บทที่ 11 ฝันร้าย

“พี่หนิง เมื่อกี้ฉันได้ยินถูกหรือเปล่า? ฉันได้ยินว่าคนที่มาเป็นคนของเฉิงกัวอันใช่ไหม?”

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จหลี่หรงก็กลับเข้าห้องของเธอไปนั่งพิมพ์เอกสารในคอมพิวเตอร์ของเธอเอง แต่เธอยังคงได้ยินเสียงพูดคุยเบา ๆ จากด้านนอกห้องอยู่ ในตอนนี้เมื่อเสียงเงียบไปเธอจึงตะโกนถามออกมาจากห้องเพื่อถามย้ำให้ชัดว่าเมื่อครู่เธอไม่ได้หูฝาดไป

“ใช่ค่ะคุณหรง พวกเขามาหาคุณอวี้เพื่อเชิญให้ไปพบกับเจ้านายของพวกเขาเฉิงกัวอัน แต่เมื่อกี้คุณอวี้ตอบกลับไปว่าตอนนี้เขายังไม่ว่าง” พี่เลี้ยงหนิงตอบกลับด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อย เพราะเธอไม่รู้ว่าเฉิงกัวอันเป็นใคร

“ห๊ะ? คนของเฉิงกัวอันมาเชิญให้อวี้ฮ่าวหรานไปหาแต่เขากลับปฏิเสธไปเนี่ยนะ!?”

หลี่หรงวิ่งพรวดออกมาจากห้องทันทีด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเพื่อดูว่าคนของเฉิงกัวอันกลับไปหรือยัง ซึ่งน่าเสียดายที่พวกเขากลับไปหมดแล้ว

หากเป็นก่อนหน้านี้ที่พวกเขายังไม่ได้เซ็นสัญญากันระหว่างบริษัทเธอคงไม่ตื่นตระหนกขนาดนี้ แต่ตอนนี้พวกเขาเซ็นสัญญากันแล้ว เธอกังวลเป็นอย่างมากว่าการที่อวี้ฮ่าวหรานปฏิเสธไปแบบนี้มันจะทำให้ฝั่งตรงข้ามไม่พอใจ และยกเลิกสัญญาของเธอเอาง่าย ๆ

ไอ้บ้าอวี้ฮ่าวหราน! นายเป็นบ้าอะไรถึงได้ปฏิเสธไปแบบนั้น ไม่มีเวลาบ้าอะไรของนาย!?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ความรู้สึกด้านบวกที่มันเพิ่มขึ้นมาหน่อยจากเหตุการณ์เมื่อวานต่ออวี้ฮ่าวหรานมันก็ลดลงไปเหลือ 0 อีกรอบ หลี่หรงกัดฟันกรอดพร้อมกับคิดในใจว่า

‘อวี้ฮ่าวหราน ถ้าหากนายทำให้สัญญาฉบับนี้เป็นโมฆะล่ะก็ฉันเอานายตายแน่!’

พี่เลี้ยงหนิงที่เห็นภาพหลี่หรงกำลังกัดฟันกรอด เธอก็รู้สึกงุนงงไม่เข้าใจว่าวันนี้หลี่หรงเป็นอะไร อย่างไรก็ตามเมื่อเธอรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอเธอจึงทำความสะอาดบ้านต่อไปโดยไม่สนใจอะไรต่ออีก

ที่ด้านหน้าโรงเรียนอนุบาลแอปเปิ้ลแดง อวี้ฮ่าวหรานหอมแก้มถวนถวนฟอดใหญ่ก่อนจะส่งตัวเทพธิดาน้อยของเขาให้เข้าไปในโรงเรียน

ณ คฤหาสน์เฟิงหลิน

อวี้ฮ่าวหรานมาที่นี่ตามที่ระบุในบัตรเชิญ จากนั้นเพียงเวลาไม่นานหลังจากเขากดออดที่หน้าประตูก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินมาเปิดประตูให้กับเขา

ชายวัยกลางคนผู้นี้มีหน้าตาเป็นคนจีนโดยแท้ รูปร่างของเขาไม่อ้วนไม่หูกาง ดูไม่เจ้าเล่ห์เหมือนกับพวกนักธุรกิจทั่วไป อวี้ฮ่าวหรานเดาคร่าว ๆ ว่าคนคนนี้น่าจะเป็นเฉิงกัวอัน

คนที่ดูเป็นคนดีไม่มีพิษไม่มีภัยแบบนี้เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โตได้ยังไง?

