เล่ม 1 ตอนที่ 20 งานเลี้ยงวันเกิด

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ร่างกายของฉู่หลิวเยว่สั่นเทิ้ม ในเวลานี้นางรู้สึกได้ถึงพลังกดดันอันน่ากลัวที่มาจากโบราณกาล ซึ่งทำให้วิญญาณของนางสั่นสะท้าน

นางยังไม่ทันได้ตกตะลึง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงไฟแผดเผาที่ทั้งน่ากลัวและร้อนลวกออกมาจากร่างกาย

น้ำหยดนั้นแตกกระจายเป็นอนุภาคเล็กๆ นับพันแทรกซึมเข้าไปในชีพจรของนางราวกับประกายไฟที่ก่อให้เกิดไฟลุกโชติช่วงทันที

ร่างกายของนางเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่ร้อนระอุ!

หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวรุนแรง ก่อนจะสะดุ้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว กำหมัดกัดฟันแน่น จมูกกับปากเต็มไปด้วยลมหายใจกลิ่นคาวเลือดแรง!

ช่วงเวลานี้ราวกับว่าได้หวนกลับไปในค่ำคืนที่ฝันร้าย

ความเจ็บปวดเจียนตายนี้ยังเจ็บปวดยิ่งกว่าครั้งนั้นเสียอีก!

ร่างของฉู่หลิวเยว่ขึ้นสีแดง และใบหน้าแดงก่ำ จนทั้งร่างของนางแทบจะเป็นถ่านที่ติดไฟลุกโชน

เหงื่อไหลออกตามร่างกายนางตลอดเวลา แต่ยังไม่ทันเปียกชุ่มก็ถูกความร้อนรุ่มในร่างกายของนางแผดเผาจนแห้งสนิท

ทันใดนั้นนางก็เกือบจะเกิดความรู้สึกสิ้นหวังโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว!

ทรยศ!

แผดเผามอดไหม้!

ดับสูญ!

แต่เวลาถัดมา นางก็กัดลิ้นตนเองอย่างแรง ความรู้สึกเจ็บแปลบทำให้นางได้สติสัมปชัญญะ

นางพร่ำบอกตัวเองว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ศาลบรรพชนของราชวงศ์เทียนลิ่ง และนี่ก็มิใช่คืนที่นางตายจากโลกนี้ไป

หากนางคิดที่จะแก้แค้น นางจะต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้!

เวลานี้ ทุกวินาทีต่างทรมานเจียนขาดใจมิมีสิ่งใดเปรียบ!

ในขณะเดียวกัน ในที่สุดชีพจรที่ไม่สมบูรณ์ของฉู่หลิวเยว่ก็เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์!

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดความเจ็บปวดทรมานก็ค่อยๆ ทุเลาหายไป เมื่อฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้นช้าๆ ก็เห็นว่ายาต้มในถังไม้ที่เคยมีสีใส บัดนี้กลับขุ่นขึ้นอย่างมาก

นางรีบตรวจชีพจรของตนเอง แต่พอตรวจดูแน่ชัดแล้วก็ถอนหายใจอย่างอดมิได้!

“ชีพจรตี้จิงหรือ!”

ตอนนี้ชีพจรนั้นที่ไม่สมบูรณ์ได้รับการฟื้นฟูแก้ไขจนสมบูรณ์หมดแล้ว ทั้งยังสดใสชุ่มชื้นไปทั่วทั้งร่าง ทั้งยังเรืองแสงสีแดงอ่อนๆ อีกด้วย

นางเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน หลังจากที่ฟื้นฟูชีพจรให้กับร่างกายนี้แล้ว จะสามารถไปถึงชีพจรระดับตี้จิงได้!

แต่ต้องทราบก่อนว่า ในประวัติศาสตร์รอบหนึ่งพันปีทั่วทั้งราชวงศ์เทียนลิ่ง มีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีชีพจรเทียนจิง

แม้ว่าชีพจรตี้จิงจะต่ำกว่าเพียงขั้นเดียว แต่ก็นับว่าเป็นผู้ที่สูงส่งและหาได้ยากเช่นกัน

เดิมทีชีพจรของร่างนี้ไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่กำเนิด ตอนแรกนางคิดว่าหลังจากฟื้นฟูชีพจรให้แล้ว หากสามารถบรรลุชีพจรระดับเสวียนจริงได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่กลับคาดไม่ถึงว่า…

นี่ช่างเป็นความปีติยินดีอย่างยิ่งจริงๆ

ด้วยเหตุนี้ การฝึกยุทธ์ในอนาคตของนางจะต้องได้ผลเป็นสองเท่า โดยออกแรงเพียงครึ่งเดียว!

