บทที่ 13 เทพธิดากับข้ามีวาสนาต่อกัน

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 13 เทพธิดากับข้ามีวาสนาต่อกัน!
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนผ่านทางค่อยๆ เจื่อนลง

“เจ้าปั่นหัวข้า?”

เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของคนผ่านทาง เสิ่นเทียนไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด

“ข้าได้พูดไว้แต่แรกแล้วว่าจะช่วยคนมีวาสนาหาวิญญาณประเมินแร่ ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน จะมาหาว่าข้าปั่นหัวท่านได้อย่างไร!”

มองดูวงรัศมีสีขาวที่อยู่เหนือศีรษะของคนผ่านทาง เสิ่นเทียนก็หมดหนทางเช่นกัน

เจ้าโทษข้าอย่างนั้นหรือ!

เหนือศีรษะของเจ้าไม่มีแสงสีเขียวแม้แต่น้อยนิด และไม่มีภาพโชคลิขิตใดๆ ปรากฏ

จะนับว่าเป็นผู้มีวาสนามาร่วมวงอะไร

วาสนาเช่นนี้ยังคิดจะเปิดหิน ข้าจะไปหาแร่ที่มีของจากที่ไหนมาให้เจ้า

เห็นคนผ่านทางดึงแขนเสื้อขึ้น เหมือนกำลังคิดจะลงไม้ลงมือ

เสิ่นเทียนกล่าวเตือนด้วยความหวังดี “พี่ชาย ดูเหมือนในสวนหมื่นวิญญาณจะไม่อนุญาตให้ลงไม้ลงมือ ผู้ฝ่าฝืนต้องถูกลงโทษ”

มุมปากของคนผ่านทางกระตุก แต่สุดท้ายก็ดึงกำปั้นกลับด้วยความไม่พอใจ

กว่าจะเก็บซ่อนเงินส่วนตัวไว้ใช้สักนิดไม่ใช่เรื่องง่าย มาถูกปรับเพราะมีเรื่องชกต่อยมันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

“ไอ้นักต้มตุ๋น เจ้ารอก่อนเถอะ ข้าจะไปหาผู้คุมกฎของสวน ให้พวกเขามาจัดการเจ้าเดี๋ยวนี้!”

คนผ่านทางเดินจากไปพร้อมกับคำสบถ

ส่วนเสิ่นเทียนถอนหายใจแล้วย้ายแผงของตนเองไปที่ถนนอีกเส้นหนึ่ง

ในเมื่อเจ้าพูดแล้วว่าจะไปหาคณะผู้ดูแล ยังจะให้ข้ารออีก?

ข้าดูเหมือนคนโง่มากเช่นนั้นเลยหรือ

……

ต่อจากนั้น เสิ่นเทียนนำบทเรียนครั้งก่อนมาใช้ ไม่พูดไร้สาระกับผู้คนอีก

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถาม ถ้าหากเหนือศีรษะไม่มีโชคลิขิตก็จะพูดออกไปโดยตรง “ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน”

เช่นนั้นแล้ว กลับกันยิ่งทำให้เขาดูมีชั้นเชิงและรัศมีที่ลึกลับมากขึ้น

ผนวกกับถึงแม้ว่าเขาติดหนวดสองเส้น ก็ไม่อาจบดบังความหล่อเหลาบนใบหน้า และออร่าความสูงศักดิ์ที่อยู่ในตัว

กลับกันผู้คนที่เข้ามาถามหาวาสนาก็เพิ่มขึ้นทีละคนสองคน ตอนนี้มีจำนวนหลายสิบคนแล้ว

เพียงแต่ในบรรดาคนเหล่านี้ โดยมากล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น

“พี่นักพรตหล่อมากเลย หนวดสองเส้นนั้นเหมือนกับมีคิ้วสี่เส้น”

“ดูแล้วพี่นักพรตน่าจะอายุยังไม่เยอะกระมัง ไม่ทราบว่าเคยผูกสหายร่วมบำเพ็ญหรือไม่ ลองพิจารณาข้าหน่อยสิ”

“พี่นักพรตจะไร้วาสนากับข้าได้อย่างไร! เรื่องของวาสนาสามารถผูกกันได้!”

