“เหตุใดเจ้าจึงอยู่ในสภาพนี้” เสียงต่ำของสตรีแว่วมาจากหน้าประตู หานหมิงเย่ว์เงยหน้าขึ้นมอง หญิงสาวที่ปรากฏหน้าประตูสวมชุดสีดำตัวโคร่งปกปิดเรือนร่างงดงามเอาไว้ ใบหน้าถูกผ้าสีดำปกปิดไว้อย่างมิดชิดเช่นกัน เหลือเพียงดวงตาเย็นเยียบที่มีประกายเลือดเย็นและไม่พอใจเท่านั้น

 

 

           “เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือ เจ้าคิดว่าม่อซิวเหยารับมือได้ง่ายอย่างนั้นหรือ” หานหมิงเย่ว์ลุกขึ้นเอ่ยเรียบๆ

 

 

           หญิงสาวในชุดดำเพียงส่งเสียงเหอะเย็นชา “งานที่ข้าให้เจ้าทำเรียบร้อยดีหรือไม่”

 

 

           เพล้ง! ถ้วยชาในมือของหานหมิงเย่ว์แตกลงเป็นการตอบรับ น้ำชาใสค่อยๆ ไหลลงมาตามนิ้วมือ “ข้ามิใช่ขี้ข้าเจ้า! ระวังคำพูดของเจ้าด้วย!”

 

 

           แววตาของหญิงสาวมีประกายขุ่นเคือง แต่นางข่มอารมณ์ของตนไว้ได้อย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าทำไม่ถูกเอง หมิงเย่ว์ เรื่องคืนนี้…”

 

 

           “ทำสำเร็จหรือไม่แล้วอย่างไร ถึงอย่างไรเรื่องที่เยี่ยหลีถูกจับตัวไปก็แพร่ไปทั่วแล้วมิใช่หรือ ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่เจ้าวางไว้แล้ว” หานหมิงเย่ว์เอ่ย

 

 

           “เจ้าทำไม่สำเร็จหรือ!” เสียงของหญิงนางนั้นแหลมสูงทันที “ข้าอยากให้เจ้าทำลายนางเสีย!”

 

 

           หานหมิงเย่ว์ยกมือลูบลำคออย่างไม่ใส่ใจ ในใจยิ้มขื่น ทำลายนางหรือ โชคดีที่เขาไม่คิดทำเช่นนั้นจริงๆ มิเช่นนั้นเกรงว่าคนที่ถูกทำลายจะเป็นเขาเอง คุณหนูสามตระกูลเยี่ยนั่นไม่ได้ไร้พิษสงอย่างหน้าตาเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด หานหมิงเย่ว์จึงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้หญิงตรงหน้าล่วงรู้

 

 

           “ข้าให้เจ้าที่เป็นเจ้าของเทียนอี้เก๋อ ชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งชายแดนใต้เป็นคนลงมือ ก็ถือว่าเป็นบุญของนางแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำ” หญิงผู้นั้นพูดอย่างขุ่นเคืองใจ

 

 

           “พอที!” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงเย็น “เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามว่าข้าบาดเจ็บได้อย่างไร อาการเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคิดว่าหากข้าลงมือกับเยี่ยหลีจริง คืนนี้ข้าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือ”

 

 

           “ข้า…” หญิงผู้นั้นสงบลงทันที ดูจะรับรู้แล้วว่าเมื่อครู่ตนเสียมารยาทไป จึงมองเขาด้วยสายตาขอโทษ ก่อนพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เหตุใดเจ้าจึงไปคนเดียวเล่า หากพาคนไปด้วยหลายคนหน่อย ต่อให้ม่อซิวเหยามีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไปด้วยก็ไม่แน่ว่าจะทำให้เจ้าบาดเจ็บได้ สถานการณ์ในยามนี้ ทำให้เขามิอาจเคลื่อนพลเฮยอวิ๋นฉีจำนวนมากได้”

 

 

สีหน้าเย็นเยียบของหานหมิงเย่ว์อ่อนลงตามน้ำเสียงนุ่มนวลของนาง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “เพราะข้ามิอาจพาเทียนอี้เก๋อไปตกที่นั่งลำบากด้วยได้ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเจ้ากับข้า แน่นอนว่าข้าต้องจัดการด้วยตนเอง เจ้าก็จัดการเองแล้วกัน อีกหน่อยเรื่องที่เกี่ยวกับเยี่ยหลี เจ้าไม่ต้องมาหาข้าอีก ข้าช่วยเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”

 

 

           “เพราะเหตุใด”

 

 