อย่างที่ทุกคนรู้ คนที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนักจนหล่อหลอมให้คนผู้นั้นกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ และโหดเหี้ยมไปโดยปริยาย อย่างเช่นคำที่หลายคนมักบอกกันว่า ‘หากคุณไม่เหี้ยมพอคุณไม่มีทางอยู่ในโลกธุรกิจได้’

เฉิงกัวอันที่สวมชุดอยู่บ้านแบบสบาย ๆ พาอวี้ฮ่าวหรานเดินไปนั่งที่ห้องรับแขก เมื่อทั้งคู่นั่งลงเขาก็นั่งมองสำรวจอวี้ฮ่าวหรานอย่างละเอียดโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาอยากรู้ว่าชายคนนี้มีดีอะไรถึงขนาดทำให้ลูกสาวของเขาเองพูดเชิดชูราวกับเป็นพระเจ้าในคราบมนุษย์แบบนั้น

ต้องรู้ว่าตั้งแต่เขาเลี้ยงลูกสาวของตัวเองมาจนโต มันยังไม่มีสักครั้งเลยที่ลูกสาวของเขาจะพูดจาชื่นชมเพศตรงข้ามอย่างออกนอกหน้านอกตาขนาดนี้ นี่คือครั้งแรก!

“คุณเฉิง คุณเรียกผมมามีธุระอะไร?”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดให้พังลง เขาไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องเกรงใจฝั่งตรงข้ามแม้แต่น้อย เพราะในสายตาของเขาเจ้าของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเมืองก็ไม่ต่างอะไรกับมดนางพญา ซึ่งถึงแม้ว่ามดนางพญาจะมีอำนาจควบคุมมดทั้งรัง แต่มันก็ยังเป็นมดอยู่ดี ดังนั้นเมื่อเป็นมดมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เขาสามารถบี้ให้ตายได้อย่างง่าย ๆ หากเขาต้องการ

อย่างไรก็ตามในเมื่อตอนนี้มดตัวนี้มีประโยชน์กับเขา เขาจึงจำเป็นต้องสละเวลามาที่นี่สักหน่อย เพราะมดตัวนี้น่าจะทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้นมากหากคุยกันรู้เรื่อง

“ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนวีรบุรุษมักเป็นคนหนุ่มอยู่เสมอ ผมยอมรับตามตรงว่าผมดูคุณไม่ออกเลยจริง ๆ น่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ เอาล่ะที่ผมเรียกคุณมานั้นมันก็ไม่มีเรื่องอะไรมากมายหรอก ผมได้ยินลูกสาวของผมชื่นชมคุณเอาไว้เยอะ ดังนั้นผมเลยเรียกคุณมาที่นี่เพราะอยากจ้างให้คุณมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของลูกสาวผม คุณเห็นว่ายังไง?”

หลังจากพูดจบเฉิงกัวอันก็ล้วงเช็คเงินสดใบหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกง และวางมันลงบนโต๊ะที่ตั้งขั้นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจที่จะมองเช็คบนโต๊ะเลยด้วยซ้ำ เขาดันมันกลับไปหาเฉิงกัวอันด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“โอ้? นายไม่คิดจะดูหน่อยงั้นเหรอว่าฉันระบุจำนวนเงินไปบนเช็คเท่าไหร่?” เฉิงกัวอันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ผมต้องดูแลลูกสาวของผม ดังนั้นผมคงไม่มีเวลามาดูแลลูกสาวของคุณได้ตลอดเวลาหรอก” อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพลางส่ายหัว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะอยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆ แต่เขาไม่อยากจะทำงานที่ต้องเสียเวลาไปดูแลใครตลอดทั้งวัน คนที่เขาจะดูแลได้แบบนั้นมีแต่คนในครอบครัวของเขาเท่านั้นไม่ใช่คนอื่น!