“พี่นักพรตช่วยผู้คนค้นวิญญาณประเมินแร่ คิดว่าคงเหนื่อยแล้วกระมัง! มา ข้าจะช่วยเช็ดเหงื่อให้ท่าน”

……

เห็นโดยรอบของตนรายล้อมไปด้วยหญิงสาว เสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว

ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าข้ากับพวกเจ้าไม่มีวาสนาต่อกัน ยังจะมาคลอเคลียอยู่ข้างกายทำไม บดบังทัศนวิสัยการตามหาผู้มีวาสนาของข้าหมด

บอกว่าข้าเหนื่อยแล้วจะช่วยข้าเช็ดเหงื่อ?

เหอะๆ

จนกระทั่งถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่มีลูกค้าสักคนเลย หนังหน้าของข้าเกือบจะโดนพวกเจ้าถูเช็ดจนถลอกหมดแล้ว!

ส่วนกุ้ยกงกงกับฉินเกาที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วรู้สึกนับถืออย่างยิ่ง

องค์ชายก็คือองค์ชาย สติปัญญาไกลเกินกว่าที่คนเป็นบ่าวไพร่อย่างพวกเราจะสามารถเทียบได้

ดูสิ ดูสิ!

วีรบุรุษช่วยหญิงงามอะไร จำเป็นด้วยหรือ

องค์ชายเพียงแค่นั่งอยู่ที่นี้ ปลดปล่อยออร่าออกมา หญิงงามราวกับบุปผาก็รีบเดินเข้ามาหาทันที

ถึงแม้ดูแล้วไม่เหมือนกุลสตรีผู้เพียบพร้อมแต่อย่างใด

แต่ดอกท้อที่มีจุดด่างพร้อยก็ไม่นับว่าเป็นดอกท้อแล้วหรือ

ไม่เห็นหรือพวกผู้ชายที่เดินผ่านไปมาอิจฉาจนตาแดงหมดแล้ว

กุ้ยกงกงรู้สึกชื่นชมอย่างยิ่ง “ในที่สุดองค์ชายก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าหากพระสนมหลานที่อยู่ในแดนปรโลกรู้ จะต้องยิ้มร่าทั่วแดนปรโลกอย่างแน่นอน”

……

ในตอนนั้นเอง มีเสียงตะคอกดังขึ้นจากด้านในของถนน

“ในที่สุดข้าก็จับเจ้าได้แล้ว หนอย เจ้าบังอาจหนีหรือ!”

เสิ่นเทียนมองไปตามทิศทางของเสียง กลับพบว่าเป็นคนผ่านทางพาผู้บำเพ็ญเซียนในชุดนักพรตกลุ่มหนึ่งเดินมาทางนี้

ผู้นำของผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้เป็นเด็กสาวที่หน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง

อายุของนางราวๆ สิบห้าหรือสิบหกปี หน้าตาละมุนละไมน่าเอ็นดู ยังมีกลิ่นอายของความเยาว์วัย

แถมบนเหนือศีรษะยังมีผมกระจุกหนึ่งยื่นออกมา แลดูน่ารักยิ่งนัก

แต่กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของแม่นางผู้นี้ ค่อนข้างแข็งแกร่ง

กลิ่นอายเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่นักบำเพ็ญในช่วงหลอมปราณควรจะมี

อย่างน้อยก็ต้องเป็นช่วงสร้างฐาน!

“องค์ชายระวัง ผลบําเพ็ญของแม่นางผู้นี้ล้ำลึกอย่างยิ่ง บ่าวเกรงว่าท่านจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง!”

