ตอนที่ 22 กลับมาอีกครั้ง

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ไป๋อวี้ตื่นขึ้นมาพบว่ารอบด้านมืดสนิท อีกทั้งยังมีเสียงแปลกประหลาดเล็ดลอดเข้ามา เขาอยากจะลุกขึ้นมาจุดไฟ แต่กลับรู้สึกถึงมีคนด้านข้างดึงเขาไว้ 

 

 

“ซู่ว เงียบๆ!” เสียงของอวิ๋นเจี่ยว 

 

 

ไป๋อวี้อึ้งไปทีหนึ่ง ก่อนจะพบว่าพวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่ในห้องแคบที่มืดสนิท ทั้งสี่ด้านของห้องยังไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยที่เล็ดลอดเข้ามาจากร่องเล็กที่อยู่ด้านหน้า 

 

 

“ที่นี่ที่ไหน” เขามองไปยังรอบด้านด้วยความงงงวย 

 

 

“ห้องลับในหอเก็บตำรา” อวิ๋นเจี่ยวตอบ 

 

 

“อ่อ…ฮะ?” ไป๋อวี้ตะลึง “หอเก็บตำรามีห้องลับ!” ทำไมเขาถึงไม่รู้ 

 

 

“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพลางสังเกตสถานการณ์ด้านนอกพลางพยักหน้าตอบ “อยู่ด้านหลังของตู้ที่อยู่ติดผนังด้านในสุด” 

 

 

“…” เขาอาศัยอยู่ในอารามมาเป็นหลายสิบปี ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าด้านหลังของตู้จะมีห้องลับ “เจ้า…เจ้าดูออกได้อย่างไร” 

 

 

“ความหนาของกำแพงกับห้องด้านข้างไม่เท่ากัน ตรงกลางต้องมีห้องลับแน่” อวิ๋นเจี่ยวตอบด้วยท่าทีที่สมเหตุสมผล พร้อมเอ่ยเสริม “ข้าเห็นตั้งแต่มาที่นี่วันที่สอง” ค้นหากลไกใช้เวลาไปหน่อย 

 

 

“…” ไป๋อวี้ 

 

 

ตำแหน่งเจ้าสำนักยกให้เจ้าไปเลยเถอะ! 

 

 

o(╯□╰)o 

 

 

“มาแล้ว!” อวิ๋นเจี่ยวเอ่ยเสียงทุ้ม ชี้นิ้วไปยังด้านนอก 

 

 

ได้ยินดังนั้น เขาก็พบว่ามีเสียงอะไรบางอย่างโหยหวนอย่างน่ากลัวลอยเข้ามาจากด้านนอก ในเสียงนั้นราวกับยังมีเสียงของอะไรบางอย่างแตกออกมา พลังวิญญาณมากมายเล็ดลอดเข้ามาจากร่องเล็กนั้น ทันใดนั้นเขาถึงนึกเรื่องของผีสาวขึ้นได้ ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายบุกมาหาถึงที่แล้ว! 

 

 

ไป๋อวี้รู้สึกหวาดกลัว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงที่กดต่ำลง “ผี…ผีสาว…เหรอ” 

 

 

“อืม เข้ามาแล้ว!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า แต่สีหน้ายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง 

 

 

ไป๋อวี้ตัวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนจะหันไปควักยันต์ออกมา แต่กลับว่างเปล่า “เอ๊ะ! ยันต์ละ?” เขาค้นกระเป๋าทั่วทั้งร่างกาย แต่กลับไม่เจอยันต์แม้แต่ใบเดียว เขาวาดไปตั้งมากมาย 

 

 

“ข้าเอาไปแปะข้างนอก” อวิ๋นเจี่ยวตอบ 

 

 

“ทั้ง…ทั้งหมด!” ไป่อวี้เบิกตาโพลง อย่างน้อยก็เหลือไว้ป้องกันตัวสักใบสิ! 

 

 

“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยกำชับ “เดี๋ยวข้านับหนึ่งสองสาม พอเห็นเปลวไฟสีม่วงด้านนอกลุกโชนขึ้นมา ท่านก็วิ่งออกไปให้เร็วที่สุด เข้าใจไหม” 

 

 

“ฮะ? อ๋า!” ไป๋อวี้งง ไม่เข้าใจว่าจะวิ่งทำไม ทำไมถึงต้องวิ่ง ที่นี่ปลอดภัยไม่ใช่เหรอ 

 

 

“เตรียมตัว!” 