ฉู่หลิวเยว่รีบเปลี่ยนน้ำร้อนในถังเพื่ออาบน้ำใหม่อีกรอบ

การเปลี่ยนแปลงชีพจรครั้งนี้ ดูเหมือนจะขับของเสียในร่างกายออกไปด้วย จึงทำให้นางรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างมาก

หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จสิ้น นางจึงมานั่งขัดสมาธิบนเตียงและลองดูดซับพลังแห่งฟ้าดินที่อยู่รอบตัว แล้วก็สามารถรวบรวมพลังมาไว้ในตำแหน่งตันเถียนสำเร็จ ทำให้มันกลายมาเป็นพลังของตัวเองได้จริงดังคาด

นางสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ความรู้สึกอันแสนคุ้นเคยนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่สบายใจขึ้นมาก

จากนี้เป็นต้นไป นางสามารถเริ่มต้นเส้นทางแห่งผู้ฝึกยุทธ์ได้อีกครั้ง!

แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังมีข้อสงสัยอีกอย่างหนึ่งในใจ

หน้ากระดาษหนังสือใสหน้านั้นที่กลายมาเป็นทะเลสาบในตำแหน่งตันเถียนคือสิ่งใดกันแน่

ดูเหมือนน้ำหยดนั้นที่พุ่งขึ้นมานั้นเป็นตัวการที่ทำให้ชีพจรของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

อนึ่ง ในชั่วขณะนั้น พลังกดดันน่ากลัวที่นางรู้สึกถึงได้นั้นคือ…

ก๊อกๆๆ!

จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เยว่เอ่อร์ ลูกตื่นหรือยัง”

เป็นเสียงของฉู่หนิง

ฉู่หลิวเยว่หันไปมอง คราวนี้ก็พบว่าเวลาได้ผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว

นางสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู

ฉู่หนิงยืนตรงประตู สีหน้าที่เคยสิ้นหวังหมองหม่น บัดนี้กลับดูแจ่มใสเบิกบานขึ้นมาก

เขาในวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด

ฉู่หลิวเยว่เอียงศีรษะแล้วยิ้มให้กับเขา

“ท่านพ่อบรรลุขั้นแล้วหรือเจ้าคะ”

ฉู่หนิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นลบเรือนผมของนาง

“พ่อปิดบังอะไรเยว่เอ๋อร์ไม่ได้จริงๆ”

สิบปีก่อน เขาอยู่ห่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ห้าเพียงก้าวเดียวเท่านั้น จากนั้นเมื่อเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงทำให้ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้อีก และเพราะร่างกายพิการ แม้กระทั่งพลังของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่ก็มิอาจใช้การได้

เขาคิดไม่ถึงเลยว่า วันนี้หลังจากผ่านไปสิบปี เขาจะสามารถฟื้นตัวได้ดั่งเมื่อก่อน ทั้งยังบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ห้าได้อีกด้วย!

ต้องทราบก่อนว่า ในตระกูลฉู่มีผู้ที่พลังบรรลุขั้นนี้เพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งก็คือประมุขตระกูลและผู้อาวุโส

“ข้าเคยบอกแล้วว่าท่านพ่อจะต้องดีกว่าเดิมแน่นอน!”

เดิมทีพรสวรรค์ของฉู่หนิงก็ไม่เลวอยู่แล้ว ถ้าได้ฟื้นบำรุงอย่างพิถีพิถัน การทะลวงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ห้าได้จึงเป็นเรื่องปกติ

นางส่งยิ้มหวานให้ โดยที่แววตาไร้ซึ่งความประหลาดใจ ฉู่หนิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พอจะเดาได้ว่าบางทีนางอาจจะคิดถึงเรื่องนี้มานานแล้ว

ฉู่หนิงสำรวจนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทันใดนั้นเมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงเบิกตาโตทันที

“เยว่เอ๋อร์ ชีพจรของลูก…”

เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่เคลื่อนไหวอยู่บนตัวของนาง!

ฉู่หลิวเยว่กะพริบตา

“ท่านพ่อ วันนี้เป็นวันอะไร”

สีหน้าของฉู่หนิงพลันเปลี่ยนไป

“วันที่แปดเดือนแปด วันมะรืน…ก็คือวันที่ลูกมีอายุครบสิบห้าปี”

และเป็นวันหมั้นของนางกับองค์ชายรัชทายาทด้วยเช่นกัน!

จนถึงเวลานี้ ทางด้านองค์ชายรัชทายาทก็มิได้แสดงทีท่าอื่นใดทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่าพระองค์มิได้เตรียมตัวเข้าพิธีหมั้นตั้งแต่แรก

ฉู่หนิงคิดว่าฉู่หลิวเยว่จะเสียใจจึงรีบเอ่ยขึ้น

“เยว่เอ๋อร์ ลูกวางใจได้ วันนี้พ่อจะเข้าวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อยกเลิกสัญญาแต่งงานระหว่างลูกกับองค์ชายรัชทายาท! องค์ชายรัชทายาทคู่ควรกับคนดีๆ อย่างลูก เช่นนี้จะได้หลุดพ้นสักที”

ตอนนี้เขาคือผู้ฝึกพลังขั้นที่ห้าแล้ว และสามารถเอ่ยข้อต่อรองกับฝ่าบาทได้

ฉู่หลิวเยว่กลับหัวเราะเบาๆ

“ยกเลิกสัญญาแต่งงานกับองค์รัชทายาทเพื่อให้ฉู่เซียนหมิ่นขึ้นไปนั่งตำแหน่งนั้นแทนหรือเจ้าคะ เช่นนั้นก็เป็นการดูถูกสองคนนั้นเกินไปหรือไม่”

