อวี้ถังกลัวหนักหนาว่าเรื่องราวจะซ้ำรอยเก่า ต้องไปพัวพันกับสกุลหลี่อีกชาติ แต่ก็ไม่อยากให้หม่าซิ่วเหนียงต้องหมดสนุก จึงค่อยๆ เรียกอาเสามาหาแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากลับไปบอกท่านแม่ข้านะ ฮูหยินหลี่โกหก ก่อนที่ข้าจะกลับเรือนไป ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามห้ามตอบตกลงสกุลหลี่เด็ดขาด”
อาเสาจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่วันนี้อวี้ถังมาเพื่อดูคุณชายรองสกุลหลี่ เมื่อครู่ก็ยังสนทนากับคุณชายรองสกุลหลี่อยู่เลย อวี้ถังกลับรอไม่ไหวจนให้เขากลับเรือนไปส่งข่าวก่อน คิดว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญมากเป็นแน่ จึงรีบตอบรับคำ แล้ววิ่งลงเขาไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
อวี้ถังค่อยสงบใจลงได้ ถึงพอมีอารมณ์ไปน้ำตกสีปี่เป็นเพื่อนหม่าซิ่วเหนียง
ในใจหม่าซิ่วเหนียงเริ่มเกิดความเคลือบแคลงเอ่ยกับอวี้ถังว่า “เป็นเพราะคุณชายรองสกุลหลี่พูดอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ? เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเขาเอะอะเสียงดังกัน!”
ตามความคิดนาง บุรุษนิสัยเช่นนี้นับว่าใช้ไม่ได้อย่างที่สุด ต่อให้พื้นฐานครอบครัวดีอย่างไร หน้าตางดงามเพียงไหน ก็ไม่อาจตอบตกลงได้
สองชาติที่ผ่านมา หลี่จวิ้นไม่เคยทำเรื่องใดที่ผิดต่ออวี้ถัง อวี้ถังก็ไม่ได้กล่าวโทษเขาเพียงเพราะสหายเขาเช่นกัน
นางตอบว่า “มิใช่หรอก ข้าแค่ไม่ชอบคนที่หน้าตาอย่างเขาเท่านั้นเอง”
หม่าซิ่วเหนียงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว ลางเนื้อชอบลางยา ไม่อาจบังคับกันได้”
ยิ่งอวี้ถังได้รู้จักหม่าซิ่วเหนียงมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่านางเข้าอกเข้าใจและใส่ใจผู้อื่นนัก นับว่าเป็นสหายที่หาได้ยากคนหนึ่ง
นางหัวเราะแล้วคล้องแขนหม่าซิ่วเหนียงไว้ เรียกนางว่า ‘พี่สาว’ อย่างสนิทชิดเชื้อ แล้วชวนคุยเรื่องที่นางสนใจ “วันแต่งงานของเจ้ากับคุณชายจางกำหนดแล้วหรือ? ถึงเวลานั้นยังต้องสั่งทำเครื่องเรือน สั่งทำขนมเปี๊ยะมงคล เชิญเฉวียนฝูเหริน[1]อีก จะทันการหรือไม่?”
“ทันสิ!” หม่าซิ่วเหนียงยอมเปลี่ยนบทสนทนาตามคาด นางเล่าเรื่องของตัวเองอย่างมีความสุข “เครื่องเรือนพวกนั้น ท่านแม่ข้าแต่ก่อนก็สั่งทำหีบไม้การบูรไว้ให้สองใบแล้ว ส่วนอย่างอื่น ก็ให้ใช้ของสกุลจางไปก่อน มีเท่าไรก็เท่านั้น…”
สองคนคุยกันไป ไม่นานก็มาถึงน้ำตกสีปี่
น้ำตกสีปี่เป็นเพียงตาน้ำเล็กๆ ใต้ตาน้ำมีแอ่งขนาดไม่ใหญ่นักซึ่งครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ใต้โขดหินและอีกครึ่งหนึ่งโผล่ออกมาด้านนอก ความกว้างไม่เกินสามฉื่อ ลึกไม่ถึงหัวเข่า น้ำใสแจ๋วจนเห็นถึงก้น สองข้างมีต้นไม้ที่ลำต้นหนาเท่าปากชาม ไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไร ทว่ากิ่งก้านแผ่กว้างดั่งร่ม กิ่งที่เตี้ยหน่อยก็ละอยู่บนผิวแอ่งน้ำ ยังมีใบไม้ไม่รู้ชื่อที่ลอยอยู่บนผิวน้ำอีกด้วย
