บทที่ 17 คุกเข่าอยู่ตลอด! EnjoyBook
บทที่ 17 คุกเข่าอยู่ตลอด!
“เจิ้งก่วงอี้ ฉันหวังดีจะพูดเตือนแกสักหนึ่งประโยค รีบขอโทษคุณถางเร็วไม่อย่างนั้นจะมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว” เฉินฮั่นหลงพูดและยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ขอโทษ? ฉันอยู่ในฐานะอะไร ทำไมต้องขอโทษดาราต่ำต้อยคนนี้ ฉันไม่สนว่าเขาจะเป็นใคร? ในเมื่อมาทำร้ายลูกชายฉัน เรื่องในวันนี้ยังไงก็ไม่จบ ฉันละอยากเห็นจริง ๆ ว่าเขาจะเก่งกาจมาจากไหนกัน!!”
“แกมันรนหาที่ตาย!” เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่เคารพฉู่ชวิ๋นจากเจิ้งก่วงอี้ เฉินฮั่นหลงก็ก้าวออกมาสองก้าวแล้วคิดจะลงไม้ลงมือ
“ช่างมันเถอะ!” ฉู่ชวิ๋นปริปากพูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็เดินไปหาเจิ้งก่วงอี้และยื่นมือตบไปที่ไหล่ของเจิ้งก่วงอี้
เจิ้งก่วงอี้อยากจะหลบแต่ไม่รู้ทำไมเขาไม่อาจหลบได้ “พวกเราไปกันเถอะ!”
ฉู่ชวิ๋นดึงถางโร้วให้เดินออกไปข้างนอก เฉินฮั่นหลงมองไปที่เจิ้งก่วงอี้และยิ้มเยาะก่อนจะรีบเดินตามพวกเขาไป ทุกคนงงงวย หรือว่าเรื่องจะจบลงแบบนี้?
“ตุ๊บ!”
ทันใดนั้นสีหน้าของเจิ้งก่วงอี้ก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตัวเองอยู่ ๆ ก็ควบคุมไม่ได้ ขาทั้งสองข้างอ่อนลงจนเขาต้องนั่งลงในท่าคุกเข่า
เฉินฮั่นหลงที่ได้ยินเสียงก็หันกลับไปมอง หลังจากที่มึนงงไม่นานใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความยินดีกับความโชคร้ายของเจิ้งก่วงอี้ เขารู้ว่า นี่เป็นฝีมือของนายท่านอย่างแน่นอน
ถางโร้วเองก็มองกลับไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกันและเธอก็เห็นเจิ้งก่วงอี้ที่คุกเข่าหันมาทางพวกเขาเธออดตกใจมากจนเบิกตากว้าง
ปากของฉู่ชวิ๋นยิ้มเยาะเย้ยขึ้นมา ในเมื่อไม่ยินยอมขอโทษ งั้นก็คุกเข่าอยู่อย่างนี้ไปตลอดชีวิตเถอะ! ตอนที่เขาตบไหล่เจิ้งก่วงอี้เมื่อกี้ เขาใช้พลังลมปราณถูกส่งผ่านเพื่อทำลายเส้นประสาทที่ขาของเจิ้งก่วงอี้ บนโลกใบนี้ นอกจากตัวฉู่ชวิ๋นเองแล้วก็ไม่มีใครสามารถรักษาขาของเจิ้งก่วงอี้ได้
“ขาของฉัน……ขาของฉัน….” ในที่สุดเจิ้งก่วงอี้ก็ลุกลี้ลุกลน เขาลองขยับขาแล้วแต่ขาทั้งสองข้างของเขาก็ขยับ
หลิวย่งและคนอื่น ๆ มองไปที่หลี่เทียนอย่างหวาดผวา หลี่เทียนเช็ดเหงื่อที่หน้าผากด้วยความตกใจและมองไปที่ทั้งสองคนพร้อมถอนหายใจ “คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมฉันถึงต้องทำขนาดนี้?”
