ตอนที่ 8 จับรางวัลต่อเนื่อง

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

วงล้อว่างเปล่าหมุน มองไม่เห็นว่ามีอะไร ไม่ให้ความรู้สึกรอคอยเลยสักนิด

หนึ่งนาทีต่อมา

“ติ๊ง! ยินดีด้วยท่านได้รับวิชาเทพคุ้มกันแห่งพุทธ [หัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์]!”

ฟางเจิ้งอึ้งไป “วิชาเทพ? ร้ายกาจมากไหม?”

ปึก!

ตำราสีเหลืองเล่มหนึ่งตกลงในมือฟางเจิ้ง เขาก้มหน้ามองแวบหนึ่ง ทั้งเล่มเป็นสีเหลือง ข้างหลังมีสัญลักษณ์สวัสดิกะ[1]卍 ดูแล้วเหมือนกับดอกเบญจมาศที่รอวันเบ่งบานมาก

“เป็นตำราที่ดูมีพลังจริงๆ…ระบบ นายเข้าถึงแก่นของหนังในประเทศที่เป็นเกาะแล้ว! การออกแบบเล่มก็ถือว่าไม่เลว…” ฟางเจิ้งกล่าวพลางพลิกตำรา ด้านหน้าเขียนตัวอักษรใหญ่ที่ดูมีพลังไว้หลายตัว [หัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์]!

ฟางเจิ้งเปิดตำราโดยจิตใต้สำนึก หนึ่งเค่อต่อมาตาลาย ตอนที่เห็นชัดอีกครั้งก็มาอยู่บนดอกไม้หนึ่ง! ตรงหน้าเป็นหลวงจีนรูปหนึ่งยืนอยู่บนแท่นเปล่งแสงทองอร่าม มองมาทางฟางเจิ้ง หลวงจีนรูปนั้นขยับแล้ว! สองมือประนมไว้ตรงหน้าอก เหมือนกำลังท่องบทสวด แต่ต่อมาฟางเจิ้งเห็นภาพน่าเหลือเชื่อ อดพูดขึ้นไม่ได้ “เวรแล้ว! ตายแน่! ตายแน่ๆ!”

โครม!

หินยักษ์ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ!

ฟางเจิ้งตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ “ยอดเยี่ยม แกร่งขนาดนี้เชียว! อย่างกับเหล็ก!”

หลังหลวงจีนรูปนั้นปล่อยฝ่ามือแล้วก็ดึงฝ่ามือกลับ สองมือประนมอีกครั้งจะใช้วิชาอีกรอบ เมื่อเขาโคจรพลังแล้ว ฝ่ามือกับต้นแขนก็ขยายใหญ่ขึ้นตาม หนากว่าเดิมหนึ่งเท่า! สองฝ่ามือประหนึ่งเหล็กกล้าตบออกไป กำลังสูงส่งไร้ใครเปรียบ!

โครม หินใหญ่ขนาดเท่าคนอีกก้อนถูกตบจนแหลก!

จากนั้นหลวงจีนรูปนั้นก็กลับมาท่าเดิมอีกครั้ง

สามครั้งผ่านไปหลวงจีนรูปนั้นเริ่มมีท่าทางอื่นๆ เริ่มแสดงไปทีละกระบวนท่า [หัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์] มีการเปลี่ยนรูปแบบไม่มาก แก่นแท้อยู่ที่หัตถ์ ศัตรูขยับเราขยับ หนึ่งหัตถ์ปะทะ หนึ่งพลังสยบสิบ! ไม่ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนรูปแบบเป็นพันเป็นหมื่น แค่ฝ่ามือเดียวก็ทำลายได้อย่างง่ายดาย!

ฟางเจิ้งดูจบแล้ว ภาพตรงหน้าหายไป จากนั้นรู้สึกว่าเอ็นกับกระดูกทั่วร่างคันแปลกๆ สองฝ่ามือขยายใหญ่และเจ็บ ในความคิดมีภาพขยับวูบผ่านอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวเหมือนผ่านไปสิบยี่สิบปี แต่ในสิบยี่สิบปีนี้เขาฝึกฝนวิชาหัตถ์ชุดนี้อย่างหนัก จนกระทั่งตระหนักรู้ถึงแก่นแท้แล้วถึงสิ้นสุดลง!