สตรีออกเรือนเจ็ดแปดคนกำลังมุงรอบแอ่งน้ำเพื่อตักน้ำอยู่
จางฮุ่ยพาเด็กรับใช้ไปยืนรออยู่ที่หินปูนตะแคงนอนก้อนใหญ่ที่อยู่ไกลๆ พอเห็นพวกนางดวงตาก็วาววับ
หม่าซิ่วเหนียงเม้มปากกลั้นยิ้ม
สองคนไม่ได้พูดจากันสักคำ แต่อารมณ์บนหน้ากลับเปรมปรีย์ยิ่งนัก ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาไม่น้อย
อวี้ถังเห็นว่าเส้นทางบนเขาที่มุ่งสู่น้ำตกสีปี่ยังคดเคี้ยวต่อไปเบื้องบนอีก คล้ายว่าสามารถปีนขึ้นไปได้ นางจึงอดจะหัวเราะแล้วกระซิบกับหม่าซิ่วเหนียงไม่ได้ว่า “พวกเจ้าอยากปีนเขาหรือไม่? ข้ากับสี่เชวี่ยจะพักอยู่ที่นี่ ดื่มน้ำสักนิดแล้วค่อยไป”
หม่าซิ่วเหนียงหน้าแดงก่ำ ตอบด้วยเสียงอันเบา “เจ้าไปปีนเขากับพวกเราจะดีกว่า”
อวี้ถังส่ายหน้าดิกๆ รีบเอ่ยว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะพักอยู่ที่นี่แหละ”
หม่าซิ่วเหนียงไม่มีทางปล่อยนางทิ้งไว้อย่างไม่ไยดีแน่ นางกำลังจะพูดอะไรต่อ อวี้ถังก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้เจอคุณชายรองสกุลหลี่ ข้าอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว พิจารณาว่าต่อไปจะทำอย่างไรดี”
หม่าซิ่วเหนียงคิดตามแล้วก็เห็นด้วย ไม่เกลี้ยกล่อมนางอีก แล้วหันไปกำชับสี่เชวี่ยอีกหลายประโยค พอเห็นว่าคนที่มาตักน้ำเหลือน้อยลงแล้ว จึงได้ส่งสายตาให้จางฮุ่ยทีหนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นเขาไป
จางฮุ่ยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มองอวี้ถังทีหนึ่งอย่างสงสัย รอกระทั่งหม่าซิ่วเหนียงเดินไปได้ระยะหนึ่งแล้ว เขาถึงได้ตามไป
อวี้ถังกำลังใคร่ครวญอยู่จริงๆ ว่าต่อไปจะทำอย่างไร
เรื่องราวของสกุลหลี่อย่างไรก็ต้องสืบให้กระจ่าง มิเช่นนั้นต่อให้นางแต่งเขยชายแล้วเฝ้าอยู่ในเรือน สกุลหลี่ก็มีวิธีที่จะจัดการสกุลนางได้อย่างง่ายดาย
ชาติก่อนนางได้ตาสว่างกับสารพัดอุบายของสกุลหลี่แล้ว
ไม่รู้เพราะเหตุใด อวี้ถังพลันคิดไปถึงนายท่านสามสกุลเผย
นางพลันรู้สึกว่า นางคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้องทั้งหมด
หากว่านางร้องขอความคุ้มครองจากสกุลเผย สกุลหลี่คงไม่กล้าเล่นงานสกุลอวี้ได้ตามใจ
ปัญหาเกิดขึ้นตรง ‘ตามใจ’ สองคำนี้นี่เอง
เหตุใดสกุลเผยต้องยอมเป็นปฏิปักษ์กับสกุลหลี่เพียงเพราะสกุลของนางด้วยเล่า?
สิ่งที่คนสกุลหลินต้องการมีความสำคัญกับสกุลหลี่มากมายเพียงใด สกุลหลี่คงไม่ยินยอมแตกหักกับสกุลเผยเพราะสิ่งนี้กระมัง?
คิดถึงสิ่งเหล่านี้ อวี้ถังเริ่มรู้สึกรำคาญใจ
เหตุใดสกุลนางจะต้องพึ่งพาสกุลเผยหรือว่ายอมโอนอ่อนต่อสกุลหลี่ด้วยเล่า?
พูดไปพูดมา ต้องยอมรับว่าเพราะสกุลนางไม่มีอำนาจบารมีเพียงพอ
ทว่าสกุลนางมีคนหนุ่มไม่กี่คน จะให้ญาติผู้พี่ไปเล่าเรียนวิชาตอนนี้ก็คงไม่ทันการแล้ว!
