เมื่อกลับถึงจวน ต่างคนต่างก็กลับเรือนของตนเอง
พอบ่าวในบ้านรู้ว่าวันนี้นอกบ้านเกิดเรื่องขึ้น ก็ตกใจไปตามๆ กัน แม้กลุ่มผู้หญิงสกุลอวิ๋นโชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ก็ยังตื่นตระหนกไม่หาย บ่าวของแต่ละเรือนจึงรีบต้มน้ำ ให้นายได้อาบน้ำดื่มชา เพื่อให้อารมณ์ สงบ ส่วนม่อไคไหลก็ส่งคนไปกรมกลาโหม แจ้งข่าวให้นายท่านทราบ
ถงฮูหยินย่อมไม่ต้องพูดถึง ไหนเลยจะคิดว่าผู้หญิงในบ้านที่นานๆ จะออกนอกบ้าน กลับต้องมาเจอเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ แม้ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ก็อันตรายใช่ย่อย ปีนี้มีแต่เรื่องไม่ดีจริงๆ ต้องสวดมนต์อยู่ครึ่งค่อนวัน จิตใจถึงสงบลงได้ นางจับมืออาเม่ามากุมไว้แล้วถูไปมาไม่ปล่อย คนชราอารมณ์เปราะบาง บางครั้งก็หลอน
“เมืองหลวงเปลี่ยนแปลงเร็วจนคาดเดาไม่ได้จริงๆ โรงละครที่มีละครดีๆ ให้ดู กลับถูกระเบิดเสียนี่ ถ้าเด็กทั้งสองเป็นอะไรขึ้นมา ย่าอย่างข้าจะมีหน้ากลับไท่โจวไปบอกลูกชายคนโตหรือ พอกันที ต่อไปนี้พวกเจ้าไม่ต้องออกไปกันแล้ว ต่อให้น่าเที่ยวแค่ไหน ก็ไม่ต้องเที่ยว คนบ้านนอกอย่างเราไม่เหมาะกับเมืองหลวงอยู่แล้ว!”
หวงน้าสี่จึงได้โอกาสบ่นอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ต่อให้วันนี้ไม่เกิดอุบัติเหตุ ต่อไปสะใภ้กับลูกๆ ก็ไม่กล้าออกจากบ้านแล้ว”
เสียงคร่ำครวญของหญิงชราพลันหยุด “ทำไมล่ะ”
หวงน้าสี่ผลักอาจู้ “เรื่องนี้แม่พูดเองไม่ค่อยดี เจ้าบอกท่านย่าเองดีกว่า”
เด็กหญิงอาจู้ความจำดี จึงอธิบายไปตามสิ่งที่เห็น “วันนี้เสื้อผ้าที่อาสะใภ้นำมาให้หลานและท่านแม่ใส่นั้น เป็นเสื้อผ้าที่ทำไว้ให้บ่าวในบ้านใส่ ก็คือตรงปกเสื้อจะมีช่องเล็กๆ ซึ่งเป็นแบบเสื้อที่บ่าวในเมืองหลวงใส่กัน ไม่เชื่อ ท่านย่าไปดูยังได้”
ถงฮูหยินขมวดคิ้วแน่น วันนี้ความรู้สึกดีๆ ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นกับสะใภ้รอง ไม่เหลือแม้แต่เงาอีกแล้ว สะใภ้รองนี่แสบสันจริงๆ!