ตอนที่ฟางเจิ้งลุกขึ้นยืนดูเวลา ก็พบว่าผ่านไปเพียงสามวินาที! แต่เขารู้สึกยาวนานราวกับผ่านไปหนึ่งยุคจริงๆ!

ส่วนความเข้าใจต่อ[หัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์]ก็บรรลุถึงแก่นแท้ยิ่งกว่าเดิม เหมือนฝึกฝนสิบยี่สิบปี กระทั่งร้อยปีจริงๆ

“ไม่เลว ระบบนี่เจ๋งจริงๆ แค่สามวินาทีก็เปลี่ยนฉันจากเศษขยะให้เป็นยอดฝีมือสูงส่งได้” ฟางเจิ้งพึมพำด้วยความแปลกใจ ก่อนตรงไปยังห้องอาบน้ำ ชะล้างร่างกายให้รู้สึกสดชื่น ส่วนมีดและตะบองข้างกายโยนทิ้งไปแล้ว มีหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์อยู่กับตัว กับแค่หมาป่าเขาไม่สนใจแล้ว แต่เริ่มอยากให้หมาป่ามา การช่วยหนึ่งชีวิตคนมีค่ากว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น!

มิหนำซ้ำยังได้จับรางวัลอีก!

เอาล่ะ จากนี้ไปต่างหากที่สำคัญ…

“นี่พี่ระบบ จับรางวัลต่อเลยดีกว่า” ฟางเจิ้งกล่าว

วงล้อหมุนอีกครั้ง

ฟางเจิ้งพลันมีสีหน้าขมขื่น “ช่างเถอะ นายอย่าเอาของที่ไม่ดีมาให้ฉันละกัน จะจับก็จับเลย บอกฉันด้วยว่าได้อะไร”

“ติ๊ง ยินดีด้วยนายได้รับความสามารถพิเศษ วิชาภาษาสัตว์!”

“เอ่อ มันมีประโยชน์อะไรเหรอ?” ฟางเจิ้งอึ้งไป ถึงจะเข้าใจความหมายแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังถาม

“หลังเรียนวิชาภาษาสัตว์แล้วจะสื่อสารกับทุกสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ได้ ฟังพวกมันเข้าใจ พวกมันก็ฟังนายเข้าใจเหมือนกัน”

“…” ฟางเจิ้งพูดไม่ออกอยู่เล็กน้อย ก่อนบ่น “พี่ระบบ นายว่าฉันหรือเปล่าเนี่ย? เห็นว่าฉันอยู่บนเขาคนเดียวกลัวเหงาเลยให้ฉันเป็นพวกเดียวกับสัตว์รึไง?”

แต่ระบบไม่สนใจเขา

“ก็ได้ ในเมื่อจับแล้วก็ใช้แล้วกัน” ฟางเจิ้งพูดจบ เหมือนมีกระแสบริสุทธิ์วูบผ่านในความคิด จากนั้นมีบางสิ่งเพิ่มมาในความคิด ศึกษาไม่แตกฉาน แต่กลับมีอยู่จริงๆ ความรู้สึกเย็นสบายนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร หลายวินาทีต่อมาก็หายไป ฟางเจิ้งเกิดการตระหนักรู้บางอย่าง แต่บอกไม่ถูก ทว่าเขาก็รู้ว่าน่าจะคุยกับสัตว์ได้แล้ว

หลังจับรางวัลเสร็จ ฟางเจิ้งก็เตรียมตัวเข้านอนอย่างสบายใจ ขณะเดียวกันยังอวยพรเงียบๆ “หมาป่าน้อย นายเองก็หลับฝันดีเถอะ…”

ทว่าฟางเจิ้งกลับนอนไม่หลับ!