“ฮ่าฮ่า ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร ๆ เอาเป็นว่าคุณรับเงิน 2 ล้านหยวนนี่ไปก่อน เพราะนี่มันคือค่าตอบแทนที่คุณอุตส่าห์ช่วยชีวิตลูกสาวของผมไว้ อย่าคิดว่าเงินนี่มันมากมายอะไร ชีวิตของลูกสาวเฉิงกัวอันมีค่ามากกว่าเงินจำนวนนี้เยอะ ส่วนเรื่องทำงานเอาเป็นว่าคุณไม่ต้องมาเป็นบอดี้การ์ดให้ลูกสาวผมก็ได้ แต่ถ้าผมมีปัญหาอะไรผมขอจ้างคุณเป็นครั้งคราวได้ใช่ไหม?” เฉิงกัวอันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กับคนที่มีความสามารถเช่นอวี้ฮ่าวหรานเขาต้องพยายามสุดฤทธิ์เพื่อซื้อใจเอาไว้

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามแสดงความจริงใจมาแบบนี้โดยไม่มีทีท่าว่าขุ่นเคืองเลย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพยักหน้าตกลง

เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาจำเป็นต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต และทำให้ความเป็นอยู่ของถวนถวนดีขึ้น และเขายังสามารถใช้ความสัมพันธ์กับเฉิงกัวอันทำให้ชีวิตเขาง่ายขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง

หลังจากคุยกันไปอีกเล็กน้อย อวี้ฮ่าวหรานก็หยิบเช็คมา และเดินออกจากคฤหาสน์ของเฉิงกัวอันไป

อวี้ฮ่าวหรานนั่งแท็กซี่กลับบ้าน

แต่แล้วในระหว่างที่เขากำลังนั่งแท็กซี่ เขาก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ เพราะตามปกติแล้วระยะทางจากคฤหาสน์ของเฉิงกัวอันกับบ้านของเขานั้นมันควรจะใช้เวลาแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึง แต่ตอนนี้แท็กซี่กลับพาเขาไปที่เขตชานเมืองแถมยังเป็นที่เปลี่ยวอีกต่างหาก

“เฮ้ คนขับ นายมาผิดทางหรือเปล่า?” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เขาถามจบ จู่ ๆ คนขับแท็กซี่ก็เลี้ยวเข้าไปที่โรงงานร้างแห่งหนึ่ง และเบรกอย่างกะทันหัน

“ไอ้หนุ่มวันนี้แกตายแน่ ลงจากรถมาให้เชือดซะดี ๆ!” จู่ ๆ คนขับแท็กซี่ก็ตะคอกใส่อวี้ฮ่าวหราน และเปิดประตูลงไปจากรถทันที

“พี่น้องทุกคนออกมาได้แล้ว ไอ้หนุ่มนั่นมันโง่หลงกลนั่งรถมาถึงที่นี่เรียบร้อย!” คนขับแท็กซี่ตะโกนดังลั่นเมื่อลงไปจากรถพลางชี้ไปที่เบาะหลังคนขับ

หลังจากเสียงตะโกนดังขึ้น ชายร่างกำยำจำนวนเกินโหลก็กรูกันออกมาจากทุกทิศทางล้อมรถเอาไว้ด้วยสายตาเกลียดชัง

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมสองวันที่ผ่านมาเขาถึงได้มีเรื่องติด ๆ กันขนาดนี้ นี่เขาไปสร้างความบาดหมางมากมายเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหนกัน?

แต่แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ได้กลัวอะไรกับคนพวกนี้อยู่แล้ว ในสายตาของเขาคนพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับมดแมลงที่เขาจะบี้ให้ตายตอนไหนก็ได้

“ไอ้หนุ่ม ชาติหน้าอย่าทำตัวจุ้นจ้านให้มันมากนักไม่งั้นชะตากรรมของแกก็จะลงเอยแบบนี้เหมือนเดิม!”

“เอ็งโง่หรือไงวะ กล้าหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่อง?”

“อยู่ดี ๆ ไม่ชอบ กลับอยากรนหาที่ตายไว ๆ!”

บรรดาผู้คนที่ล้อมรถตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง ซึ่งอวี้ฮ่าวหรานก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความระอาใจ

ทำไมไอ้พวกลิ่วล้อพวกนี้มันถึงชอบพูดจาไร้สาระกันนักนะ?

อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูรถ และลุกออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขากวาดสายตามองไปที่ฝั่งตรงข้ามทุกคน ซึ่งเมื่อเขาประเมินแล้วทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครแข็งแกร่งพอจะทานทนเขาได้แม้แต่เพียงหมัดเดียวด้วยซ้ำหากเขาเอาจริง

“มดแมลงอย่างพวกแกกล้าดียังไงถึงได้มาส่งเสียงดังต่อหน้าเทพผู้นี้!?”

