เล่ม 1 ตอนที่ 15 พลังนี้ ข้าก็มีนะ!

ราชินีพลิกสวรรค์

“หากข้าบอกว่า ข้าคือราชินี ท่านเชื่อหรือไม่” เจียงหลียิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายชวนมอง 

 

 

ถึงขนาดที่ว่า ลู่เจี้ยหลงลืมใบหน้าและรูปร่างของนางไปชั่วขณะ ความทรงจำของเขาที่มีต่อนางถูกประทับตรึงไว้บนดวงตาที่อหังการอันแพรวพราวนั่น 

 

 

งาม งดงามมาก! 

 

 

เป็นครั้งแรกที่ลู่เจี้ยรู้สึกว่าตนถูกดึงดูด แต่สิ่งที่ทำให้เค้าคาดไม่ถึงก็คือผู้ที่สามารถดึงดูดเขาได้ กลับเป็นเพียงสาวน้อยอายุราวสิบสองปีคนหนึ่ง! 

 

 

นางพูดว่า นางเป็นราชินี 

 

 

ลู่เจี้ยยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าความแพรววาวในดวงตาของเจียงหลีเลย 

 

 

คล้ายกับว่าความเปล่งประกายของทั้งคู่ที่อยู่ภายในห้องของจวนกำลังแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน 

 

 

“พิสูจน์อย่างไรล่ะ เท่าที่ข้ารู้ ไม่เพียงแต่ในราชวงศ์โฮ่วจิ้นเท่านั้น ยังมีบรรดาราชวงศ์ในหนานฮวง ดินแดนทางใต้นี้ล้วนแต่ไม่มีผู้ปกครองเป็นหญิง แล้วเจ้าเป็นราชินีจากที่ใด และมาปรากฏอยู่ในร่างของเจียงหลีตอนนี้ได้อย่างไร” ลู่เจี้ยถาม 

 

 

รอยยิ้มที่มุมปากของเจียงหลีเด่นชัดขึ้น 

 

 

นางเคยคิดไว้ว่า หากพูดออกไปเช่นนี้แล้วจะต้องถูกลู่เจี้ยมองว่าเป็นคำพูดเหลวไหล แล้วถูกลากไปโบยตีจนถึงตายเป็นแน่ นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบกลับเช่นนี้ 

 

 

เขาไม่ปฏิเสธ หากแต่ให้นางพิสูจน์ 

 

 

หรือพูดอีกอย่างคือ ถ้านางสามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้หรือพูดโน้มน้าวเขาได้ เขาก็จะเชื่อ แต่ในทางกลับกัน ผลที่ตามมาก็น่าสังเวชยิ่งนัก 

 

 

หลังจากที่ผู้อารักขาของตระกูลลู่กลับมาจากจวนของตระกูลเย่ว์ แล้วบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้นางฟัง นางก็รู้ว่าตนเองต้องชดใช้คืนอย่างไร 

 

 

หากว่าลู่เจี้ยเพียงแค่เออออว่าตาม ทำๆ ไปอย่างนั้น เช่นนั้นก่อนหน้านี้ที่เขาถามว่า เจ้าเป็นใคร ก็ไม่คงจำเป็นต้องใส่ใจมาก 

 

 

แต่เขาไม่เพียงแค่จัดการเรื่องนี้เสร็จ แต่ทำเป็นอย่างดีด้วย นี่ก็พิสูจน์แล้วว่า เขาต้องการคำตอบที่น่าพอใจ 

 

 

ถ้านางตอบได้ดี ก็ไม่แน่ว่าหลังจากนี้นางจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าตอนนี้บ้าง ถ้าหากไม่สามารถตอบได้ ต่อให้เรื่องของตระกูลเย่ว์ฉาวโฉ่อย่างไร นางก็คงต้องตายอย่างน่าอนาถ 

 

 

 

 

 