 

 

“อะไร!” วิ่งไปไหน 

 

 

“สาม…สอง…” 

 

 

“เดี๋ยว!” อธิบายก่อนสิ 

 

 

“หนึ่ง!” อวิ๋นเจี่ยวพูดพร้อมผลักประตูห้องลับออกไปในทันที ดึงแขนเขาแล้ววิ่งไปทางด้านหลัง “วิ่ง!” 

 

 

“เจ้า…” ไป๋อวี้ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกลากให้วิ่งตามไป เขาทำได้เพียงวิ่งตามคนข้างหน้า ทันใดนั้นข้างหน้าก็ปรากฎแสงสีม่วงขึ้นมา เห็นเพียงแค่เปลวไฟสีม่วงกำลังลุกไหม้ขึ้น พร้อมกับเสียงโหยหวนของผีที่ร้องขึ้นอย่างทุกข์ทรมาน 

 

 

ตอนแรกอยู่ในห้องลับยังไม่เห็น พอออกมาเท่านั้น ก็เห็นฝูงของผีที่รวมตัวอยู่ในไฟที่ลุกไหม้อยู่ด้านหน้า อีกทั้งแต่ละตัวยังไม่ได้มาแบบสมบูรณ์ครบสามสิบสอง ขาดแขนขาดขายังถือว่าดี บางตัวมาแบบท้องแหวกหัวขาด น่ากลัวยิ่งนัก 

 

 

ไป๋อวี้มองแบบผ่านๆ ก็รู้สึกตัวชาขึ้นมา ความหวาดกลัวราวกับน้ำทะเลถาโถมเข้ามาอย่างมาก คราวนี้ไม่ต้องอาศัยอวิ๋นเจี่ยวลาก ตัวเขาเองก็สามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็ว 

 

 

ยังดีที่ผีสาวฝูงนั้นถูกไฟม่วงที่ลุกโชนต้านเอาไว้ ไม่สามารถตามพวกเขามาได้ ไป๋อวี้เดาว่าพวกเขาคงจะไปกระตุ้นให้ยันต์ม่วงนั้นทำงาน ถึงได้เกิดไฟม่วงลุกไหม้ขึ้นแบบนั้น แต่ยันต์ที่เขาวาดนั้นเป็นยันต์ขั้นต่ำที่สุด ไฟที่ลุกไหม้นั้นคงต้านพวกมันไว้ไม่นาน 

 

 

และก็เป็นเช่นนั้น ทันทีที่พวกเขาวิ่งออกมาจากประตูหลัง ไฟนั้นก็ดับลง ผีที่รวมตัวอยู่ตรงนั้นตามพวกเขามาอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณที่มากมายนั้นราวกับน้ำตกสีดำกำลังไหลมาทางพวกเขา ภายใต้หมอกดำนั้นยังสามารถเห็นถึงห้องที่ถูกผีร้ายบุกรุกจนล้มบ้างพังทลายบ้าง ส่วนยันต์ที่ประตูใหญ่นั้นไม่เหลือแม้แต่เงา 

 

 

ไป๋อวี้ยิ่งหวาดกลัวเข้าไปใหญ่ ทันใดนั้นรู้สึกขาแข้งอ่อนแรงขึ้นมา ไม่คิดว่าผีสาวที่นามว่าแม่ซู่เหนียงนั้นจะสามารถรวบรวมผีนับร้อยมาได้ 

 

 

ตายแน่ๆ 

 

 

ฝูงผีเข้าใกล้มากขึ้น ดูท่าจะตามพวกเขามาทันแล้ว ทันใดนั้นเสาหินข้างทางส่องแสงสว่างสีขาว เปลวไฟดวงเล็กนั้นค่อยๆ ลุกไหม้ขึ้น ฝูงผีที่ตามมาอย่างไม่ลดละหยุดลงราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างขวางไว้ ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น 

 

 

ไป๋อวี้หันไปมองถึงได้พบว่าบนเสาหินนั้นเต็มไปด้วยยันต์สีเหลืองมากมาย ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นยันต์ที่เขาวาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ 