ทั้งสองคนใบหน้าปรากฏความหวาดกลัวพวกเขารีบพยักหน้า คนที่มีสายตาเฉียบแหลมแค่มองก็รู้แล้วว่าเจิ้งก่วงอี้ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็กลายเป็นแบบนี้แน่นอนทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มคนนั้น
“ขาของฉัน ขาของฉันขยับไม่ได้…เพราะเขา…เพราะเขา…” เจิ้งก่วงอี้คิดได้แล้วก่อนหน้านี้ที่ฉู่ชวิ๋นตบไหล่ของเขาหลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นแบบนี้ ตอนนี้กำลังเกิดความสับสนวุ่นวายที่กลายเป็นคนพิการเขาก็ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“เห้อ!” หลี่เทียนถอนหายใจเบา ๆ และเข้าไปช่วยพยุงเจิ้งก่วงอี้ขึ้นมา สองคนที่เหลือก็มาช่วยเขาพยุงอีกแรง
แต่เมื่อพวกเขาพยายามออกแรงพยุงเจิ้งก่วงอี้ให้ลุกขึ้นแม้จะยกจนตัวลอยแต่ขาทั้งสองข้างของเขาก็ยังคงอยู่ในท่าคุกเข่ากลางอากาศ
“พ่อ ขาของพ่อ….” เจิ้งกันตกใจราวกับคนโง่ ประโยคที่อยากจะพูดก็พูดไม่ออก หลี่เทียน หลิวย่งและคนอื่น ๆ ก็ตัวสั่นขึ้นมา สักพักหลิวย่งและผู้ชายอีกสองคนก็มองไปที่หลี่เทียนอย่างซาบซึ้งใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าหลี่เทียนพวกเขาคงกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว
ทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองกู่เจียง ถ้าหากใครเจอในสภาพคุกเข่าแบบนี้แล้วพวกเขาจะต้องวางตัวยังไง?
ฉู่ชวิ๋นพาถางโร้วเดินออกมาจากมหาวิทยาลัย เฉินฮั่นหลงเป็นคนรับผิดชอบอาหารกลางวันของทั้งสามคน
ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วง! เป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดในเมืองกู่เจียง ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงรวบรวมคนรวยและคนมีอำนาจจากทุกด้านของเมืองกู่เจียง เพื่อสร้างมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง
เล่ากันว่า เบื้องหลังภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงหัวหน้านั้นคือผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นคนที่ลึกลับมากจนแทบจะไม่มีใครเคยพบเจอ
ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงแบ่งแขกตามฐานะอย่างไม่ลังเล โดนตัดสินจากบัตรสมาชิก บัตรสมาชิกไล่ระดับตั้งแต่บัตรทองแดง บัตรเงิน บัตรทอง บัตรวีไอพี มาจนถึงบัตรดำที่ดีที่สุดบัตรทองแดงสามารถอยู่ขึ้นไปถึงได้แค่ชั้นสาม บัตรเงินชั้นจะอยู่ที่สี่ถึงเจ็ด อันนี้เป็นแค่การยกตัวอย่างเท่านั้น! แม้แต่ฐานะของเฉินฮั่นหลงเองก็มีเพียงแค่บัตรทอง
ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงด้านนอกนั่นดูธรรมดามากแต่พอเข้ามาข้างในถึงจะรู้ว่าที่นี่หรูหราระดับไหน เปรียบเทียบกันกับปังกิ่งแล้วที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดัง จนได้ฉายา “สวรรค์บนแดนดิน” ก็ไม่มากเกินไป
ชั้นที่เก้า แขกวีไอพีที่ดูหรูหราในห้องโถง
ถางโร้วมองไปยังอาหารที่หรูหราวางอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด อดไม่ได้ที่จะชี้นิ้วมองแต่ละเมนู ถึงแม้เธอจะเป็นดาราแต่เธอก็ไม่เคยได้รับบัตรสมาชิกจื่อจู่หลินเลย
ที่นี่จะมาได้ยังไงก็ต้องมีเงินเป็นพื้นฐาน หากไม่มีสินทรัพย์ร้อยล้านคุณจะไม่ได้รับแม้แต่บัตรทองแดงด้วยซ้ำ
“นายท่านพอใจกับที่นี่ไหม?” เฉินฮั่นหลงถามอย่างภาคภูมิใจนำเสนอ เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านการกิน อาหารของภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงนั้นถือว่าชั้นยอด คนธรรมดาไม่มีทางได้ริม ลองอย่างแน่นอน
“พอได้อยู่!” ฉู่ชวิ๋นใช้ตะเกียบคีบอาหารไม่กี่อย่างที่อยู่ใกล้เขาขึ้นมาเพื่อลองชิมดู
“พี่ฉู่ชวิ๋น พี่เลือกกินเกินไปแล้ว ได้ยินมาว่าพ่อครัวของที่นี่ล้วนมาจากที่ต่าง ๆ รอบโลก เป็นปรมาจารย์ที่ค่าตัวสูงมาก” ถางโร้วชอบอาหารพวกนี้มากเลยแปลกใจที่ฉู่ชวิ๋นพูดแบบนี้ ฉู่ชวิ๋นยิ้มเบา ๆ อาหารที่เขาเคยกินก็อร่อยกว่าอาหารพวกนี้อีก
“ถ้าเธอชอบงั้นก็ต้องกินเยอะ ๆ!” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างสบายใจ
“พี่ฉู่ชวิ๋น หรือว่าพี่เคยกินอาหารที่อร่อยกว่านี้?” ถางโร้วถามอย่างสงสัย เมื่อได้ยินแบบนี้ฉู่ชวิ๋นก็พยักหน้าในทันที
“พี่ฉู่ชวิ๋นขี้โม้แล้ว ฉันไม่เชื่อว่าจะมีอาหารที่อร่อยกว่าที่นี่แล้ว นอกจากว่าพี่ฉู่ชวิ๋นจะเคยกินต้มตีนมังกรหรือไขสันหลังหงส์” ถางโร้วยิ้มอย่างหยอกล้อ
“ต้มตีนมังกรกับไขสันหลังหงส์ฉันก็เคยกินมาแล้วจริง ๆ พวกมันเป็นสัตว์สมัยดึกดำบรรพ์ที่หายากนอกจากพวกมัน ฉันก็กินสัตว์ป่าที่ดุร้ายมาหลายชนิดเช่น สิงโตทองคำคุนเผิงฉันก็เคยกินมาแล้วรสชาติไม่เลวเลย!” ในตอนนั้นเขาตัดหัวสิงโตทองคำมาเก้าตัว! ตัวหนึ่งตุ๋น ตัวหนึ่งลงหม้อซุปและฉีกเนื้อมาทำเป็นบาร์บีคิว พวกมันเป็นสัตว์ในตำนานล้วนเป็นของหายากหลังจากที่ชิมเนื้อพวกนี้เขาก็ต้องยอมรับว่าพวกมันรสชาติก็อร่อยจริง ๆ
“พี่ฉู่ชวิ๋นยังโม้ได้อีกนะ” ถางโร้วหัวเราะออกมา เธอไม่เชื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้วของพวกนี้ล้วนเป็นของที่อยู่ในเทพนิยายจะกินได้ยังไง?
