ตอนที่ 21 ข้าจะเชือดควาย

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

กับคนพวกนี้ในบ้านเกิด ซ่งฝูเซิงกับภรรยาและบุตรสาว ต่างมีความรู้สึกผูกพันไม่เหมือนกัน 

 

 

ภรรยาและบุตรสาวของเขาไม่มีความทรงจำ เหมือนไม่มีความผูกพันไม่ว่าจะกับใครก็ตาม เท่ากับต้องเริ่มต้นสร้างความคุ้นเคยกันใหม่ 

 

 

แต่กับเขาไม่เหมือนกัน 

 

 

หนึ่ง เขามีความทรงจำ มีความทรงจำก็เสมือนร่างกายนี้ยังคงมีอารมณ์ความรู้สึก มีทั้งความสนุกสนาน เศร้าโศกเสียใจ ดีใจ บางครั้งถึงกับควบคุมไว้ไม่อยู่ 

 

 

และความรู้สึกนี้ที่มักกระตุกเส้นประสาทของเขา ซ่งฝูเซิงรู้สึกละอายใจเมื่อใช้ร่างกายคนอื่น  

 

 

ทำไมถึงรู้สึกผิด? 

 

 

เขาเคยขบคิดตอนเดินทางมา หากไม่ได้ใช้ร่างกายนี้ ขาดความรู้สึกบางส่วนไป นั่นคงโชคร้ายมาก 

 

 

ยกตัวอย่างเช่น หากร่างกายของเขาทะลุมิติเวลามา หลังจากนั้นคงไม่ต่างจากมีมนุษย์ต่างดาวมาปรากฏตัว คาดเดาได้ว่า แค่เริ่มปรากฏกายก็อาจถูกประชาชนแถวนั้นตีตายได้ ถ้าไม่ถูกตีตายก็ต้องมาตอบปัญหาสามข้อว่า เจ้าเป็นใคร เจ้ามาจากไหน ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ 

 

 

ยังมีอีก เขาเป็นคนยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าไม่รู้จักตัวอักษรโบราณ เขาไม่รู้หนังสือจึงทำได้เพียงทำไร่ไถนา ยิ่งน่าเวทนากว่านั้นเพราะไม่มีที่ดิน ไม่มีที่ดินจะเลี้ยงดูภรรยากับบุตรสาวได้อย่างไร ต้องกินลม? 

 

 

ถึงจะไปเป็นขอทาน การขอทานถ้าไม่ระวังก็อาจจะโดนพวกขุนนางตีตายได้ง่ายๆ 

 

 

ออกแรงเป็นแรงงานชั่วคราว ก็ต้องมีสัญญาซื้อขายตัว แค่คนเดียวนะ แต่ถ้าขายตัวไปแล้วก็กลายเป็นข้ารับใช้ ข้ารับใช้ยังถูกนายจ้างฆ่าเอาชีวิตได้โดยที่ไม่ต้องชดใช้อะไร 

 

 

ดังนั้น เขาจึงรู้สึกขอบคุณที่ได้ใช้ร่างกายนี้ ได้เรียนหนังสือ รู้จักตัวอักษร คนในบ้านดีกับเขา กลายเป็นคนที่มีอนาคตไกลมากที่สุดในครอบครัว 

 

 

ไม่รู้ว่าหากท่านแม่ทราบว่าดวงจิตของบุตรชายแท้ๆ จากไปแล้ว จะรู้สึกเสียใจมากแค่ไหน 

 

 

แค่คิดเช่นนี้ เขาก็รู้ละอายใจ ในเมื่อเขามาใช้ร่างกายนี้แล้ว ได้รับสิทธิในการครอบครองร่างกาย ก็ควรที่จะทำหน้าที่ต่อคนในครอบครัวให้เต็มที่ 

 

 

สอง เพราะว่าเหตุผลนี้เอง เขาจึงมีความรู้สึกสับสนกับคนในครอบครัว แต่ว่าพวกเขาดีกับเขามาก เช่น หากเขาใกล้จะอดตาย กลับบ้านก็มีทางรอด อย่างน้อยก็กินอยู่กับพ่อแม่ได้ แน่นอนว่าพวกท่านต้องให้เขามาอยู่กินด้วย 

 

 

แค่ยอมให้เขามาอยู่กินด้วยกัน แค่ข้อนี้ ก็ต้องดีกับคนในครอบครัวนี้แล้ว 

 

 

ดังนั้นจากเหตุผลที่ว่ามานี้ แค่ซ่งฝูเซิงได้ยินแม่ของเขาเถียงไม่ทันป้าใหญ่ เขาก็โมโห 

 

 

โกรธคนบ้านลุงใหญ่ ที่ดูภายนอกดี แต่จิตใจไม่ดี ท่านป้ารังแกคนเช่นนี้ ต้องมีท่านลุงคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังแน่ 

 

 

อีกใจก็โมโหแม่ของเขาที่มีความอดทนมาก ควายแก่ตัวหนึ่ง ไปขอกลับคืนมาหลายปีแล้วก็ยังเอากลับมาไม่ได้ ทุกปีต้องเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ท้ายที่สุดก็จัดการปัญหาไม่สำเร็จเสียที 

 

 

โกรธที่แม่ของเขาเสียเปรียบป้าใหญ่เสมอ เหมือนพบกับอริเก่า ยิ่งแม่ของเขาไปทะเลาะด้วยมากขึ้นเท่าไร ชื่อเสียงก็ยิ่งไม่ดีและไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ใครพูดถึงแม่ของเขา ต่างก็บอกว่าเป็นหญิงปากร้ายคนหนึ่ง 

 

 

ท่านป้าใหญ่ของเขากลับตรงกันข้าม หลายปีก่อนเคยช่วยเหลือบ้านเขาเพียงเล็กน้อย ทุกหมู่บ้านไม่มีใครที่ไม่รู้ ใครพูดถึงต่างก็บอกว่าครอบครัวท่านลุงมีน้ำใจคอยให้ความช่วยเหลือ 

 

 

ปรากฏว่า ท่านลุงได้รับมรดกมากสุด ได้บ้านหลังใหญ่สุด ได้ที่ดินเยอะที่สุด มีแค่ควายแก่ตัวหนึ่ง ก่อนที่ท่านปู่จะเสียชีวิตก็ไม่ได้แบ่งให้ใคร ตอนนี้ทางโน้นก็เลยมาเอาไป 

 

 

ท่านลุงนั้น ในตอนแรกพูดจาเสียดิบดี จูงควายไปเพื่อช่วยเขาทำไร่ไถนา ตอนนี้พอพวกเขาต้องการใช้ควายตัวนั้นบ้างกลับต้องไปขอยืม ทั้งที่มันเป็นสมบัติร่วมกันของสองครอบครัว 

 

 

อีกทั้งบางครั้งก็ไม่สามารถขอยืมได้ ดังเช่นวันนี้ ก็คงถูกปฏิเสธอีกเช่นเคย และท่านแม่เปิดปากด่าเสียงดังลั่น ดังไปไกลขนาดสองลี้ก็ยังได้ยิน 

 

 

ยิ่งน่าโมโหชาวบ้านผู้หญิงที่ไร้ประสบการณ์เหล่านั้น หลงเชื่อคำพูดได้ง่าย สมองกลวง ไม่เคยเอะใจว่าใครคือคนได้รับผลประโยชน์ พวกนางคอยแต่นินทาแม่ของเขา 

 

 

เสียงแส้ตีล่อดังมาจากปากทางเข้าหมู่บ้าน แม่ของซ่งฝูเซิงกับป้าใหญ่เลิกถกเถียงกันและต่างหันหน้าไปมองตามเสียง 

 

 

รอจนล่อที่อ่อนแรงค่อยๆ ลากรถเข้ามาใกล้ แม่ของซ่งฝูเซิง ท่านย่าหม่าก็เห็นซ่งฝูเซิงอย่างชัดเจนภายใต้แสงจากไฟที่สาดส่อง 

 

 

ท่านย่าหม่าสองมือตบเข้าที่ขาดังฉาดใหญ่ รีบวิ่งไปรับและตะโกนโบกไม้โบกมือด้วยความดีใจ “ลูกสามของข้ากลับมาแล้ว กลับมาจากตัวอำเภอ ลูกสาม แม่อยู่นี่!” 

 

 

“ช้าหน่อย ท่านช้าหน่อย” 

 

 

“เจ้ารีบนำรถลากลับมาเพื่อช่วยแม่เก็บเกี่ยวผลผลิตโดยเฉพาะหรือ? ข้ารู้ว่าเจ้าต้องเป็นห่วงทางบ้าน!” 

 

 

ตอนพูดคำนี้ น้ำเสียงของท่านย่าหม่าดังกว่าเมื่อตอนที่ทะเลาะกันมาก จากที่ก่อนหน้าเสียงดังไปไกลสองลี้ ตอนนี้สามารถดังไกลได้ยินไปถึงห้าลี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ประมาณว่า พวกเจ้ามีควายจะมีประโยชน์อะไร ข้ามีลูกดี แถมครั้งนี้ข้ายังมีล่อสามตัวมาช่วยงานอีก 

 

 

เอ้อร์ถังเกอซ่งฝูโซ่วยืนอยู่ในกลุ่มคน พึมพำเบาๆ “จะโอ้อวดทำไม” เขาถูกตีเบาๆ 

 

 

ถึงแม้จะถูกตีจนมีสติ แต่ซ่งฝูโซ่วก็อดที่จะบ่นด่าในใจไม่ได้ “แต่งเข้าบ้านเป็นเขยของตระกูลเฉียน และยังเป็นคนในตระกูลซ่งที่มีอนาคตไกลมากที่สุด ถุย เป็นคนไร้ทายาทสืบสกุล ถ้าเป็นเขา เขาไม่ยอมเสพความสุขจากความร่ำรวยของตระกูลเฉียนอย่างเด็ดขาด และก็ไม่ยอมเป็นคนไร้ทายาทสืบสกุล” 

 

 

ต้าถังเกอซ่งฝูลู่พยุงลุงใหญ่ออกมา 

 

 

ซ่งฝูลู่กล่าวด้วยใบหน้าแน่นิ่ง “น้องสามกลับมาพอดี สักพักเขามาทักทายท่านพ่อ ข้าจะถามเขาต่อหน้าทุกคน มิเช่นนั้นอาสะใภ้จะมาทะเลาะกันทุกปีจนบ้านเราเสียหน้า” 

 

 

ท่านย่าหม่าอุทานออกมาด้วยความตกใจอีกครั้ง “อ๊าห์ สะใภ้สามก็มา พั่งยา? พวกเจ้าก็กลับกันมาหมดเลยรึ นั่นคือใคร?” ชี้ไปที่เฉียนหมี่โซ่ว รู้สึกงงเล็กน้อย หากกลับบ้านมาช่วยกันเก็บเกี่ยวผลผลิต คนบังคับรถกับเจ้าเด็กหนุ่มนั่นนางก็พอเข้าใจว่าคงจะมารับจ้างชั่วคราว แต่ทำไมถึงพาเด็กมาด้วย และหลังคารถก็มีของมากมาย นี่พวกเจ้าเอาของฝากมาเยอะเกินไปหรือเปล่า 

 

 

ซ่งฝูเซิงสั่งเหล่าหนิวให้นำรถลาเข้าไปในเขตเรือนของตนเอง ไม่ได้สนใจลุงใหญ่ เขาชี้นิ้วสั่งพี่ชายคนโตและคนรองของเขา “พวกพี่ตามไป รีบหาน้ำให้ล่อดื่มกินหน่อย และจัดหาอาหารให้มันกินหน่อย” 

 

 

พูดจบเขาก็อาศัยแสงสว่างจากเปลวไฟมองหาพี่เขยของเขา ถือโอกาสตอนนี้เรียกเขาไปที่บ้านด้วยกัน พูดคุยพร้อมกัน จะได้ไม่ต้องเล่าเรื่องการลี้ภัยหลายรอบ 

 

 

อาจกล่าวได้ว่า ซ่งฝูเซิงหาเงาของพี่เขยนี้สองครั้งในกลุ่มคน และเป็นสองครั้งที่ไม่สนใจลุงใหญ่ของเขา 

 

 

ลุงใหญ่ไม่สูบไปป์จีนแล้ว เขาไอค่อกแค่กมาครั้งหนึ่ง บุตรชายคนที่สองของเขาก็รีบเรียก “น้องสาม เจ้าไม่เห็นพ่อของข้าหรือ?” 

 

 

ซ่งฝูเซิงโบกมือให้เพื่อนบ้านสองคน คนหนึ่งให้ไปเรียกท่านลุงหลี่เจิ้ง มาให้ได้ ส่วนอีกคนหนึ่งให้ช่วยไปเรียกครอบครัวพี่สาวพี่เขยที่บ้านอยู่ตรงชายเขา บอกเขาว่ามีเรื่องด่วน 

 

 

มีคนสงสัยเอ่ยถามขึ้น เรื่องด่วนอะไร? ถึงต้องกลับมาจากตัวอำเภอ 

 

 

ซ่งฝูเซิงยังไม่ได้ตอบคำถาม ต้าถังเกอก็เขยิบเข้ามา 

 

 

ซ่งฝูลู่ทำท่าทางเป็นพี่ใหญ่ของตระกูลซ่ง ไม่ว่าจะแยกบ้านแล้วหรือไม่ก็ตาม ตามลำดับขั้นอายุเขาเป็นพี่ใหญ่สุด เขาพูดกับซ่งฝูเซิง “น้องสาม ครอบครัวเดียวกัน…” 

 

 

ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้วพูดตัดบท “อย่าพูดเพ้อเจ้อกับข้า ควายนี่เป็นของท่านปู่ ก่อนตายเขาไม่ได้ยกให้ใคร ก็ถือเป็นสมบัติของสองครอบครัว ตอนนี้ครอบครัวท่านใช้อยู่ ไม่ให้พวกข้ายืม จะนับเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างไร” 

 

 

ซ่งฝูลู่คิดไม่ถึงว่าคนที่รักษาหน้าตา มีการศึกษาสูงเช่นซ่งฝูเซิงจะสามารถพูดจาเช่นนี้ออกมาได้ 

 

 

“เจ้า? น้องสาม เจ้ากินยาผิดมารึเปล่า แม่ของเจ้าเป็นคนเจ้าอารมณ์ ทุกหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั่ว ไม่มีใครอยากจะแต่งงานกับตระกูลซ่ง เจ้าไม่รู้เลยหรือ? หากแม่ของเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของเจ้า เจ้าทำไมถึง?” 

 

 

ซ่งฝูเซิงโบกมือตัดบทอีกครั้ง เจ้าของร่างเดิมชอบพูดเกี่ยวกับความกตัญญู ควายตัวนั้น เมื่อหลายปีมานี้ก็เอากลับคืนมาไม่ได้ ยังจะตำหนิเขา คอยกดดันไม่ให้ท่านแม่ของเขามีปากมีเสียงและยังถูกลุงใหญ่ยุยงอีก ทำไปเพื่ออนาคตจะได้สอบได้เป็นซิ่วไฉ ในสมองมีแต่ความกตัญญู 

 

 

ต้องขอโทษด้วย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจิตใจของข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว 

 

 

“เจ้าอารมณ์ พี่ชายของข้าทั้งสอง รวมถึงข้ากับพี่สาวตามใจท่าน พวกข้าก็ยินดี!… 

 

 

…มีผลกระทบกับชื่อเสียงหรือไม่นั้น พวกเรายอมตามใจนาง พวกข้าต่างก็ไม่สนใจ และมันเกี่ยวพันอะไรกับพวกเจ้าด้วยล่ะ?!” 

 

 

พูดจบ เขาก็ดึงต้าถังเกอลากไปอยู่ด้านข้าง ชี้ด่าต้าถังเกอให้ลุงใหญ่ได้ยิน “ไม่มีเวลามาถกเถียงกับพวกท่านแล้ว หากยังพูดกระทบอีกประโยค ข้าจะไปฆ่าควายนั่นเสียเดี๋ยวนี้!” 

 

 

ชาวบ้านเห็นบัณฑิตซ่งฝูเซิงพูดจบก็เหมือนถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ดูเอาจริงขึ้นมาทันที เขาหยิบมีดมาจากด้านหลังหนึ่งเล่ม