 

 

“อย่าหันหลัง รีบวิ่ง!” อวิ๋นเจี่ยวเอ่ยเตือน 

 

 

ไป๋อวี้ถึงได้ดึงสติกลับมาได้ ยันต์ที่เขาวาดล้วนเป็นยันต์ขั้นต่ำที่สุด สามารถยับยั้งการเคลื่อนไหวของฝูงผีนั้นได้เพียงชั่วครู่ คิดได้ดังนี้เขาจึงรีบเร่งฝีเท้ามุ่งไปยังทางด้านหน้าให้เร็วมากขึ้น 

 

 

ยันต์ที่แปะไว้รอบด้านก็ลุกไหม้ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทางเดินราวกับถูกจุดเทียนให้สว่างขึ้น โดยรอบเต็มไปด้วยเปลวไฟสีแดง ไป๋อวี้ถึงนึกขึ้นได้ว่าความหมายที่อวิ๋นเจี่ยวบอกแปะออกไปหมดแล้วหมายถึงอะไร ที่แท้นางก็เอามาแปะไว้ตรงนี้ทั้งหมด! 

 

 

แต่ยันต์พวกนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถต้านฝูงผีที่มากมายเช่นนี้ได้ ถึงแม้อาจจะต้านไว้ได้เพียงระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีผลมากมายขนาดนั้น อารามก็กว้างเพียงเท่านี้ อย่างไรเสียฝูงผีนั้นก็ตามพวกเขามาได้เป็นแน่ มองไปรอบด้านเห็นยันต์ที่แปะไว้ลดน้อยลงเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าใกล้จะถูกใช้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว 

 

 

ทำยังไงดี 

 

 

“เจ้าหนู…” ไป๋อวี้เรียกนางด้วยน้ำเสียงที่ดูกังวล เดินต่อไปอีกก็ขึ้นสระบัวแล้ว ไม่มีทางไปแล้ว 

 

 

“ถึงแล้ว!” อวิ๋นเจี่ยวหยุดเดิน ชี้ไปยังศาลากลางน้ำก่อนจะเอ่ยต่อ “พวกเราไปตรงกลาง!” 

 

 

“ฮะ? อ๋า!!” นี่ไม่ใช่ทางตายหรือไง ถึงแม้จะหลบอยู่กลางน้ำก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผีไม่ได้กลัวน้ำ “หรือไม่พวกเราไปหาอาจารย์ปู่ดี…” 

 

 

เขายังพูดไม่ทันจบ อวิ๋นเจี่ยวก็ลากแขนเขาวิ่งไปยังศาลากลางน้ำ 

 

 

ไป๋อวี้อยากจะหนีก็ไม่ทันแล้ว ฝูงผีที่ถูกยันต์วิเศษต้านไว้ได้บุกเข้ามาถึงทางเดิน และตามพวกเขามาอยู่ที่ริมสระแล้ว 

 

 

“เหอะๆ…” เสียงหัวเราะที่คุ้นเคยดังขึ้นในฝูงผี หญิงสาวชุดแดงลอยออกมาจากด้านใน มองทั้งสองคนด้วยสายตาเหยียดหยาม “ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะมีวิชาเก่งกาจ ที่แท้ก็ทำได้เพียงเท่านี้” 

 

 

หญิงสาวนั้นก็คือแม่ซู่เหนียง นางยังคงมาด้วยสภาพที่น่าหวาดกลัว เพียงแต่พลังอาฆาตรอบตัวนางมีมากขึ้น เพียงแค่นางออกเสียงผีร้ายทั้งหมดล้วนหยุดลง ผีร้ายนั้นล้วนแต่เป็นหญิงสาวทั้งสิ้น ลักษณะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครู่ยังมีท่าทีที่โหดร้ายแต่ตอนนี้กลับล่องลอย มีเพียงดวงตาที่เหลือเพียงแต่หลุมดำทั้งสองข้างจ้องมองไปยังคนสองคนที่อยู่กลางสระ 

 

 

ท่าทางผีร้ายพวกนี้จะถูกกลืนกินสติสัมปชัญญะจนกลายเป็นวิญญาณพเนจรไปเสียแล้ว ไม่แปลกที่จะถูกแม่ซู่เหนียงควบคุมได้