แน่นอนว่าเฉินฮั่นหลงมองไปที่ฉู่ชวิ๋นอย่างตกตะลึงเขารู้สึกว่าสิ่งที่ฉู่ชวิ๋น พูดเป็นเรื่องจริงแน่นอน ในเวลาเดียวกันนั่น เจิ้งก่วงอี้ก็ถูกหลี่เทียนและเพื่อนคนอื่น ๆ พามาส่งโรงพยาบาล
หมอระดับพระกาฬทุกคนก็มาดูอาการและช่วยกันวางแผนรักษาอาการอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาไม่รู้อาการ แม้พวกเขาจะพยายามรักษาแค่ไหนก็รักษาขาของเจิ้งก่วงอี้ไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง ตระกูลไป๋ก็กำลังรวบรวมตัวสมาชิกภายในตระกูล นอกจากสมาชิกสายตรงของตระกูลไป๋ยังมีเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าซีดเผือดนั่ง อยู่เขาก็คือหวังซง!
“หวังซง แกทำอะไรลงไปกันแน่? พูดมา” หัวหน้าตระกูลไป๋ ไป๋เหรินอันจ้องมองหวังซงและตะโกนถามอย่างเดือดดาล
หวังซงตกใจจนตัวสั่น “ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนของกลุ่มเหยี่ยวมังกรต้องการตัวผม?”
“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น? พูดให้มันกระฉับกระเฉงหน่อย งั้นทำไมคนของกลุ่มเหยี่ยวมังกรถึงต้องตามหาแก? งานเลี้ยงวันเกิดของคุณย่าล้วนเป็นเพราะว่าแกทำให้มันกลายเป็นแบบนี้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันคงทำได้แค่ส่งแกไปให้กลุ่มเหยี่ยวมังกรแล้ว” ไป๋เหรินอันยิ้มเยาะและพูดขึ้นมา
“พี่ใหญ่ใจเย็น ๆ ก่อน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเราก็ยังไม่ได้จัดการให้มันชัดเจน กลุ่มเหยี่ยวมังกรเป็นแค่กลุ่มเล็ก ๆ นี่มันกล้ามาทำแบบนี้กับพวกเราตระกูลไป๋เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องจัดการนะ แถมหลักฐานละ” ไป๋เหรินเจี๋ยน้องชายของไป๋เหรินอันลุกขึ้นพูด
“มีหลักฐานกับผีสิ ฉันเห็นแค่กลุ่มเหยี่ยวมังกรกำลังรนหาที่ตาย” ไป๋เหรินฉง น้องชายคนที่สามของตระกูลไป๋ลุกขึ้นมาพูดด้วยความโมโห
“พ่อ พ่อคิดว่าไงกับเรื่องนี้…” ไป๋เหรินอันมองไปยังพ่อของตนเองที่กำลังหลับตานั่งทำสมาธิอยู่
ชายชราไป๋ลืมตาขึ้นไอสองทีและพูดอย่างเชื่องช้า “ตระกูลไป๋อยู่ในเมืองกู่เจียงก็สูงตระหง่านมั่นคงดั่งขุนเขามานานแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาอาศัยความประณีตประนอมให้มีชีวิตอยู่รอด กลุ่มเด็กเล่นแบบนี้ยังไม่ถึงกับทำให้ตาแก่คนนี้ตกใจได้หรอกนะ” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ บอกใบ้ให้คนรับใช้พยุงเขาเข้าไปด้านใน สามพี่น้องหันไปทางพ่อของตนที่แล้วโค้งคำนับให้
“ความหมายของพ่อ พวกแกได้ยินแล้วใช่ไหม?” ไป๋เหรินอันมองไปยังน้องชายทั้งสองของตัวเองและสายตาทั้งหมดกระตุกวูบหนึ่ง ไป๋เหรินเจี๋ยและไป๋เหรินฉงพยักหน้า ตระกูลบ้านไป๋ไม่ยอมให้ใครมาลบหลู่เด็ดขาด
“กลุ่มเหยี่ยวมังกรก็เป็นแค่ตั๊กแตนที่กระโดดไปมาทำให้คนรำคาญครั้งนี้คงต้องสั่งสอนพวกมันหน่อยแล้ว” ไป๋เหรินอันพูดขึ้นเขายิ้มเยาะอย่างเย็นชา
สมาชิกที่เป็นสายตรงกับตระกูลบ้านไป๋ก็ต่างพยักหน้า พวกเขากำลังคิดแผนการร้ายฆ่าล้างกลุ่มเหยี่ยวมังกร!!