ความเจ็บปวดที่เจ้าของร่างเดิมเคยได้รับมาตลอดหลายปี นางยังไม่ได้ชำระแค้นพวกเขาให้สาสมเลย

ฉู่หนิงสับสนเล็กน้อย

“เช่นนั้นเยว่เอ๋อร์คิดจะทำอย่างไร”

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสียงแผ่งเบา

“เยว่เอ๋อร์จะจัดการเอง”

ด้านนอกเมืองหลวง ทิวเขาเรียงรายสลับซับซ้อน

ภายใต้แสงแดด ผืนป่าอันเขียวชอุ่มปกคลุมไปด้วยต้นไม้จนเกิดแสงและเงา

ตรงบริเวณเชิงเขาสักแห่งกำลังจัดงานเลี้ยงวันเกิดใหญ่โต

โต๊ะหยกขาวล้ำค่าเรียงรายอยู่ทั้งสองด้าน ซึ่งมีอาหารอร่อยเลิศรสหลากหลายและสุราชั้นยอดเอาไว้

ลูกหลานขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงส่วนใหญ่ต่างก็มาที่นี่ ซึ่งกำลังดื่มกินและพูดคุยกันอย่างครื้นเครง

ทว่าสายตาของพวกเขากลับมองขึ้นไปข้างบนบ่อยครั้ง

ชายหนุ่มในอาภรณ์แพรไหมสีม่วงนั่งประทับอยู่บนเก้าอี้หยกสีม่วง ซึ่งเขากำลังยิ้มแย้มและฟังการสนทนาของทุกคนที่อยู่ข้างล่าง

คนผู้นั้นก็คือองค์ชายรัชทายาทหรงจิ้น!

ฉู่เซียนหมิ่นนั่งพับเพียบอยู่ข้างล่างตรงขวามือของเขาในกิริยาที่สวยงามเรียบร้อยและเงียบสงบ

การที่องค์ชายรัชทยาทให้นางนั่งตรงตำแหน่งนี้หมายความว่าพระองค์ตั้งใจแต่งตั้งให้นางเป็นพระชายาจริงๆ

“องค์ชายรัชทายาททรงใส่พระทัยมากจริงๆ เลือกสถานที่จัดงานวันเกิดได้สวยงามเช่นนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

“ฮ่าๆ พี่เยว่ ท่านนี่ช่างไม่รู้อะไรเลย ทิวทัศน์สวยงามเช่นนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ที่สำคัญคือ ภูเขาลูกนี้เป็นสนามล่าสัตว์ขององค์ชายรัชทายาทเชียวนะ และพระองค์ก็ให้ความสำคัญกับสนามล่าสัตว์แห่งนี้อย่างยิ่ง ซึ่งพระองค์ไม่ค่อยได้เปิดมานานหลายปีแล้ว แต่วันนี้ถือได้ว่าพระองค์ทรงเมตตาให้พวกเราเข้ามาชื่นชมเป็นบุญตาแล้ว!”

“จริงหรือ”

เมื่อคำพูดนั้นกล่าวออกไป ทุกคนจึงหันไปมองทางรัชทายาทอย่างอดมิได้

หรงจิ้นอมยิ้มแล้วพยักหน้า

“ถูกต้อง วันนี้ใครสามารถล่าสัตว์อสูรได้ ข้าอนุญาตให้เอากลับไปได้!”

เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็อุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

“องค์ชายรัชทายาททรงมีพระเมตตาอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

แต่ก็มีบางคนที่อดหยอกล้อไม่ได้

“พระองค์ทรงเมตตาเช่นนี้ กระหม่อมเกรงว่าคงมิได้ทำเพื่อคนแก่ๆ อย่างพวกเราหรอกกระมัง แต่ทรงทำเพื่อรอยยิ้มของหญิงงามหรือเปล่า หากกระหม่อมจำไม่ผิด คุณหนูสามจากตระกูลฉู่ยังไม่มีโฉนดที่ดินสัตว์อสูรใช่หรือไม่”

แก้มของฉู่เซียนหมิ่นขึ้นสีแดงระเรื่อ จากนั้นนางก็ซ่อนความเขินอายทำใจกล้าหันไปมองหรงจิ้น

หรงจิ้นเหยียดยิ้มแล้วยกดื่มสุราหนึ่งจอก

“หากฝีมือพวกท่านไม่เทียบเท่า จะกล่าวโทษว่าหมินหมิ่นแย่งสัตว์อสูรของพวกท่านไปได้เยี่ยงไร”

ทุกคนพากันหัวเราะครืน

สตรีบางคนจากตระกูลขุนนางชั้นสูงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาริษยา แต่เมื่อดูจากสถานการณ์นี้แล้ว พวกนางก็รู้ว่าตนเองไม่มีอะไรไปเทียบ จึงต้องยอมจำนนเงียบๆ

หรงจิ้นผายมือ

“เชิญ ให้พวกเขาเปิดประตูได้”