ถงฮูหยินเองก็เคยเป็นสาวมาก่อน ระหว่างเมียๆ ด้วยกัน ไหนเลยจะไม่มีความขัดแย้ง โดยเฉพาะคนสองคนที่มีสถานะเหลื่อมล้ำกันมาก ก็มักไม่ชอบขี้หน้าอีกฝ่าย แต่นางเป็นคนบ้านนอกที่เป็นกันเอง ไม่คิดอะไรมาก ไหนเลยจะเหมือนไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่ชอบใช้วิธีสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ทำร้ายผู้อื่น ชนิดพอคิดถึงเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจในตอนนั้น ก็จะกั้นกำแพงเปิดศึกระหว่างน้องสะใภ้กับพี่สะใภ้ไป
หลังจากฟังหลานสาวร้องเรียน หญิงชรารู้สึกไม่ชอบใจก็จริง แต่ด้วยความที่อายุมากแล้ว หวังให้ครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุข จึงไม่อยากให้สามแม่ลูกก่อเรื่องไม่จบสิ้นภายในบ้านอีก ตราบใดที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่ก่อเรื่องอย่างโจ่งแจ้ง ก็พอจะพูดจากันง่ายหน่อย
คิดแล้ว ถงฮูหยินก็ตีหลังมืออาจู้เบาๆ “ช่างเถอะ วันนี้ยังก่อเรื่องไม่พออีกหรือ เจ้ามิใช่ได้เสื้อผ้าชุดใหม่มาชุดหนึ่งหรอกหรือ ราคาก็มิได้ถูกๆ ได้เปรียบก็น่าจะพอแล้ว ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็แล้วกัน”
แต่หวงน้าสี่มีหรือจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ นางแค้นฝังหุ่นไปแล้ว เพราะเป็นคนเมืองถึงไม่เอาเรื่องหรือไร
นางไม่ยอมเป็นเป้าให้อับอาย ไม่ยอมก้มหัวให้กับข้าวสารห้าโต่ว[1] หรอก คิดว่าคนบ้านนอกต่ำต้อยถึงเพียงนั้นจริงๆ ล่ะสิ คอยดูก็แล้วกัน ตอนนี้ข่มใจฟังคำชี้แนะของท่านแม่ไปก่อน จึงน้อมรับ
“จ๊ะ สะใภ้ฟังอยู่ ท่านแม่”
เมื่อกลับถึงเรือนฝูหยิง เมี่ยวเอ๋อร์ก็เล่าให้คุณหนูใหญ่ฟังว่า หลังจากรับคำกำชับจากคุณหนูใหญ่ นางก็รีบวิ่งไปบอกคุณชายสวี่…
พอสวี่มู่เจินได้ยินก็ตกใจ วิ่งเข้าไปดูในห้องเตรียมเครื่องดื่มกับผู้คุ้มกัน แม้ตรวจไม่พบอะไร แต่ในที่สุดก็ได้กลิ่นแปลกๆ สัญชาตญาณต่อดินระเบิดของพวกเขาย่อมไวกว่าอวิ๋นหว่านชิ่น รัชทายาทเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ จะเสี่ยงอันตรายไม่ได้แม้แต่น้อย จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเชิญรัชทายาทที่กำลังลุ้นละครจนตัวโก่ง ให้ลงไปด้านล่าง แล้วขึ้นรถม้ากลับวังทันที จากนั้นค่อยบอกพวกผู้หญิงสกุลอวิ๋นให้รีบลงไป สุดท้ายถึงส่งคนไปที่ทำการอำเภอแจ้งความ แต่ใครจะคิดเล่าว่า เพิ่งวิ่งลงชั้นล่าง ชั้นบนก็ระเบิดเสียงดังกัมปนาท เห็นควันขาวตลบอบอวล พร้อมประกายไฟ บันไดขึ้นชั้นบนพังไปครึ่งหนึ่ง เล่นเอาพวกสวี่มู่เจินตื่นตระหนกจนเหงื่อกาฬหลั่งไหล ฉิวเฉียดจริงๆ!
ห้องเตรียมเครื่องดื่มอยู่ข้างห้องชมละครของรัชทายาท ถ้าผู้ที่อยู่ชั้นบนลงมาไม่ทัน พอผนังห้องพังทลาย รัชทายาทย่อมบาดเจ็บ!