อย่างไรน้ำไกลก็ดับความกระหายในตอนนี้ไม่ได้
นี่ยังพอจะมีหนทางที่สองให้เดินหรือไม่?
ทำกิจการค้าขายต่อไป ย้ายไปจากหลินอัน?
เมืองหังโจวมีขุนนางและชนชั้นสูงมากมาย พวกเขาย้ายมาจากต่างถิ่น ยากนักที่จะได้รับการคุ้มครองจากสกุลใหญ่ๆ เช่นนั้นมิสู้อยู่ที่หลินอัน อย่างไรรอบข้างก็ยังมีเพื่อนบ้านที่รู้กำพืดกันดี สกุลอวี้เป็นมิตรกับทุกคนอยู่แล้ว หากว่าสกุลนางเกิดเรื่อง เพื่อนบ้านในตรอกย่อมยื่นมือช่วยเหลือ
ชาติก่อน หลังจากที่บิดามารดาของนางจากไป นางก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างมากจากพวกเขา
เฮ้อ!
ไปทางขวาก็ยาก ไปทางซ้ายก็ยากจริงๆ เลย
หากว่านายท่านสามเจอปัญหาแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะแก้สถานการณ์อย่างไร?
อวี้ถังนั่งขบคิดอย่างกลัดกลุ้มอยู่ตรงนั้น
สี่เชวี่ยเห็นว่านางนั่งเงียบๆ แน่นิ่งอยู่ตรงนั้นไม่พูดไม่จามาเกือบสองเค่อได้แล้ว รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย จึงหลบไปม้วนกิ่งไม้เป็นมงกุฎเล่นตรงบริเวณที่สามารถมองเห็นนางได้ง่ายๆ
มีคนเดินมาตักน้ำอีกแล้ว
อวี้ถังมองตามไป
เป็นเด็กน้อยอายุสิบสองสิบสามปี มัดผมสองแกละ สวมต้าวผาวหังโจวสีม่วง ในอกกอดถังไม้ใบเล็กอยู่ใบหนึ่ง ดวงหน้ากลมดิกสีอมชมพู มองแล้วน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เมื่อรู้สึกว่าถูกอวี้ถังจับจ้อง เขาก็มองอวี้ถังกลับด้วยความอยากรู้ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นตกตะลึงในภายหลัง เป็นนานก็ไม่ยอมย้ายสายตาหนี
อวี้ถังมองว่ารอบด้านไร้ผู้คน เด็กคนนี้ก็น่ารักน่าชังนัก จึงกระเซ้าเขาว่า “เจ้ารู้จักข้า?”
เด็กน้อยเหมือนได้รับความตกใจ พลันส่ายหน้ารัว ไม่กล้ามองนางอีก แล้วหมุนกายไปตักน้ำ
อวี้ถังเห็นแล้วรู้สึกขัน อารมณ์ก็เริ่มดีขึ้นไม่น้อย
เด็กน้อยทางหนึ่งก็ตักน้ำไป ทางหนึ่งก็แอบมองนาง เหมือนว่านางเป็นเสือตัวใหญ่ที่พออ้าปากก็จะจับเขากลืนลงไปอย่างไรอย่างนั้น น่าสนุกเป็นที่สุด
อวี้ถังเอ่ยว่า “เจ้ากำลังจะทำอะไรหรือ?”
แม้ถังไม้ในอกเขาจะใบเล็ก แต่ดูแล้วสามารถใส่น้ำได้ถึงสี่ห้าจิน เด็กคนนี้อายุยังน้อย เวลาสั้นๆ คงไม่เป็นไร แต่ถ้าระยะทางไกล คิดว่าคงอุ้มไม่ไหวแน่ อีกอย่างเด็กคนนี้ก็แต่งตัวเหมือนคนสกุลสูงศักดิ์ ทว่ากลับทำเรื่องที่เป็นหน้าที่ของบ่าวรับใช้ เชื่อว่าคงเป็นนายท่านสักคนที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเรียนแน่ๆ อีกอย่างคนผู้นี้ต้องไม่เพียงร่ำรวยเท่านั้น ทั้งต้องปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้ข้างกายเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นสีหน้าของเด็กน้อยคงไม่มีชีวิตชีวาร่าเริงเพียงนี้
นางคิดว่าเก้าในสิบส่วน เด็กคนนี้ต้องตามเจ้านายสกุลใดมาเที่ยวเล่นที่วัดเจาหมิงเป็นแน่
เด็กน้อยครุ่นคิด บอกเสียงเขินอายว่า “เป็นท่านเจ้าอาวาสต้องการต้มชา นายท่านของข้าจึงให้มาตักน้ำ”
บ่าวรับใช้ในเรือนยังแต่งกายขนาดนี้ จะได้รับการดูแลจากเจ้าอาวาสวัดเจาหมิงด้วยตนเองก็เป็นเรื่องปกติอยู่
อวี้ถังหัวเราะ บอกว่า “ข้าได้ยินมาว่าน้ำตกนี้ดื่มแล้วชำระสายตาชำระปอด ไม่รู้ว่าใช้ต้มชาได้ด้วย แล้วต้มชาอร่อยหรือไม่เล่า?”