           “เพราะหากมีครั้งหน้า ซิวเหยาจะต้องฆ่าข้าเป็นแน่ ข้าเป็นคนทำการค้า แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่คิดจะท้าทายฟางเส้นสุดท้ายของตระกูลม่อ เจ้าไปเถิด ระวังตัวด้วย” พูดจบ หานหมิงเย่ว์เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนลงบนฟูกพร้อมหลับตาลง ไม่สนใจหญิงชุดดำหน้าประตูอีก

 

 

ทว่าหญิงชุดดำดูจะมีเรื่องอยากพูดอีก แต่เมื่อมองกิริยาประหนึ่งปฏิเสธของชายหนุ่มที่นอนหน้าขรึมอยู่บนฟูกแล้ว ก็ได้แต่กล้ำกลืนถ้อยคำที่อยากพูดของตนลง ก่อนส่งเสียงเหอะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนเถิด ข้ากลับก่อน”

 

 

           ครั้นหมุนตัวเดินออกจากประตู ก็ปะทะกับสายตามึนตึงของชายหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายหานหมิงเย่ว์ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลที่จ้องนาง “เจ้าไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว ประเดี๋ยวพวกเราก็จะกลับชายแดนใต้กันแล้ว”

 

 

           หญิงชุดดำเอียงตัวไปมอง นัยน์ตาคู่งามเบิกโตขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่ใส่ใจว่า “ว่างมากก็ไปหาดอกไม้เด็ดเล่นเถิด อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องเลย ข้าไม่อยากให้หมิงเย่ว์มาบอกข้าว่าน้องชายเขาหายไปอีกคน”

 

 

สีหน้าหานหมิงซีขรึมลง ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มเย็น “พอดีเลย ข้ากำลังอยากเห็นว่าตัวอะไรที่ทำให้พี่ชายข้าหลงใหลจนเสียสติเช่นนี้” วิทยายุทธของคุณชายเฟิงเย่ว์เป็นเช่นไร น้อยคนนักที่จะรู้ แต่วิชาตัวเบานั้นไม่ได้มีไว้ให้คนที่ไม่มีอันใดทำพูดโอ้อวดเฉยๆ ชายหนุ่มที่เดิมยืนอยู่ใต้ต้นไม้สะบัดชายเสื้อเพียงเล็กน้อยก็ลอยหายไปจากใต้ต้นไม้ทันที พริบตาเดียวกลับมายืนอยู่ข้างกายสาวชุดดำพลางยื่นมือออกไปหมายจะจับผ้าสีดำที่บดบังใบหน้านางไว้

 

 

“บังอาจ!”

 

 

           “หมิงซี หยุดประเดี๋ยวนี้!” ที่หน้าประตู หานหมิงเย่ว์มองทั้งสองคนที่กำลังประมือกันอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ปล่อยนางไป”

 

 

           “เหอะ!” หานหมิงซีสะบัดมือลงด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนกระโดดหายไปบนหลังคาด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย

 

 

หานหมิงเย่ว์ส่งสายตาเตือนหญิงชุดดำที่อยู่ในลานบ้าน “อย่าไปยั่วโมโหหมิงซี”

 

 

           “หึหึ ถ้าเขาไม่ยั่วข้า ข้าจะไปยั่วโมโหเขาได้อย่างไร หมิงเย่ว์ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องชายของเจ้า พวกเราเป็นสหายกันมิใช่หรือ” หญิงสาวหัวเราะเสียงต่ำ

 

 

           ปัง! หานหมิงเย่ว์เดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนปิดประตูดังปังใส่หน้านาง

 

 

           “หาน หมิง เย่ว์!” หญิงชุดดำอึ้งไป ก่อนร้องเรียกด้วยความโกรธ แล้วเห็นแสงเทียนในห้องดับลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนคนในห้องเตรียมตัวเข้านอนแล้ว จึงส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากลานบ้านที่มืดมิดและเงียบสงบ

 

 

           เมื่อสตรีชุดดำเดินออกมาจากประตูลานบ้านที่ไม่สะดุดตาแล้ว ก็มีชายชุดดำสองสามคนเดินเข้ามาหานางทันที “คุณหนู”

 

 

           หญิงสาวพยักหน้าก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “กลับกันเถิด”

 

 

           หัวหน้าของชายชุดดำดูออกว่าหญิงสาวอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไร จึงไม่กล้าทำอันใดมาก เพียงโบกมือขึ้น ทุกคนต่างคุ้มกันหญิงสาว ก่อนกระโดดหายไปท่ามกลางความมืดมิดอย่างรวดเร็ว

 

 

           “ฟุบ…”

 

 

           เกาทัณฑ์ขนนกดอกหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง หัวหน้าของชายชุดดำรีบชักดาบออกมาหมายจะยกขึ้นขวางเกาทัณฑ์นั้น ทว่าเกาทัณฑ์ดอกนั้นกลับขวางได้ไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่อรู้สึกถึงแรงกระทบที่ตัวดาบ มือที่ถือดาบอยู่ก็ชาไร้ความรู้สึกทันที เกาทัณฑ์ขนนกครูดไปกับตัวดาบก่อนแหวกผ่านต่อไปยังหญิงชุดดำทางด้านหลังที่เขาคุ้มกันอยู่

 

 

           “หา!”

 

 

           “คุณหนู!”

 

 

           เกาทัณฑ์ขนนกพุ่งเฉียดใบหน้าของหญิงสาวไปปักแน่นที่กำแพงข้างทางไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หญิงชุดดำหันกลับไปมองเกาทัณฑ์ที่ปักลึกเข้าไปในกำแพงไม้ถึงสามส่วนแล้ว ร่างกายพลันอ่อนแรงจนเกือบล้มพับลงไป ห่างไปเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เกาทัณฑ์ดอกนั้นต่อให้ไม่พุ่งปักสมองของนาง ก็คงทำให้นางเสียโฉมไปแล้ว

 

 

           “คุณหนู” คนที่อยู่ข้างๆ รีบเข้าไปประคองนางอย่างรวดเร็ว หญิงผู้นั้นยกมือขึ้นก่อนสะบัดแขนออก เงื้อมือตบใบหน้าของชายชุดดำ “พวกไร้ประโยชน์!” ชายชุดดำก้มหน้าลง สายตายังคงนิ่งเรียบเป็นปกติ

 

 

           “เฟิ่งจือเหยา!” เสียงหัวเราะสดใสลอยมาจากหลังคาที่ห่างไปไม่ไกลนัก เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฟิ่งจือเหยาในชุดสีแดงสะดุดตานั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่บนหลังคาและกำลังมองนางที่อยู่ด้านล่างที่กำลังโกรธจัด เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วเรียวงามขึ้นเล็กน้อย มือซ้ายยกคันธนูขึ้นโบกให้นางดู

 

 

“เฟิ่งจือเหยา เจ้าช่างกล้านัก!” หญิงสาวกัดฟันพูด

 

 

           “ตายแล้ว ข้ากลัวจริงเลย ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ข้าเอาธนูออกมายิงคนชุดดำที่เดินทางอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้คงไม่ผิดกฎหมายกระมัง ไม่แน่ว่าใต้เท้าฉินยังต้องขอบคุณข้าที่ออกแรงช่วยรักษาความปลอดภัยภายในเมืองหลวงให้ด้วยนะ เจ้าว่าจริงหรือไม่”

 

 

           “สังหารมันเสีย!” นิ้วเรียวของหญิงสาวชี้ไปบนหลังคา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เพียงคิดถึงเกาทัณฑ์ดอกที่ยิงมาเมื่อครู่ นางก็แทบอยากจะเข้าไปขยี้ชายหนุ่มที่แสนหยิ่งยโสตรงหน้าให้แหลกเป็นผุยผง

 

 

           “เชอะ เห็นว่าพวกมากกว่าข้าหรือ กลัวเจ้าแย่แล้ว” เฟิ่งจือเหยาโบกมือไปทางด้านหลังอย่างเกียจคร้าน บนหลังคามีกลุ่มชายชุดดำเหมือนกันปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ เพียงแต่ในมือของทุกคนต่างถือคันธนูอยู่กันคนละคัน พร้อมง้างคันธนูขึ้นเล็งกลุ่มคนที่อยู่บนถนนแคบๆ ด้านล่าง

 

 

หญิงชุดดำโกรธจัดจนตาแทบลุกเป็นไฟ กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองว่า “เฟิ่งจือเหยา เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “ข้ามิกล้า”

 

 

           เมื่อได้ฟังคำตอบของเขา ทำให้หญิงสาวผู้นั้นมั่นใจอย่างเต็มที่ เชิดคางขึ้นกล่าวว่า “ในเมื่อไม่กล้า เจ้าก็ไสหัวไปไกลๆ เสีย!”

 

 

           เหอะ! ข้าเกลียดผู้หญิงที่ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเป็นที่สุด! สายตาชั่วร้ายของเฟิ่งจือเหยาฉายแววเลือดเย็น ยกมือขึ้นง้างและยิงธนูออกไปอย่างรวดเร็ว เกาทัณฑ์อีกดอกพุ่งเฉียดร่างของหญิงสาวไปปักอยู่ที่ข้างเท้านาง

 

 

           “เฟิ่งจือเหยา!”

 

 

           เฟิ่งจือเหยามองนางด้วยสายตาเกียจคร้านระคนเหยียดหยามกว่าหญิงสาวเสียอีก “ไม่ต้องเรียกแล้ว ต่อให้เจ้าเรียกอีกข้าก็ไม่หลงรักเจ้าหรอก มีคนอยากให้ข้ามาเตือนเจ้าสักหน่อยว่าอย่าได้ทำเรื่องไร้สาระวุ่นวายเช่นนี้อีก มิเช่นนั้น ลูกธนูในคืนนี้จะไม่ปักกำแพงอีกเป็นแน่ ต่อให้เจ้าไม่เชื่อฝีมือธนูของข้า แต่ก็ไม่สมควรนึกสงสัยในฝีมือของพวกเขา” เฟิ่งจือเหยายกมือขึ้นชี้ไปยังกลุ่มชายชุดดำที่ยืนตรงนิ่งไม่ขยับแม้ลมจะพัดแรงสักเท่าใด พร้อมเอ่ยเรียบๆ

 

 

           “ไม่…เป็นไปไม่ได้…” หญิงชุดดำมองจ้องกลุ่มชายชุดดำที่ยืนอยู่หลังเฟิ่งจือเหยาด้วยความตื่นตะลึง เขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร…

 

 

           “เฟิ่งจือเหยา เจ้ากล้าเคลื่อนพลหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเป็นการส่วนตัว!”

 

 

           “เชอะ พวกหลอกตนเอง” เฟิ่งจือเหยาลุกขึ้นนั่งอย่างหมดความอดทน “เอาเป็นว่าเจ้าจำที่ข้าเตือนไว้ให้ดีก็พอ เผื่อคราวหน้าเจ้าเสียโฉมหรือเป็นอันใดไปจะได้ไม่โทษว่าข้าไม่เตือน”

 

 

           หญิงชุดดำหลุบตาลงไม่พูดจา เฟิ่งจือเหยาเองก็ไม่มีอารมณ์มานั่งตอแยนางสักเท่าไร จึงหันไปพูดกับกลุ่มคนทางด้านหลังว่า “ทำเรื่องที่สมควรทำให้เสร็จ แล้วพวกเจ้าก็แยกย้ายเถิด”

 

 

           “ฟุบ…ฟุบ…”

 

 

           เสียงแหวกอากาศดังขึ้น พร้อมกับร่างที่ล้อมรอบหญิงสาวค่อยๆ ล้มลงกับพื้นทีละคน เหลือเพียงหัวหน้าที่จับดาบมั่นเตรียมพร้อมรับการโจมตีด้วยความตื่นกลัว แต่ในใจเขารู้ดีว่า ยามนี้มือที่จับดาบของเขาไม่มีแรงเหลืออยู่เลยเพราะเกาทัณฑ์ดอกนั้น หากมีเกาทัณฑ์พุ่งมาอีกดอก ตัวเขาคงขวางไว้ไม่ได้และคงหลบไม่ได้เช่นกัน

 

 

           “เฟิ่งจือเหยา เจ้าใช้คนจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีตามอำเภอใจเช่นนี้ ไม่กลัวคนในวังจะรู้เข้าหรือ” ในที่สุดหญิงนชุดดำก็กล่าวออกมา

 

 

           เฟิ่งจือเหยายิ้มพลางโบกมือ “เจ้ากลับไปคิดให้ดีเสียก่อนเถิดว่าจะอธิบายเรื่องที่คนข้างกายเจ้าหายตัวไปพร้อมๆ กันหลายคนเช่นนี้อย่างไร”

 

 

           หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรอีก นำองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวหายไปจากถนนที่ปลอดคนเส้นนี้ พอนางจากไป กลุ่มชายชุดดำบนหลังคาก็หายไปท่ามกลางความมืดมิดอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

 

เฟิ่งจือเหยาหมุนตัวลงจากหลังคาก่อนหลุบตัวเข้าไปยังหน้าต่างห้องห้องหนึ่งที่เปิดค้างไว้ครึ่งบาน มองชายหนุ่มที่นั่งหลังตรงอยู่ในห้องก่อนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นอย่างไรบ้าง คุณชายใหญ่สวีพอใจหรือไม่”

 

 

           สวีชิงเฉินนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่างเช่นเดิม ด้านหน้าของเขามีกาสุราพร้อมจอกสองใบวางอยู่ เขายกมือขึ้นรินสุราลงในจอกทั้งสองใบ ก่อนวางกาสุราลงแล้วหันไปยิ้มให้เฟิ่งจือเหยา “ขอบคุณท่านอ๋องแทนข้าด้วย”