บนใบหน้าของกุ้ยกงกงเผยให้เห็นอารมณ์ที่เคร่งขรึม “หรือไม่ องค์ชายเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเถอะ!”

อย่างไรก็ตามที่นี่คืออาณาจักรต้าเหยียน สถานะขององค์ชายองค์ชายย่อมมีน้ำหนักระดับหนึ่ง

แม้ว่าองค์ชายจะกระทำเรื่องเหลวไหลไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นลงโทษสถานหนัก

“ไม่เป็นไร” เสิ่นเทียนยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

……

ในขณะที่กำลังสนทนา คนผ่านทางและผู้คุมกฎเหล่านั้นได้เดินมาถึงตรงหน้าของเสิ่นเทียนแล้ว

“ท่านเทพธิดาดู เจ้าคนนี้แหละที่ใช้คำพูดหลอกล่อปลุกปั่นให้ผู้คนหลงเชื่อในสวนหมื่นวิญญาณ!”

คนผ่านทางชี้หน้าเสิ่นเทียน แลดูท่าทางค่อนข้างโมโห

ส่วนเด็กสาวผู้นั้นเห็นเสิ่นเทียน ดวงตากลับเป็นประกาย ผมที่เป็นกระจุกตั้งตรงขึ้นมาทันที

นางพูดพึมพำ “สหายเต๋าท่านนี้ดูแล้วก็ไม่ได้เหมือนคนชั่วอะไรเลย! เข้าใจอะไรผิดหรือไม่”

คนผ่านทางร้อนใจแล้ว “เทพธิดา ท่านอย่าโดนรูปลักษณ์ภายนอกของเขาหลอกเอาเด็ดขาด ข้าสาบาน เขาเป็นพวกนักต้มตุ๋นแน่นอน!”

ในขณะนั้นเอง แม่นางหลายคนที่อยู่ข้างๆ เริ่มขัดใจ

“เหอะเหอะ พี่นักพรตหล่อเสียเช่นนี้ จะเป็นนักต้มตุ๋นได้อย่างไร”

“พี่นักพรตพูดชัดเจนแล้ว ช่วยคนมีวาสนาค้นวิญญาณประเมินแร่ พวกเราแทบอยากโดนเขาหลอก แต่เขาก็ไม่ยอมตอบตกลง แล้วคิดว่าจะมาหลอกคนหน้าตาอุบาทว์ทุเรศอย่างเจ้าหรือ”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว มีคนหน้าตาหล่อเช่นนี้เป็นนักต้มตุ๋นที่ไหนกัน”

“พี่นักพรตช่วยผู้มีวาสนาค้นวิญญาณประเมินแร่โดยไม่หวังผลตอบแทน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาพยายามมากแค่ไหน แต่เจ้ากลับมาปรักปรําเขา”

“ข้าว่าเจ้ามีแรงจูงใจที่ไม่บริสุทธิ์ ริษยาพี่นักพรตมากกว่า”

“สมควรโดนลงโทษ!”

“สมควรโดนลงโทษ!”

“ลงโทษ!”

……

เห็นสถานการณ์เริ่มควบคุมไม่ได้ เด็กสาวเริ่มทำอะไรไม่ถูก “รบกวนทุกท่านช่วยเงียบก่อน!”

ทว่าไม่มีใครสนใจนาง สถานที่เกิดเหตุยังคงวุ่นวาย

ชิง!