เด็กน้อยได้ยินก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่อร่อย! ทว่าเจ้าอาวาสพูดแล้ว การดื่มชาคือเจตนารมณ์ของท่านเจ้าอาวาส ทว่านายท่านเรือนข้ามิชอบหักหน้าผู้อื่น จึงปล่อยเขาทำตามใจ อย่างไรนายท่านข้าก็ไม่ดื่มอยู่แล้ว”
อวี้ถังได้ฟังก็ชะงักไป ถึงกับวิจารณ์เจ้าอาวาสวัดเจาหมิงเช่นนี้…นางรู้สึกว่านายท่านของเด็กคนนี้น่าสนใจไม่น้อย จึงหัวเราะเสียงดังออกมา
เด็กน้อยเห็นแล้วก็หัวเราะตามนางเช่นกัน คล้ายว่ายิ่งให้ความสนิทกับอวี้ถังมากกว่าเดิม
เขายกถังไม้ที่ตักน้ำได้ครึ่งหนึ่งแล้ววางไว้บนแผ่นหินข้างๆ แล้วเล่าอย่างตัดพ้อกึ่งภูมิใจว่า “จริงๆ นะ! นายท่านของข้าพูดแล้ว น้ำตกอันดับหนึ่งในใต้หล้า น้ำหิมะพันปีอะไรกัน ล้วนแต่เป็นพวกปัญญาชนว่างงานแต่งออกมาเพื่อมอมเมาผู้คนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำอะไร พักไว้กี่วัน ล้วนใช้ได้เหมือนกันหมด นายท่านของข้ายังเคยพูดอีกว่า นายท่านมีศิษย์น้องอยู่คนหนึ่ง ซื้อเรือมาหนึ่งลำ กลางคืนดึกดื่นก็จอดไว้กลางแม่น้ำ พอเรือจมลงไปได้สามจั้งค่อยตักน้ำหนึ่งถังขึ้นมาชงชา ทั้งยังต้องแบ่งตามหน้าร้อนหนาวผลิโรยอะไรอีก เป็นปุถุชนกลับแก่งแย่งกรีดกราย ชั่วนาทีพลันหลงใหลได้ปลื้ม ล้วนแต่เป็นคนบ้าทั้งสิ้น”
อวี้ถังหัวเราะฮ่าๆ สุดเสียง หันไปยกนิ้วหัวแม่มือให้เด็กน้อย เอ่ยว่า “นายท่านของเจ้าช่างเป็นปัญญาชนที่ไม่ถือเนื้อถือตัว มีปณิธานอันยิ่งใหญ่โดยแท้”
เด็กน้อยฟังแล้วก็เผยสีหน้าภูมิใจออกมา กอดถังไม้ใบน้อยเอาไว้ พลางเอ่ยว่า “ท่านเจ้าอาวาสกับนายท่านของข้ากำลังรอน้ำจากข้าอยู่ ข้าต้องไปก่อนแล้ว”
อวี้ถังหันไปโบกมือให้เขาแล้วบอกว่า “เดินช้าหน่อย ระวังจะหกล้มล่ะ”
เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แล้วถามนางว่า “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว? หรือว่า รอข้าเอาน้ำไปส่งแล้ว ข้าแจ้งกับนายท่านสักคำ แล้วมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่ รอให้คนของเรือนเจ้ากลับมาข้าค่อยจากไป?”
“ไม่ต้องหรอก!” อวี้ถังชี้ไปทางสี่เชวี่ยที่อยู่ไกลๆ “ข้าจะพักอยู่ที่นี่สักครู่!”
เด็กน้อยทำท่าถอนหายใจ แล้วบอกลานางด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินอุ้มถังไม้จากไป
อวี้ถังครุ่นคิดเรื่องสกุลหลี่ต่อ
ถ้าหากไม่อาศัยผู้อื่น ทำอย่างไรจะรอดพ้นจากสกุลหลี่ได้?