ชายผู้นี้… ในใจของเจียงหลีจำต้องยอมรับว่า ชายที่งดงามไร้ที่ติคนนี้ ความเจ้าเล่ห์ของเขาไม่เป็นรองจากใบหน้านั้นเลย 

 

 

“ท่านมองออกได้อย่างไร ว่าข้าไม่ใช่เจียงหลี” เจียงหลีถามกลับ 

 

 

ลู่เจี้ยมองนางประหนึ่งราวกับกำลังมองคนทึ่ม “เจ้าคิดว่าเจ้าสวมบทบาทได้เหมือนนักหรือ” 

 

 

เจียงหลียิ้มอย่างเขินอาย 

 

 

เอาล่ะ นางยอมรับ ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องตั้งใจทำทีเลียนแบบนิสัยเดิมของเจียงหลีอีกแล้ว ใช่ว่าไม่กลัวจะถูกคนอื่นมองสถานะตัวเองออก แต่นางเบื่อหน่ายที่จะใช้ชีวิตด้วยการเสแสร้งประหนึ่งเป็นอีกคนหนึ่ง 

 

 

เจียงหลีคือราชินี แม้นตอนนี้ต้องมาอยู่ในสถานะทาสหญิงอย่างไม่มีทางเลือก แต่นางจะไม่อยู่อย่างผู้ที่เอาแต่วิงวอนขอความสงสาร 

 

 

“ดูแล้วท่านคงเสียเวลาไปไม่น้อยในการตรวจสอบเจียงหลี” เจียงหลีพูดพึมพำ มองลู่เจี้ยด้วยท่าทีนิ่งๆสบายๆ แล้วพูดว่า “พูดตามตรงแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาได้อย่างไร ข้ามาจากที่แห่งอื่น ไม่ใช่คนของโลกใบนี้ ในโลกแห่งนั้น ข้าเป็นเจ้าปกครองเมืองอย่างแท้จริง” 

 

 

มาจากอีกโลกหนึ่งงั้นหรือ 

 

 

ลู่เจี้ยขมวดคิ้ว คล้ายกับว่ากำลังพิจารณาว่าสิ่งที่เจียงหลีได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นจริงแท้เพียงใด 

 

 

เจียงหลีย้อนความทรงจำถึงข้อสันนิษฐานของโลกที่มู่ชิงเกอบอกแก่นาง แล้วอธิบายกับลู่เจี้ย “ตามที่กล่าวขานกันมานั้น บนฟ้าดิน มีห้วงเวลาที่ไม่เหมือนกัน หรือก็คือโลกที่แตกต่างกัน พูดโดยหลักการปกติแล้ว ทุกโลกจะมีระยะห่างซึ่งกันและกัน แต่มักจะมีพลังบางอย่างที่สามารถพังทลายข้อจำกัดของห้วงเวลาได้ และเกิดปรากฏการณ์อันไม่คาดคิด” 

 

 

“ความหมายของเจ้าคือ เจ้าก็คือปรากฏการณ์นั่น” ลู่เจี้ยถามกลับ 

 

 

เจียงหลีพยักหน้า “ข้าถูกดูดเข้าไปในห้วงเวลา ตอนที่ข้ากำลังต่อสู้กับศัตรูเพื่อปกป้องคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้าไม่ให้จากไปในอีกโลกหนึ่ง หลังจากนั้นข้าก็มาถึงที่นี่อย่างงุนงง เมื่อข้าลืมตาขึ้น ข้าก็อยู่บนสนามประลอง กลายเป็นเจียงหลีที่อยู่ในโลกนี้” นางละการบรรยายที่ล่องลอยอยู่ในห้วงอากาศไว้ เหตุการณ์ที่ประสบช่วงนั้น เมื่อย้อนคิดแล้วก็เหมือนฝันไป 

 

 

“ตอนนี้ ข้ากลับไปไม่ได้ ในเมื่อได้ครอบครองร่างกายของนาง ก็คงได้แต่เพียงมีชีวิตต่อไปในสถานะของนาง” เจียงหลีพูดอย่างจนปัญญา พร้อมมองดูสองมือของตนเอง  

 

 

การได้ครอบครองร่างนี้ ทำให้นางไม่พอใจจริงๆ! 