ขณะเล่า บ่าวในบ้านก็เข้ามาแจ้งว่า นายท่านเลิกงานกลับมาแล้ว และเรียกกลุ่มผู้หญิงที่ออกจากบ้านในวันนี้ ให้ไปรวมตัวกันที่โถงด้านหน้า
โถงด้านหน้า
ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นมาถึง คนอื่นๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว
ใบหน้าไป๋เสวี่ยฮุ่ยมีคราบน้ำตา นางนั่งอยู่ด้านขวาของเจ้าบ้าน คล้ายเพิ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาจากการร้องไห้ไปหมาดๆ ซึ่งอวิ๋นเสวียนฉั่งก็เพิ่งปลอบใจนางไปสองสามประโยค
อนุฟางกับอวิ๋นหว่านถงต่างยืนกันเงียบๆ คนละมุม ไม่พูดไม่จา
พอกลับถึงจวน อวิ๋นหว่านถงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่ยังคงดูงงๆ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระเบิดที่โรงละคร แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะถูกลงโทษให้ขึ้นเวทีแสดงเป็นปีศาจจิ้งจอก ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่ง
ตอนอวิ๋นเสวียนฉั่งกลับถึงบ้าน ก็ไปที่เรือนหลักก่อน จึงพอจะรู้เรื่องราวตั้งแต่กลุ่มผู้หญิงได้พบรัชทายาทโดยบังเอิญในโรงละคร จนถึงเรื่องระเบิดจากปากของไป๋เสวี่ยฮุ่ยบ้าง ซึ่งเขาก็ตกใจว่า บ้านเมืองที่อยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมาภายใต้ร่มพระบารมีเช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนออกนอกบ้านจะเจอระเบิด ใครกันริอาจคิด
ต่อต้าน แต่ถ้ารัชทายาทอยู่ในที่เกิดเหตุ ก็เห็นชัดว่า เป้าหมายคือรัชทายาท
พอคิดได้เช่นนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ครุ่นคิดอีกสักพัก ค่อยบอกให้บ่าวในบ้านไปตามคนมา
เมื่อเห็นคนมากันครบ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็เข้าประเด็น อธิบายเจตนารมณ์ให้ฟังทันที
“เราปิดประตูบ้าน พูดกันแบบบ้านๆ ข้าจึงไม่อยากพูดอ้อมค้อม เรื่องที่พวกเจ้าพบเจอรัชทายาทในโรงละครวันนี้ ห้ามพูดให้คนนอกได้ยินเป็นอันขาด ข้ารู้ว่าผู้หญิงอย่างพวกเจ้าชอบใส่สีตีไข่ เรื่องเล็กนิดเดียวก็เล่าขยายความให้ผู้อื่นฟังเสียใหญ่โต เรื่องพบเจอรัชทายาท อาจเอาไปคุยโม้โอ้อวดอย่างไรก็ได้ แต่ตอนนี้ เรื่องแบบนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่วงหน้า ถ้าไม่อยากให้บ้านสกุลอวิ๋นประสบเคราะห์กรรม พวกเจ้าต้องปิดปากให้มิด ให้คิดเสียว่าวันนี้ ไม่เคยพบเจอผู้ใดเลย ต่อให้มีคนเห็นว่าพวกเจ้าถูกเชิญให้ขึ้นไปดูละครที่ชั้นบน ก็ให้พูดแต่เพียงว่าไม่รู้จักคนคนนั้น ได้ยินหรือยัง”