สกุลหลี่มีผู้ใดหรือเรื่องใดสามารถหลอกใช้ได้บ้าง?
นางค่อยๆ ระลึงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนางแต่งเข้าสกุลหลี่ในชาติก่อน
ภายหลังสกุลหลี่ร่ำรวยขึ้นมาจากการค้าขายทางทะเล ไม่เหมือนกับคนเมืองหลินอันคนอื่นๆ คนเมืองหลินอันที่ค้าขายทางทะเล ล้วนต้องหาลู่ทางผ่านหังโจว ทว่าสกุลหลี่นั้นมีลู่ทางจากฝั่งฝูเจี้ยน เป็นเส้นสายที่สกุลฝั่งมารดาของคนสกุลหลินติดต่อให้ วิธีการที่สกุลหลี่ใช้ก็ยิ่งรวดเร็วและดุดัน ซึ่งก็คือหลังจากร่ำรวยอู้ฟู่แล้ว ก็กำเริบเสิบสานใช้ตำแหน่งขุนนางเป็นโล่กำบัง แต่นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น เดิมก็ไม่อาจใช้เป็นจุดอ่อนอะไรได้
แน่นอนว่า ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถใช้ได้ นั่นก็คือความปรารถนาที่หลี่ตวนมีต่อนาง
ทว่ามันน่าขยะแขยงเกินไป
นางยอมตายยังดีกว่าได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้
คิดถึงตรงนี้ สายตานางก็สว่างวาบ
แล้วหลี่จวิ้นเล่า?
ถ้านางหลอกใช้หลี่จวิ้นเล่า?
อย่างเช่น เรื่องที่หลี่จวิ้นตายไปด้วยอุบัติเหตุ
หากว่านางช่วยหลี่จวิ้นได้ ย่อมเป็นเจ้าบุญคุณเขา แล้วขอให้เขาเอ่ยสัตย์สาบาน ไม่แต่งนางเป็นภรรยา และไม่วางตัวเป็นศัตรูกับสกุลอวี้?
อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าแผนนี้เป็นไปได้
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือต้องกำจัดความสนใจที่หลี่จวิ้นมีต่อนาง
เช่นนั้นก็ต้องบอกปฏิเสธหลี่จวิ้นให้ชัดเจนเป็นกิจลักษณะ หรือว่ารีบหาคนมาหมั้นหมายให้เร็วที่สุด จากนั้นก็จัดการให้คู่หมั้นของนางไปช่วยชีวิตหลี่จวิ้นเสีย
ภรรยาของผู้มีพระคุณ อย่างไรเขาย่อมไม่กล้ารังแกแน่!
อวี้ถังรู้สึกว่าความกลัดกลุ้มตลอดหลายวันค่อยๆ สลายไป อารมณ์เริ่มเบิกบานขึ้นแล้ว
ทว่า สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมาเข้มแข็งด้วยตัวเองให้ได้จึงจะดี
แต่ตอนนี้นางยังไม่มีความคิดดีๆ เลย ได้แต่ค่อยๆ พิจารณาไปช้าๆ
อวี้ถังติดสินใจเป็นมั่นเป็นเหมาะ นางเดินไปหาสี่เชวี่ย แล้วทำมงกุฎดอกไม้ด้วยกัน
รอกระทั่งหม่าซิ่วเหนียงกับจางฮุ่ยกลับมา นางก็แบ่งมงกุฎดอกไม้ให้หม่าซิ่วเหนียงไปหลายอัน
เพื่อหลีกเลี่ยงพวกของหลี่จวิ้น พวกนางไม่ได้รับประทานอาหารเจที่วัดเจาหมิง แต่ซื้อของว่างเจที่มีเฉพาะแต่วัดเจาหมิงเท่านั้นมาหลายกล่อง แล้วหยิบยืมมุมลับสายตาของร้านอาหารข้างทางในหมู่บ้านหมีถัว นั่งกินเสบียงที่ตัวเองเตรียมกันมา รอจนอาเสามารับ พวกเขาจึงแยกย้ายกลับทางใครทางมัน
———————————————–
[1]เฉวียนฝูเหริน หมายถึง คนสำคัญในงานแต่ง สตรีที่บิดามารดายังมีชีวิตและแข็งแรงดี มีสามี และมีบุตรสาวบุตรชาย ตามธรรมเนียมแต่งงานพื้นบ้าน มีหลายขั้นตอนที่ต้องให้นายหญิงผู้นี้คอยชี้แนะ เพื่อให้สามีภรรยาโชคดีสมปรารถนาในอนาคต