 

 

เมื่อพูดจบทั้งหมดแล้ว เจียงหลีพูดกับลู่เจี้ยว่า “เรื่องของข้าได้พูดจบแล้ว ท่านต้องการหลักฐาน ข้าก็ไม่มีให้ท่านหรอก แม้แต่ร่างนี้ที่ครอบครองร่างก็ไม่ใช่ร่างเดิมของข้า ท่านจะให้ข้าพิสูจน์อย่างไร ดังนั้น ถ้าจะถามเรื่องหลักฐาน ก็คงต้องถามว่าท่านเชื่อหรือไม่เสียมากกว่า” 

 

 

นัยน์ตาของนางแผ่กระจายแสงเจิดจรัสออกปะทะเข้ากับนัยน์ตาอันลุ่มลึกดุจใต้ลึกบาดาลคู่นั้นของลู่เจี้ย  

 

 

“เล่าเรื่องโลกแห่งนั้นของเจ้าดูบ้างสิ” ลู่เจี้ยพูดอย่างเรียบๆ สายตาที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับทำให้คนรับรู้ได้ว่าสิ่งที่อยู่ในใจเขาทั้งหมดล้วนไม่ได้แสดงออกผ่านสายตานั่นแม้แต่น้อย 

 

 

น่าสนใจ! 

 

 

นัยน์ตาของเจียงหลีส่องประกายขึ้น 

 

 

ลู่เจี้ยสามารถพูดประโยคนั้นออกมาก็หมายความว่าเขาได้เชื่อไปครึ่งหนึ่งแล้ว 

 

 

แต่… 

 

 

“อยากรู้หรือ ถ้าเช่นนั้นรอให้มีข้อแลกเปลี่ยนครั้งหน้า ข้าค่อยบอกท่าน” 

 

 

ลู่เจี้ยย่นคิ้ว 

 

 

เด็กสาวผู้นี้ตั้งใจจะต่อรอง 

 

 

การที่คนๆ หนึ่งพูดโกหกหรือไม่ ต้องดูว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นรั่วไหลออกมากน้อยเพียงไหน หากยิ่งพูดเยอะ ก็ยิ่งเห็นข้อจับผิดได้มากขึ้น ทว่า เป็นที่แน่ชัดว่า นางเด็กสาวคนนี้มองเจตนาของเขาออก จึงจงใจหยุดไว้แค่นี้ 

 

 

วิญญาณจากอีกโลกหนึ่งหรือ ลู่เจี้ยพูดเบาๆ ในใจ เรื่องนี้ หากพูดออกไป มีแต่จะทำให้ถูกหัวเราะเยาะเอาได้ แต่เมื่อเขามองดวงตาสองดวงของนาง กลับรู้สึกว่าเป็นความจริง 

 

 

จริงๆ แล้ว มีโลกอื่นดำรงอยู่หรือไม่ 

 

 

“ยกให้เจ้าก่อนสักครั้ง” ผ่านครู่ใหญ่ ลู่เจี้ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่สะทกสะท้าน 

 

 

เจียงหลียิ้มออกมา ใบหน้าเรียวเล็กอ่อนแอ้น เผยบุคลิกที่ไม่ได้เป็นของเจ้าของกายเดิม ชนะแล้ว! เฮ้อ ในที่สุดก็ชนะสักครั้ง 

 

 

ดวงตาของลู่เจี้ยส่องประกายขึ้น เบื้องหน้าถูกรอยยิ้มของนางทิ่มแทงจนสายตาพร่ามัว 

 

 

เขาสะบัดชายเสื้อออก พิงเตียงนอนอย่างสบายๆ ท่วงท่าอากัปกิริยาของเขาเต็มไปด้วยความงามหลากอารมณ์ ทำให้คนรู้สึกเสียดายหากจะต้องละสายตาออกไป 