ด้านฉู่ชวิ๋น หลังจากที่กินข้าวเสร็จก็กำลังเตรียมตัวกลับ ถางโร้วก็ชวนฉู่ชวิ๋นให้ไปบ้านเธอ
ฉู่ชวิ๋นรับปากทันที! เมื่อก่อนพ่อแม่ของถางโร้วดีกับเขามาก เขาควรจะไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย ลิฟต์มาถึงแล้วหลังจากที่ประตูลิฟต์เปิดออกด้านในยังมีคนอยู่
หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นและอีกสองคนเข้ามาในลิฟต์ เด็กหนุ่มที่อยู่ในลิฟต์ทั้งสองคนชำเลืองมองถางโร้ว
“นี่ไม่ใช่ดาราที่ช่วงนี้กำลังดังหรอกเหรอ? ชื่อถางอะไรนะ?” เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อสูทสีขาวพูดขึ้นและมองไปที่ถางโร้ว ตัวเขานั่นมีกลิ่นเหล้าเต็มตัว
“ถางโร้ว” เด็กหนุ่มอีกคนพูดขึ้น
“ใช่ ๆ ถางโร้วนี่เองพอมองดูใกล้ ๆ แล้วก็ไม่เลวนะ” เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อสูทสีขาวพูดขึ้นและชยับเข้าใกล้ถางโร้ว “คุณคือถางโร้วใช่หรือเปล่า?” ถางโร้วถอยหลังไปสองก้าวและขมวดคิ้วโดยไม่ได้พูดอะไร
“ไอ้หยา! ตอบสนองไวจริง ๆ” เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อสูทสีขาวยิ้มแปลก ๆ และยืนมือมาดึงถางโร้ว “ไป ไปดื่มเบียร์เป็นเพื่อนพี่สักสองสามแก้วเถอะ”
ถางโร้วรีบหลบอยู่ข้างหลังฉู่ชวิ๋น เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อสูทสีขาวก็คว้าน้ำเปล่า
“หลีกไป!” เด็กหนุ่มสวมเสื้อสูทสีขาวหันไปตะโกนใส่ฉู่ชวิ๋น เฉินฮั่นหลงสีหน้าเริ่มแสดงความโมโห กล้าไม่มีมารยาทต่อนายท่านแบบนี้เขาต้องลงมือจัดการแล้ว
“ปัง!”
เสียงดังในลิฟต์และเกิดการสั่นอย่างแรงในลิฟต์
เด็กหนุ่มสวมเสื้อสูทสีขาวทันใดนั้นก็ปลิวไปไกล ราวกับถูกรถบรรทุกชน เด็กหนุ่มกระแทกเขากับผนังในลิฟต์หลังจากนั้นดวงตาทั้งสองก็ปิดลงและหมดสติอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มอีกคนก็ตกใจกลัวจนตัวติดกับผนังลิฟต์อีกด้าน เพราะว่าหลังจากที่เด็กหนุ่มสวมชุดสูทหมดสติไป ผนังในลิฟต์ก็เกิดรอยยุบขึ้นมา เฉินฮั่นหลงคลายหมัดและมองเด็กหนุ่มสวมเสื้อสูทสีขาวที่สลบไปเขามองอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยาม “หึ รนหาที่ตาย”
ถางโร้วทั้งหวาดกลัวทั้งงงวย เธอไม่เห็นว่าใครเป็นคนลงมือ ในลิฟต์ยังมีผู้ชายหนึ่งคนผู้หญิงหนึ่งคนพวกเขาถอยหลังอย่างหวาดกลัวหลบไปอยู่ตรงมุมไม่กล้าส่งเสียง!