ผู้คุมกฎหลายคนที่อยู่ข้างๆ ของเด็กสาวชักกระบี่ออกจากฝักพร้อมกัน

ทันใดนั้น กระบี่อาคมนับสิบเล่มพุ่งทะลวงฟ้า ปลดปล่อยประกายกระบี่ที่ไม่อาจต้านทาน

ปราณกระบี่ที่เย็นยะเยือกและแหลมคมชี้ไปที่ทุกคน

ทุกอย่างเงียบสงบลงทันที

เป็นอย่างที่คิด การควบคุมสถานการณ์แบบนี้พึ่งพาได้มากกว่า

เด็กสาวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเสิ่นเทียน หรี่ตาลงยิ้มแล้วกล่าว “ข้าหลี่เหลียนเอ๋อร์เป็นลูกศิษย์สายตรงของแดนเทวาดาวประกายพรึก ไม่ทราบว่าสำนักสืบทอดของสหายเต๋าเป็นพรรคใด”

มองดูหลี่เหลียนเอ๋อร์ที่มีผมกระจุกยื่นออกมา ในใจของเสิ่นเทียนแอบรู้สึกโล่งใจ

โชคดีที่ก่อนหน้านี้ตนเองเปลี่ยนสถานะ ไม่ได้ใช้ชื่อเสียงของเสิ่นเอ้ามาทำการค้า

ไม่เช่นนั้น ตอนนี้คงถูกเปิดโปงอย่างแน่นอน

หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เสิ่นเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “เสิ่นเอ้าเทียน ลูกศิษย์ผู้สูงศักดิ์เทียนจีถ้ำหุบเหวเดียวดายแห่งเขานามวสันต์ คำนับเทพธิดาเหลียนเอ๋อร์”

“เขานามวสันต์ ถ้ำหุบเหวเดียวดาย ผู้สูงศักดิ์เทียนจี?”

หลี่เหลียนเอ๋อร์ส่ายศีรษะแล้วกล่าว “ดูเหมือนเหลียนเอ๋อร์ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”

คนผ่านทางยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “ใครจะไปรู้ว่าเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาหรือเปล่า เทพธิดาอย่าหลงเชื่อเขาเด็ดขาด!”

เสิ่นเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย “อาจารย์ไม่ชอบเข้าสังคมร่วมกับผู้อื่น เก็บตัวเพลิดเพลินความสุขเพียงลำพัง เทพธิดาไม่เคยได้ยินก็ถือเป็นเรื่องปกติ”

“อ๋อ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”

หลี่เหลียนเอ๋อร์ไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามดินแดนบูรพากว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก

นอกจากสามสิบหกแดนเทวา เจ็ดสิบสองแดนผาสุก ก็มีถ้ำขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผู้บำเพ็ญเซียนเข้าไปอาศัยอยู่เพียงลำพัง

มีชื่อ ‘ผู้สูงศักดิ์เทียนจีของถ้ำหุบเหวเดียวดายแห่งเขานามวสันต์’ อีกคนโผล่ออกมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร

สิ่งเดียวที่ต้องรู้ให้แน่ชัดในตอนนี้คือเสิ่นเทียนมีความสามารถจริงหรือเป็นเพียงพวกนักต้มตุ๋นหาผลประโยชน์

หลี่เหลียนเอ๋อร์มองเสิ่นเทียน กล่าวด้วยความอยากรู้ “สหายเต๋ามีทักษะค้นวิญญาณประเมินแร่จริงหรือ”

เสิ่นเทียนกล่าวอย่างมั่นใจ “หากไม่จริงรับผิดชอบเปลี่ยนของ”

“พิสูจน์อย่างไร”

“หากเทพธิดายินดี ข้าจะช่วยเทพธิดาตามหาและเปิดหินแร่วิญญาณ”

หลี่เหลียนเอ๋อร์มองดูป้ายทั้งสองข้างของเสิ่นเทียน บนใบหน้าอ่อนเยาว์ของนางเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “ก็ไหนสหายเต๋าบอกว่าผู้ไร้วาสนาทองคำหมื่นชั่งไม่ทำนายไม่ใช่หรือ”

เสิ่นเทียนมองหลี่เหลียนเอ๋อร์พลางกะพริบตาปริบๆ “แน่นอนว่าเพราะ…เทพธิดาและข้ามีวาสนาต่อกัน!”

………………………………………..