อวิ๋นเสวียนฉั่งพูดอย่างเคร่งเครียดและเข้มงวดมาก คำพูดก็ชัดเจนยิ่ง กลุ่มคนที่ฟังแล้วคิดตาม ก็พอจะรู้ความหมายคร่าวๆ ว่า ระเบิดนั่นน่าจะมีคนประสงค์ร้ายต่อรัชทายาท ซึ่งตัวเขาเองรู้ทันว่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ปกติแล้วต้องส่งให้เจ้าหน้าที่ของที่ว่าการอำเภอ แผนกดูแลเรื่องในราชวงศ์โดยเฉพาะดำเนินการตรวจสอบ และก่อนที่จะหาตัวผู้ต้องสงสัยพบ จะไม่เปิดเผยให้คนนอกรู้ ซึ่งถ้าผู้หญิงบ้านสกุลอวิ๋นเอาเรื่องนี้ไปโม้ให้คนนอกฟัง สกุลอวิ๋นก็ต้องถูกเพ่งเล็ง โยงใยว่าเกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารรัชทายาทไปโดยปริยาย
พวกนางจึงก้มศีรษะลงรับคำ “ได้ยินแล้วเจ้าค่ะ นายท่าน”
เดิมทีไป๋เสวี่ยฮุ่ยคิดจะบอกเรื่องน่าอายให้สามีฟัง เรื่องที่อนุฟางแนะให้คุณหนูสามเข้าไปเสนอตัวให้รัชทายาท แต่สุดท้ายคุณหนูสามกลับถูกลงโทษให้ไปแสดงละครเวทีแทน แต่พอเห็นสามีเคร่งเครียด ก็ไม่พูดดีกว่า พูดปิดท้ายสองสามประโยค ก็บอกให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไป
อวิ๋นหว่านชิ่นจงใจเดินออกเป็นคนสุดท้าย พอก้าวออกจากธรณีประตู และไม่เห็นเงาของแม่เลี้ยงและคนอื่นๆ แล้ว ก็หายใจเข้าลึกๆ กลับหลังหัน เดินกลับเข้าไปใหม่
“ท่านพ่อ ผู้ต้องสงสัยคือใคร มีเค้าโครงหน้าหรือยัง”
อวิ๋นเสวียนฉั่งสงสัย ก่อนโบกมือไล่ “เจ้าเป็นผู้หญิง ถามเรื่องเหล่านี้ไปทำไมกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหลุบตาลง “วันนี้ตอนพบเจอรัชทายาทในโรงละคร เพราะลูกสนิทกับญาติผู้พี่ จึงได้นั่งดูละครร่วมกับรัชทายาท และถือว่าคุยกันได้ถูกคอทีเดียว จึงรู้สึกผูกพันและเป็นห่วงอยู่บ้าง”
“อ้อ?” เดิมทีอวิ๋นเสวียนฉั่งไม่สนใจฟัง แต่พอได้ยินคำพูดนี้ ก็ลิงโลดขึ้นมา เลิกไล่ลูกสาวทันที
“รัชทายาทพูดคุยกับเจ้า แล้วยังนั่งดูละครด้วยกันอีก?”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า หึ นิสัยเดิมๆ คิดเข้าหาผู้สูงศักดิ์โดยการพึ่งพาลูกสาวอีกแล้ว
อวิ๋นเสวียนฉั่งยิ้มมุมปาก ไม่พูดอะไรมาก อารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง
“ก่อนเลิกงาน สหายเก่าที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการอำเภอบอกว่า พบเจอที่ตั้งดินระเบิดแล้ว ถูกคนฝังไว้กับพื้นชั้นบน ใต้ถังต้มน้ำในห้องเตรียมเครื่องดื่ม เป็นดินดำ และตรวจพบว่าเด็กรับใช้ในโรงละครคนหนึ่งต้องสงสัยมากสุด เจ้าของโรงละครจึงถูกควบคุมตัวไว้ แต่ก็ให้การแค่ว่า เด็กรับใช้เป็นลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้อาศัยอยู่ที่ไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็กำลังออกตามหาไปทั่วเมือง ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครนั้น ในเวลาอันสั้น ไหนเลยจะสืบรู้ได้ จึงยังคงเป็นคดีที่ไม่มีเบาะแสใดๆ เพิ่มเติม”
ถ้าถามต่อ ก็เกรงว่าบิดาจะสงสัย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงโค้งกายลง “ลูกรับทราบเจ้าค่ะ”
——
[1] โต่ว คือหน่วยตวงข้าวชนิดหนึ่ง เป็นการอุปมาถึง คนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ที่เหนือกว่าเพราะเงินเพียงน้อยนิด