เอ๋?

บรรดานักเลงต่างมองหน้ากันด้วยความงงงวย

ไอ้เวรนี่มันเป็นอะไรของมัน?

“ไอ้หนุ่มนี่มันพูดว่าไงนะ?”

“ไอ้หนุ่มนี่มันกลัวจนสมองเพี้ยนไปแล้วงั้นเหรอ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หนุ่ม แกคิดว่าการที่แกแกล้งบ้าแบบนี้มันจะทำให้พวกเราใจอ่อนงั้นเหรอ? อย่าฝันไปหน่อยเลย ไม่ว่ายังไงวันนี้แกก็ต้องตายที่นี่แน่นอน!”

คนขับแท็กซี่เริ่มจะหมดความอดทน เขาโยนบุหรี่ที่เพิ่งจุดเมื่อครู่ทิ้ง และตะโกนขึ้นไปยังนักเลงที่อยู่รอบ ๆ “ทุกคน! รีบ ๆ ฆ่าไอ้เวรนี่ให้เสร็จ ๆ ไปจะดีกว่า แล้วรีบฝังมันให้เร็วที่สุด วันนี้ฉันบอกกับที่บ้านเอาไว้ว่าจะกลับเร็วสักหน่อย!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้พวกนักเลงทุกคนต่างเดินควงอาวุธช้า ๆ เข้ามาหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ บรรดาอาวุธที่พวกนักเลงเหล่านี้พกมาก็เป็นอาวุธพื้น ๆ จำพวกไม้เบสบอล ท่อนเหล็ก หรืออะไรที่หาได้ทั่วไป

เมื่อเห็นมดแมลงเหล่านี้เดินเข้ามาหาตัวเองอย่างโง่เขลา อวี้ฮ่าวหรานก็ส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะขบขันกับตัวเอง

ไอ้พวกนี้มันคงไม่นึกเลยสินะว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายของพวกมัน…

อวี้ฮ่าวหรานตั้งใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้เขาจะฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดเพื่อจบปัญหา เขาไม่สนใจทั้งนั้นว่าใครเป็นคนส่งคนพวกนี้มา เขาไม่อยากจะรู้เพราะไม่ว่าจะเป็นใครที่ส่งลิ่วล้อพวกนี้มามันก็ไม่ได้มีค่ามากไปกว่ามดแมลงในสายตาของเขา

และอีกอย่าง สถานที่แห่งนี้มันเป็นที่เปลี่ยว ซึ่งไม่มีใครอยู่รอบ ๆ แน่นอน ดังนั้นมันยิ่งเหมาะกับการที่เขาจะฆ่าอย่างไม่ต้องออมมือตามแบบฉบับที่เขาชอบทำเมื่อตอนอยู่ดินแดนแห่งเทพเพื่อตัดปัญหา

เมื่อคิดได้เช่นนี้อวี้ฮ่าวหรานก็ลงมือทันที เขากระทืบเท้าลงไปยังพื้นอย่างแรงจนแผ่นดินสะเทือน ส่งผลให้หินก้อนเล็ก ๆ จำนวนมากกระดอนขึ้นมาจากพื้น ซึ่งเขาใช้จังหวะที่ก้อนหินจำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศ เตะส่งหินเหล่านั้นไปที่หัวของพวกนักเลงที่กำลังเดินเข้ามาหาทุกคนอย่างแม่นยำและรวดเร็ว

ต้องรู้เอาไว้ว่าเขามีร่างเทวะที่มีพละกำลังเหนือมนุษย์อยู่แล้ว ดังนั้นลูกหินที่เขาเตะออกไปนั้นมันจึงมีความรุนแรงไม่ต่างอะไรกับกระสุนปืน หินทุกลูกเข้าเป้าอย่างแม่นยำ และทะลุกะโหลกนักเลงทุกคนจนสมองกระจายภายในพริบตา

การฆ่าล้างบางครั้งนี้กินเวลาไม่ถึง 3 วินาทีด้วยซ้ำ!

คนขับแท็กซี่ที่เห็นภาพนี้อย่างชัดเจนตกตะลึงจนอ้าปากค้างและขาแข็ง เขาไม่นึกเลยว่าเป้าหมายที่ดูแสนจะธรรมดาคนนี้จะกลายเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตของเขาไปซะได้!