 

 

“หนังสือถอนหมั้นของเจ้าถูกส่งไปแล้ว ตระกูลเย่ว์ต้องไม่ให้อภัยเจ้าเป็นแน่ ถ้าคิดจะกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลเย่ว์คืน พวกเขาจะไม่กล้ามาถามหากับคนตระกูลลู่ แต่จะตามตัวเจ้าโดยตรง” 

 

 

ไอ้เจ้าคนนี้นี่! เจียงหลีแอบด่าในใจ 

 

 

การกล่าวออกมาเช่นนี้ก็ชัดเจนว่ากำลังขมขู่นาง และเอาคืนที่นางตั้งใจไม่บอกเมื่อครู่ 

 

 

“เย่ว์หนานซีคนนั้นเก่งกล้าสามารถมากนักหรือ” เจียงหลีถามโดยที่ไม่คิดเช่นนั้น คนมีความสามารถที่นางเคยพบมากมายเหลือเกิน และตัวเองก็เป็นผู้มีความสามารถเหมือนกัน แล้วทำไมถึงต้องเอาเย่ว์หนานซีอยู่ในสายตาด้วย 

 

 

แน่นอนว่า นางรู้ดีว่าในตอนนี้แค่นิ้วมือเดียวของเย่ว์หนานซีก็สามารถบีบนางให้ตายได้ 

 

 

“เย่ว์หนานซีเป็นเทียนเจียวที่มีพรสวรรค์ที่สุดของตระกูลเย่ว์ เมื่ออายุเจ็ดปีเบิกเนตรญาณได้ห้าดวง เจ้าว่าเก่งกาจหรือไม่” ลู่เจี้ยจงใจเสียดสีนาง 

 

 

เขาอยากจะเห็นเหมือนกันว่านางผู้อ้างว่าตัวเองเป็นราชินีคนนี้ จะจัดการกับปัญหาในภายหลังอย่างไร 

 

 

“เนตรญาณ? อะไรคือเนตรญาณหรือ” เจียงหลีมองเขาอย่างฉงน 

 

 

ดวงตาของลู่เจี้ยมองไปทางอื่น พร้อมอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ “คนบนโลกนี้จะมีเนตรญาณติดตัวแต่กำเนิด ในช่วงวัยเยาว์ หากสามารถปลุกญาณให้ตื่นได้ ก็จะสามารถฝึกฝนบำเพ็ญเพียรได้ เมื่อเนตรญาณตื่นขึ้นแล้ว หากมีมากกว่าสามญาณ ถึงจะถือว่ามีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร หากยิ่งเบิกเนตรญาณได้มาก ก็แสดงว่ายิ่งมีพรสววรค์ที่แกร่งกล้า อีกทั้งว่ากันว่า ผู้ที่มีพรสวรรค์แข็งแกร่งที่สุดสามารถเบิกเนตรญาณได้ถึงเก้าญาณ ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าขานเท่านั้น” 

 

 

ที่แท้ นี่ก็คือระบบบำเพ็ญฝึกฝนของโลกแห่งนี้เองน่ะหรือ เจียงหลีฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ “เช่นนั้น แล้วจะเบิกเนตรญาณให้ตื่นได้อย่างไร” 

 

 

ลู่เจี้ยเห็นดวงตาที่ไม่ชัดเจนบนตัวนาง จึงบอกอย่างเรียบๆ “จะเบิกเนตรญาณให้ตื่นขึ้นได้ ภายในร่างกายต้องมีพลังชนิดหนึ่งควบคู่ด้วย” 

 

 

เจียงหลีได้ยินคำพูดนั้นก็หลับตาทั้งสองคู่ลง ผ่านไปไม่นาน นางก็เบิกตาทั้งคู่ขึ้นโดยพลัน พูดกับลู่เจี้ยว่า “พลังนี้ ข้าก็มีนะ!”  

 

 

ดวงตาของลู่เจี้ยเคร่งขรึมขึ้นมาทันที