“เฮ้อ ช่วยหนึ่งชีวิตมีค่ากว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ความโลภเป็นบาปดั้งเดิม เวรจริงๆ ฉันดันอยากให้หมาป่ามาจริงๆ เสียได้ จากนั้นช่วยคน จากนั้นรับผลประโยชน์ คุณธรรมพังป่นปี้หมดแล้ว…” ฟางเจิ้งลุกขึ้นนั่งด่าทอเบาๆ

“ช่างเถอะ ฉันเองก็ไม่ใช่คนเลวอะไรจริงๆ ออกไปดูหน่อยแล้วกัน” ฟางเจิ้งพูดจบก็สวมจีวรเดินออกไป

ดวงจันทร์อยู่กลางฟ้า นอกวัด พวกวัยรุ่นที่กางเต็นท์เสร็จแล้ว ก่อกองไฟ ตั้งแคมป์ในป่านั่งอยู่รวมกัน กำลังคุยกันเรื่องที่ประสบมาในหลายวันนี้

โดยเฉพาะจ้าวต้าถงที่คุยโม้ น้ำลายกระเด็นไปไกลสามสิบนิ้ว อยู่ใกล้ๆ ถ้าไม่กางร่มคงเป็นหวัดเอาง่ายๆ

ขณะจ้าวต้าถงกำลังพูด หม่าเจวียนพลันแทรกขึ้น “เงียบ ตรงนั้นเหมือนมีบางอย่าง!”

จ้าวต้าถงหันไปมอง ภายใต้แสงจันทร์ตรงนั้นเหมือนมีบางอย่างจริงๆ! ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พืชหญ้าออกเป็นสีเหลือง หญ้าก็สูงมากจึงมองไม่เห็นว่าหลังกอหญ้ามีอะไร เห็นเพียงหญ้าขยับไหวเบาๆ ส่งเสียงดังแกรกๆ

หม่าเจวียนจับแขนฟางอวิ๋นจิ้งเอาไว้แน่นพลางพูดเบาๆ “อวิ๋นจิ้ง จะมีผีหรือเปล่า? หรือไม่ก็อาจจะเป็นหมาป่า?”

“มะ…ไม่ใช่หรอกมั้ง…” ฟางอวิ๋นจิ้งพยายามปรับสีหน้าสงบนิ่ง แต่ว่าคำพูดกลับติดอ่าง

จ้าวต้าถงหยิบท่อนไม้ใหญ่ที่เตรียมไว้ข้างๆ ขึ้นมาจุดไฟเป็นคบเพลิง “อย่ากลัว ถ้าเป็นหมาป่าก็ไม่เป็นไร หมาป่ากลัวไฟ พวกเรามีไฟอยู่ พวกมันไม่กล้าแน่”

“แฮ่…” เสียงคำรามดังแว่วมาจากกลางพุ่มไม้ จากนั้นมีปากยาวยื่นมาจากกลางพุ่ม เผยคมเขี้ยว ดวงตาสีเขียว ขนสีเทา นั่นหมาป่า! บนหน้าหมาป่าตัวนี้มีรอยแผลเป็น ดวงตาแคบยาว หางตก แขนขาสี่ข้างย่ำบนหญ้าอย่างมีจังหวะ ทั้งยังขู่กรอดๆ เหมือนเตือนว่ามันพร้อมจู่โจมฆ่าคนทุกเมื่อ!

“ระวัง นี่หมาป่าเดียวดาย! น่ากลัวกว่าฝูงหมาป่าอีก!” หูหานร้องด้วยความตกใจ

หม่าเจวียน “หมายความว่าไง? หมาป่าตัวเดียวน่ากลัวกว่าฝูงหมาป่าเหรอ?”

ฟางอวิ๋นจิ้งดันแว่นตาขึ้นแล้วตอบกลับ “หมาป่าจะอยู่เป็นฝูง ถ้าเจอหมาป่าตัวเดียวนั่นหมายความว่ามันถูกไล่ออกมา และหมาป่าที่ถูกไล่ออกมาก็มีความเป็นไปได้เดียวคือมันเคยเป็นจ่าฝูงมาก่อน ถูกจ่าฝูงตัวใหม่ท้าสู้แพ้แล้วออกจากฝูงมา ร่างกายหมาป่าชนิดนี้คือเนื้อแท้ มีสติปัญญา มีความบ้ากว่าหมาป่าทั่วไปมาก ที่สำคัญคือมันจะสู้สุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด! ไฟไม่ทำให้มันกลัวเลย”

หม่าเจวียนรู้สึกกลัวจริงๆ แล้วจึงไปหลบหลังฟางอวิ๋นจิ้ง

…………………

[1] เครื่องหมายสวัสดิกะ แสดงถึงวัดในพระพุทธศาสนา สื่อความหมายถึงพลวัตร การเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นเครื่องหมายแห่งการหล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง