บทที่ 22 จางหยวนแห่งกองพันเทียนเว่ย

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 22 จางหยวนแห่งกองพันเทียนเว่ย

เฉินเฉียงเลือกในรางวัลที่ทุกคนไม่คาดคิด

“เฉินเฉียง แน่ใจแล้วเหรอ”
“นั่นมันตำแหน่งองครักษ์แห่งตึกนายพลเลยนะ นี่ข้าบอกเจ้าไม่เข้าใจแจ่มแจ้งรึไงเนี่ย ถ้าเจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอีกทีก็ได้นะ”

ในฐานะเป็นผู้การแห่งอาณานิคมเขาหมางแล้ว สำหรับการได้เข้าไปอยู่ในตึกนายพลที่ว่าเป็นเกียรติยศสำหรับหลิงเว่ยแล้ว นี่ทำให้เขาอยากจะทัดทานเฉินเฉียงขึ้นมา

ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อกี้เขาว่าเขาอธิบายผลประโยชน์ที่เฉินเฉียงสมควรจะได้รับอย่างละเอียดถี่ถ้วนหากว่าเฉินเฉียงรับตำแหน่งองครักษ์มากกว่าการเข้าเรียนซะอีก แต่ถึงขนาดนั้น เฉินเฉียงก็ยังเลือกที่จะเข้าเรียนในสำนักเต่าดำแทน นี่เกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้เช่นเดียวกัน

“ผู้การ” เฉินเฉียงพูดออกมา
“ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมหรอกครับ ข้าตัดสินใจเลือกแล้ว”

เฉินเฉียงยืนยันความคิดเดิมของเขา

“โอ้… งั้นขอข้าถามเหตุผลหน่อยได้รึเปล่าว่าทำไมเจ้าถึงเลือกแบบนั้น”

ผู้คุมจ้าวถามออกมาหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ด้วยรอยยิ้ม

เขาเองก็เชื่อว่าเฉินเฉียงนั้นไม่ใช่คนโง่ แต่การที่เฉินเฉียงละเลยต่อผลประโยชน์มหาศาลที่จะได้จากการได้เข้าร่วมกับตึกนายพลได้นี่ทำให้เขาสนใจไม่น้อย

“ก็ง่ายๆครับ สัญญาก็คือสัญญา ข้าสัญญาไว้กับผู้อาวุโสเอาไว้”

เฉินเฉียงได้หันไปมองหน้าหลิงเว่ยก่อนที่จะพูดออกมาอย่างจริงจัง
“ผู้การ ข้าเข้าใจว่าผลประโยชน์ที่ได้จากการเข้าร่วมกับตึกนายพลนั้นมากมายขนาดไหน แต่ข้าเองก็ได้สัญญาไว้กับปู่ซุนเอาไว้ด้วยว่าจะต้องเข้าร่วมกับตึกนายพลแห่งเมืองเหมันต์จันทราให้ได้ในอนาคต”

“แล้วมันไม่ดีหรอกเหรอที่เจ้าจะทำสัญญานั่นให้สำเร็จได้ในตอนนี้”

“ไม่ครับ ผู้คุมจ้าวก็พึ่งจะพูดออกมาว่าคนที่จะเป็นองครักษ์ได้นั้นอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางไปแล้ว แต่ข้าในตอนนี้เป็นเพียงนักรับระดับทหารขั้นกลางเท่านั้น ต่อให้ข้าได้กลายเป็นองครักษ์ในตอนนี้จริง แต่เทียบกับคนอื่นแล้วข้าจะได้รับการยอมรับได้ยังไง”

“แถมคำสัญญาของข้านั้นไม่เพียงแค่ได้เข้าไปประจำการในตึกนายพลเท่านั้น แต่ข้าจะต้องได้รับฉายาของนายพลเทียนเว่ยมาครองอีกด้วย”

เฉินเฉียงในตอนนี้จ้องมองด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง มือของเขากำเป็นหมัดและนำมาทุบอกตัวเองข้างไว้

“ฉายาของนายพลเทียนเว่ยเหรอ”

ครั้งนี้คนที่พูดไม่ใช่หลิงเว่ยหรือผู้คุมจ้าวแต่อย่างใด แต่เป็นนายพลจางที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง

นายพลจางจ้องมองเฉินเฉียงด้วยสายตาเย็นชาอย่างไร้อารมณ์

ในขณะที่เฉินเฉียงเองเต็มไปด้วยความสงสัย ผู้คุมจ้าวก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เฉินเฉียง ข้ารู้ว่าเจ้ารู้จักฉายาของนายพลเทียนเว่ยดี แต่เจ้ารู้รึเปล่าว่าเสี่ยวจางคนนี้เป็นใคร”

“ข้าขอแนะนำก่อนแล้วกัน เขาเองในตอนนี้เป็นกัปตันของกองกำลังแห่งนายพลเทียนเว่ย ชื่อเต็มของเขาคือจางหยวน”

“แล้วก็มีบางอย่างที่เจ้าอาจนึกไม่ถึง แต่ว่ากองกำลังของนายพลเทียนเว่ยนั้นถูกถือว่าไม่ได้คงอยู่อีกต่อไปแล้วตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน”

“แล้วเจ้าเห็นรึเปล่าว่าเสี่ยวจางคนนี้มีระดับการบ่มเพาะขนาดไหน”

“ถึงแม้จะเป็นตอนนั้นเองก็ตาม ในฐานะกัปตันของกองกำลังนายพลเทียนเว่ย เขาเองก็เป็นเพียงนักรบทหารระดับนายพลวิญญาณเท่านั้น”

“แล้วก็ กองกำลังของนายพลเทียนเว่ยนั้นมีเพียงสิบสามคนเท่านั้น”

คำพูดของผู้ควบคุมจ้าวนั้นทำให้เฉินเฉียงต้องตกตะลึง

ในสายตาของซุนต้าฮู่นั้น กองกำลังเทียนเว่ยเปรียบได้ดั่งการคงอยู่ของพระเจ้า แต่คนในทีมกลับมีเพียงสิบสามคนเท่านั้น แล้วคนที่สมควรที่จะแข็งแกร่งที่สุดอย่างจางหยวนกลับอยู่ในระดับนายพลวิญญาณเท่านั้น

กองกำลังที่มีชื่อเสียงเมื่อสิบห้าปีก่อนนั้นทำไมในตอนนี้ตกอยู่สถานะแบบนี้ได้กัน

ก่อนที่เฉินเฉียงจะออกจากภวังค์ความตกตะลึง จางหยวนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ

“เฉินเฉียง อย่าคิดว่าเจ้าจะได้เข้าร่วมกองกำลังเพียงเพราะว่ากองกำลังเทียนเว่ยนั้นอยู่อันดับต่ำสุดในตึกนายพลเหมันต์จันทรา ตราบใดที่ข้าและพรรคพวกยังอยู่ พวกเราจะไม่มีวันรับขยะมาอยู่อย่างแน่นอน”

“และในสายตาของข้า เจ้าก็ไม่ได้ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง”

“และขยะอย่างนเจ้าก็ทำได้เพียงฝันกลางวันไปเท่านั้น”

“ใครก็ตามที่จะเข้ากองกำลังเทียนเว่ยได้ล่ะก็ นอกจากจะมีระดับการบ่มเพาะที่อยู่ในเกณฑ์แล้วแต่จะต้องได้รับการยอมรับจากพวกเราทุกคน”

คำพูดของจางหยวนที่เต็มไปด้วยความเดียดฉันท์นี้ทำให้เฉินเฉียงอดไม่ได้ที่จะสนใจขึ้นมา

“โอ้…ถ้าอย่างนั้น…นายพลจาง ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าทำยังไงถึงจะได้รับการยอมรับจากพี่น้องกองกำลังเทียนเว่ยได้กัน”

“เหอะ… นักรบมากมายที่มีการบ่มเพาะในระดับสูง แต่กับกองกำลังเทียนเว่ยนั้นไม่เพียงแต่จะต้องมีระดับการบ่มเพาะที่สูงพอ จะต้องผ่านการทดสอบของกองกำลัง และคนคนนั้นต้องมีจิตวิญญาณแห่งนายพลเทียนเว่ย ยามต่อสู้ก็ต้องสู้จนตัวตาย ยามต่อสู้ต้องสู้อย่างกล้าหาญอยู่แนวหน้า”

“แล้วการจะครองฉายา…”

จางหยวนเม้มปากไปเล็กน้อยและพูดออกมาอย่างไม่ไยดี “ถ้าเจ้าโค่นล้มพวกเราไม่ได้ เจ้าก็ยอมแพ้เรื่องนั้นไปได้เลย”

เฉินเฉียงยืนขึ้นมาก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าจางหยวน เขาจ้องมองไปที่จางหยวนอย่างตาไม่กะพริบ แต่คนที่เขาพูดคุยนั้นกลับเป็นผู้คุมจ้าว

“ผู้ควบคุมจ้าว ข้าขอพูดอีกครั้ง ข้าต้องการเลือกการได้เรียนที่สำนักเต่าดำ”

จางหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาพร้อมสายตาที่ดูถูกดูแคลน

“ก็แค่ไอ้ขี้ขลาดล่ะว้า ผู้ควบคุมจ้าว ในเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

“นายพลจาง”

จางหยวนได้หยุดเดินในทันทีโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมาพูด “ไอ้หนู อย่าไปใส่ใจเรื่องนั้นเลยดีกว่า เจ้าเองมันก็แค่นักรบสายเลือดทหารระดับกลาง ข้าเองก็จะไม่ถือเรื่องนี้เหมือนกัน”

“แต่ขอบอกไว้หน่อยก็แล้วกันว่าเจ้าเองก็ควรจะให้ความเคารพเมื่อพูดถึงฉายาของนายพลเทียนเว่ยมากกว่านี้”

“ในวันนี้ ข้าเป็นคนเดียวที่ได้ยินคำพูดนี้ หากเป็นพี่น้องคนอื่นในกองกำลังละก็เจ้าคงไม่โชคดีแบบนี้แน่”

“นายพลจาง ท่านเข้าใจผิดแล้ว”

เฉินเฉียงได้ใกล้ไปข้างหน้าและหันหน้าเข้าเผชิญหน้ากลับจางหยวนอีกครั้ง

“นายพลจาง เหตุผลที่ข้าเลือกไปที่สำนักเต่าดำนั่นเป็นเพราะข้าต้องการแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

“แล้วก็ ท่านควรจะบอกพี่น้องของท่านทุกคนให้เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี ฉายาของนายพลเทียนเว่ยนั่น ข้า เฉินเฉียงคนนี้จะนำมันมาครองให้ได้”

“ไม่ว่าใครก็ตาม ก็ไม่สามารถหยุดข้าจากการกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไม่ได้”

“ห้าปี”

“ข้าขอเวลาห้าปี และเมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะไปปรากฏตัวที่ตึกนายพลเหมันต์จันทรา เมื่อถึงเวลานั้น ข้าต้องการของขวัญเป็นฉายาของนายพลเทียนเว่ยมาครอบครอง”

ในทันทีที่สิ้นเสียงของเฉินเฉียง ทุกคนที่เห็นฉากนี้ก็นิ่งเงียบไป มีเพียงเสียงลมหายใจเท่านั้นที่พอใจได้ยินได้

เกือบนาที จางหยวนก็ได้เงยหน้าขึ้นมาและหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า….”

หลิงเว่ยในตอนนี้มือนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาหันไปมองผู้คุมจ้าวที่ในตอนนี้กำลังหักคอราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง

“ผู้คุมจ้าว ข้าขอให้ท่านช่วยเด็กนั่นได้รึเปล่า เฉินเฉียงในตอนนี้ยังเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน นี่ทำให้เขานั้นค่อนข้างจะอวดดี แต่ยังไงซะเขาก็ถือว่าเป็นนักรบสายเลือดแห่งอาณานิคมเขาหมางอยู่ดี”

แต่ก่อนที่ผู้ว่าการจ้าวจะพูดอะไรออกมา ชายอ้วนที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางได้พูดออกมาพลางส่ายหน้า “ไอ๊หยา หลิงเว่ย ไม่ไหวหรอกนะข้าว่า”

“ข้ารู้จักจางหยวนเป็นอย่างดี หากหมอนี่ต้องการจะฆ่าใครละก็แม้แต่นายพลด้วยกันก็หยุดไม่อยู่หรอก”

“นอกจากว่าเฉินเฉียงนั้นจะฆ่าตัวตายไปเอง ใครก็ตามที่หมอนี่จ้องเอาไว้แล้วไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้จากเงื้อมมือจางหยวน แต่ให้วิ่งไปสุดขอบฟ้าก็ตาม”

ผู้คุมจ้าวเองในตอนนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนที่จะถอนหายใจยาวออกมา

“หลิงเว่ย เจ้าอ้วนนั่นพูดถูกแล้ว”

แถมจางน้อยนั่นเองก็ถือว่ามีชื่อเสียงพอตัวเมื่ออยู่ในตึกนายพล ข้าเองยังเทียบไม่ติดเลย

“จากที่เห็นแล้วยังเขาก็น่าจะลงมือเป็นแน่ ข้าขอแนะนำว่าเจ้าอย่าเข้าไปยุ่งดีกว่า”

ถึงแม้ผู้ควบคุมจ้าวจะพูดออกมาอย่างนั้นแต่เขาเองก็ยอมรับในตัวเฉินเฉียงไม่น้อยเหมือนกัน นอกจากจะยังหนุ่มแน่นแล้ว เขานั้นยังมีความทะเยอทะยาน หากได้รับการศึกษาและชุบเลี้ยงจะต้องการเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีในอนาคตเป็นแน่

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจางหยวนแล้ว เขาเองก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี

จางหยวนคือบุคคลที่ไม่เคยไว้หน้าใคร

“จริงสิ ผู้คุมจ้าว ไม่ใช่ว่าในวันนี้เฉินเฉียงได้ทำคุณประโยชน์มากมายให้กับตึกนายพลนี่ครับ เพียงแค่นั้นยังไม่พอที่ท่านจะออกหน้าให้เหรอ”

หลิงเว่ยในตอนนี้ยังไม่ยอมตัดใจจากฟางเส้นสุดท้ายนี้ไปและยังพยายามอีกครั้ง

-จริงสิ-

ผู้คุมจ้าวได้ถลึงตาออกมาราวกับพึ่งจะนึกออก เขาไอไปสองสามทีก่อนจะพูดออกมา “จางน้อย เฉินเฉียง เขา….”

“ผู้คุมจ้าว..”

ก่อนที่ผู้คุมจ้าวจะได้พูดออกมา จางหยวนที่กำลังจ้องมองเฉินเฉียงด้วยสายตาที่ไม่กะพริบก็ได้พูดออกมาด้วยท่าทีสุขุม “ท่านคงจะอยากได้คนไปส่งเจ้าหนูขี้โอ่ไปยังสำนักเต่าดำสินะ”

“เดี๋ยวข้ารับหน้าที่นี้เอง”