาหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง

“พอรู้บ้าง” ซ่งชูอีเห็นว่าหน้าตาของคนเหล่านั้นไม่เป็นมิตร จึงยอมรับแต่โดยดี ที่นี่คือพรมแดนระหว่างรัฐฉีและรัฐเจ้า ผู้คนเหล่านี้มีความตื่นตัวสูงมาก ถ้าหากทำตัวเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา ก็จะไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกสังหารภายในช่วงเวลาอันสั้น

“เจ้ามานี่ซิ” แม่ทัพท่านนั้นเอ่ย

สิ้นเสียงของเขา ก็มีคนห้ามปรามทันที “ท่านแม่ทัพ อย่านะขอรับ คนพวกนี้มีพิรุธ”

ในฐานะหมอคนหนึ่ง ไม่ควรตกต่ำเหมือนซ่งชูอีเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกลางป่ารกร้างระหว่างพรมแดนสองรัฐ เหตุใดจึงเจอหมอได้อย่างบังเอิญนัก?

‘ต่อให้พวกเจ้ายอมให้ตรวจ ข้าก็ยังไม่พอใจหรอกนะ!’ ซ่งชูอีอยากด่าทอเหลือเกิน แต่ว่าเพื่อชีวิตน้อยๆ ของตน ก็ได้แต่ข่มเอาไว้ อย่างไรก็ดีเทียบกับการสาปแช่งแล้ว ในเวลานี้นางอยากคว้าตัวแม่ทัพเพื่อถามไถ่ว่าเขาคือผู้นำทัพไร้ประโยชน์ที่ท้าทายฟ้าดินผู้นั้นหรือเปล่า

แม่ทัพท่านนั้นยกมือขึ้นเล็กน้อย ส่งสัญญาณว่าไม่ต้องเป็นกังวล “เข้ามา”

ซ่งชูอีเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง

ในเมื่อนางเดินเข้าไปแล้ว ทหารนายนั้นก็พูดอะไรไม่ได้อีก ได้แต่คอยระวังตัว ทหารนายหนึ่งกล่าวขึ้น “เจ้ามีทางนำลูกธนูหักออกมารึ?”

ซ่งชูอีตอบว่า “อืม” กล่าวกับท่านแม่ทัพ “ต้องล่วงเกินท่านแม่ทัพแล้ว”

พูดจบเห็นว่าเขาไม่คัดค้าน ยื่นมือออกไปลูบคลำบาดแผลบนหน้าอกของเขาอยู่พักใหญ่ พูดขึ้นด้วยความเคารพ “ลูกธนูนี้ปักเข้าไปในร่างกายประมาณสองนิ้ว อีกทั้งยังใกล้หัวใจ ต้องใช้คนที่แข็งแรงดึงลูกธนูออกมา เวลาดึงลูกธนูต้องมั่นคง หลังจากดึงเสร็จแล้ว เรื่องต่อจากนั้นยกให้ข้าเถิด”

ขณะที่ซ่งชูอีบอกว่า “ยกให้ข้า” นั้น สีหน้าสง่างามเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งนางไหวพริบดีมาก รู้ว่าพวกเขาไม่เชื่อใจนาง จึงขอยารักษาและผ้า แล้วถอยกลับไปที่กองไฟ ดึงผ้าเปียกออกมาผิงไฟให้แห้ง จากนั้นก็ให้เจ้าอี่โหลวเอาหม้อมาต้มน้ำให้เดือด คนอื่นเห็นนางเช่นนี้ ก็ไม่อาจละเลยได้ และเริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อดึงลูกธนูแล้ว

“เจ้ารู้วิชาแพทย์รึ?” เจ้าอี่โหลวโน้มตัวเข้ามา กระซิบถาม

ซ่งชูอียิ้มจางๆ ให้ความรู้สึกลึกลับอย่างลึกซึ้ง

เจ้าอี่โหลวเห็นเช่นนี้ก็ไม่ถามอะไรมากอีก แม้แต่เรื่องขบวนทหารนางยังเข้าใจ เข้าใจวิชาแพทย์บ้างมีอะไรน่าแปลก?

ทางนั้นกำลังดึงหัวลูกธนูออกมาอย่างหน้าสิ่วหน้าขวาน ทุกคนต่างรู้สึกตึงเครียด สองคนทางนี้กลับกำลังผิงไฟอย่างสบายใจ นำผ้าที่ใช้พันแผลมาอบให้แห้ง เจ้าอี่โหลวยังคงให้ความสนใจกับสถานกาณ์ด้วยความตื่นเต้นเป็นครั้งคราว ส่วนซ่งชูอีนั่งอยู่พักหนึ่งเพื่อผิงไฟอันอบอุ่น เปลือกตาเริ่มที่จะต่อสู้กัน เกือบผล็อยหลับท่ามกลางเสียงอดกลั้นของท่านแม่ทัพ

ผ่านไปสองชั่วยาม จึงมีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความยินดีและเป็นกังวล ถอนหายใจโล่งอกแต่กลับข่มความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ พูดด้วยเสียงอันดังกับซ่งซูอีด้วยความรู้สึกตื้นตันสับสน “ดึงหัวลูกธนูออกมาได้แล้ว!”

ในณะที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น ซ่งชูอีลุกขึ้นพรวดด้วยความตกใจ หันไปเห็นคนแปลกหน้า ทันใดนั้นก็กลับเข้าสู่สภาวะก่อนหน้านี้อีกครั้ง หันหน้าไปพูดกับเจ้าอี่โหลวด้วยเสียงทุ้มลึก “ยกน้ำแล้วตามข้ามา!”

เจ้าอี่โหลวรีบยกน้ำต้มที่วางไว้จนเย็นแล้วขึ้นมา เดินตามนางเข้าไปหาท่านแม่ทัพคนนั้น

ซ่งชูอีฉีกผ้าออกชิ้นหนึ่ง จุ่มน้ำแล้วเช็ดคราบเลือดบนตัวของเขา หน้าอกมีแผลเป็นรู เลือดยังคงไหลออกมาด้านนอกไม่หยุด ซ่งชูอีเช็ดอย่างระมัดระวังรอบหนึ่ง ขอยารักษาแผลจากทหารเหล่านั้น เททั้งขวดลงไปบนแผล อาจเป็นเพราะผงยาจำนวนมากดูดเลือดเอาไว้ มันจึงเริ่มหยุดไหลบ้าง ซ่งชูอีเช็ดทำความสะอาดโดยรอบด้วยความรวดเร็ว ใช้ผ้าแห้งพันรอบบาดแผลอย่างระมัดระวัง นางเคยช่วยทหารรักษาอาการบาดเจ็บเช่นนี้มาก่อน แน่นอนว่าความแม่นยำในการพันแผลนั้นไม่ใช่ปัญหา

“เสร็จแล้ว!” ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน มองดูความสำเร็จแห่งมานะของตนเองด้วยความพึงพอใจ

ทหารทั้งหกและเจ้าอี่โหลวอ้าปากค้าง ท่าทางของนางเมื่อครู่ ราวกับว่าหลังจากดึงหัวลูกธนูออกมาแล้ว ท่านแม่ทัพจะไม่รอด หลังจากนั้นนางก็แสดงฝีมือทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือคน

เมื่อเห็นเช่นนี้ หรือว่า “เรื่องต่อจากนั้นยกให้ข้า” ที่นางว่า หมายถึงเพียงการพันแผลงั้นหรือ?!

ในใจของทหารเหล่านั้นโกรธเกรี้ยว ต้องการจะวาดดาบเอาผิด แต่เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว นางก็ไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรต่อจากนั้น? ชีวิตของท่านแม่ทัพพ้นอันตรายแล้ว นางก็ไม่ได้หลอกพวกเขา…

แต่เหตุใดถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้?

………………………………