ตอนที่ 17 ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางความอบอุ่น

แม่ครัวยอดเซียน

ตอนที่ 17 ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางความอบอุ่น Ink Stone_Romance

ในเมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงหนานกงเวิ่นเทียนให้อ้วนพี หลิวหลีก็เริ่มคำนวณไปต่างๆนานา ตอนนี้เสี่ยวเทียนร่างกายอ่อนแอ ไม่ควรกินอาหารรสจัดและมัน นางไปที่ป่าฝึกฝนเพื่อขโมยไข่ของไก่ฟ้า แล้วยังไปจับวัวป่ากลับมาได้อีกหนึ่งตัว

สิ่งที่ควรค่าแก่การฉลองก็คือภายระยะเวลา 6 ปีมานี้ในที่สุดหลิวหลีก็ค้นพบข้าวสาลี ตอนนี้เรียกว่าข้าวสาลีศักดิ์สิทธิ์ นางทำแพนเค้กไข่อย่างมีความสุข แล้วก็คิดจะทำเนื้อวัวอีกหนึ่งอย่าง นางกลัวว่าวัวป่ายังจะมีความบ้าระห่ำหลงเหลืออยู่ในเนื้อ หลิวหลีจึงใช้พลังเซียนค่อยๆจัดการกลิ่นอายความบ้าระห่ำของวัวป่า หลิวหลีจัดการไปจัดการไป เหมือนสายตาทั้งสองข้างจะว่างเปล่า จนไม่รู้ว่าสัมผัสเซียนของนางหายไปอยู่ที่ไหน แต่มือยังคงจัดการไปตามความคุ้นเคย ราวกับทำกับข้าวที่อยากทำจนเสร็จอย่างไร้สติ

หลิวหลีรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน นำของกินที่นางซ่อนไว้ในแหวนเก็บของออกมา แล้วก็นำถุงเก็บของออกมาด้วย พอคิดไปคิดมานางก็เอายาปี้กู่ตัน (ยาทิพย์) คุณภาพชั้นเลิศที่นางไม่เคยแตะต้องมาก่อนใส่เข้าไปด้วย แล้วก็ส่งเสียงบอกเอ๋าเลี่ยว่า “อาเลี่ย ข้ารู้สึกว่าข้าจะต้องไปปรุงยา วันออกฌานยังไม่กำหนด ฝากเจ้าดูแลเสี่ยวเทียนด้วยนะ” หลิวหลีสั่งการไว้เรียบร้อยแล้วก็หายตัวไป

เอ๋าเลี่ยมองดูหลิวหลีที่หายตัวไปก็ไม่รู้จะพูดอะไร ดันโยนภารกิจสำคัญอย่างการเลี้ยงเด็กไว้ให้เขา

หลิวหลีมาถึงถ้ำที่ตัวเองใช้เข้าฌาน เมื่อเปิดผนึกถ้ำแล้ว ก็นำหม้อปรุงยาออกมา สูดหายใจเข้าลึกแล้วนำพืชศักดิ์สิทธิ์ออกมาจัดการ ครั้งนี้หลิวหลีไม่ได้สกัดความเข้มข้นออกมาในทันที แต่ลูบพืชศักดิ์สิทธิ์ราวกับทำความรู้จักกับเพื่อนเก่า จนกระทั่งรู้สึกว่าพืชศักดิ์สิทธิ์ในมืออ่อนนุ่มลงบ้างแล้วถึงได้สกัดส่วนเข้มข้นของมันออกมา พอสกัดสิ่งที่ต้องการของพืชศักดิ์สิทธิ์เสร็จ หลิวหลีก็จุดไฟหม้อปรุงยา จากนั้นก็นำสิ่งที่สกัดออกมาใส่เข้าไปในหม้อปรุงยาตามลำดับ ควบคุมกำลังไฟอย่างละเอียด และควบคุมกำลังไฟตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

หนานกงเวิ่นเทียนมองอาหารตรงหน้าและงูสีแดงข้างจานอาหารอย่างไร้ความรู้สึก สายตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ หญิงหื่นคนนั้นหายไปไหนแล้ว

 “เจ้าหนู นี่มันสายตาอะไรของเจ้า มีข้ามาส่งข้าวให้ถือเป็นเกียรติของเจ้าแล้วนะ” เอ๋าเลี่ยพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้

อสูรภูติที่พูดได้ขั้นต่ำต้องอยู่ในระดับห้าเป็นอย่างน้อย งูแดงตัวนี่เป็นประเภทไหนกัน

 “ท่านคือ” หนานกงเวิ่นเทียนถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

 “ข้าคือคู่พันธสัญญาที่ถูกกำหนดมาของนังหนู ไม่ต่างกับเจ้า” เอ๋าเลี่ยเน้นประโยคสุดท้ายทีละคำ เขาไม่ได้ละเลยกลิ่นอายประเภทเดียวกันกับเขาบนตัวหนานกงเวิ่นเทียน เอ๋าเลี่ยแผ่กลิ่นอายมังกรออกมาอย่างรุนแรง หนานกงเวิ่นเทียนหน้าซีดเผือด รูปหงส์บนหน้าผากของเขาปรากฏขึ้นเลือนลาง มีแสงสีขาวประกายออกมา เอ๋าเลี่ยจึงเก็บกลิ่นอายกลับไป

 “ท่านอาเอ๋าเลี่ย ท่านห้ามรังแกคู่พันธสัญญาของข้านะ” หงส์เหมันต์พูดขึ้น กลิ่นอายนั้นเบาบางเหลือเกิน

 “ที่แท้ก็เป็นยัยหนูอิงเสวี่ยนี่เอง เจ้าเป็นคู่พันธสัญญาของเด็กนี่หรอกหรือ” เอ๋าเลี่ยมองไปที่หงส์เหมันต์แสนพิเศษตัวนั้น ที่เป็นหงส์เหมันต์กลายพันธุ์บรรพกาลเช่นเดียวกับเขา

 “ท่านอาเอ๋าเลี่ย คิดไม่ถึงว่าท่านจะผูกพันธสัญญากับมนุษย์ด้วย นังหนูผู้นี้เป็นคนสกุลหลงหรือ” หงส์เหมันต์หรือก็คือเฟิ่งอิงเสวี่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

 “ใช่ นังหนูคนนี้เป็นคนสกุลหลงเพียงแต่สถานะของนางค่อนข้างพิเศษ แต่ว่าหลังจากนี้ถ้าพวกเจ้าเจอกัน อย่าบอกหลิวหลีแล้วกัน ว่านางมาจากสกุลหลง” เอ๋าเลี่ยพยักหน้า คิดแล้วก็พูดเสริมขึ้น

ถึงแม้เฟิ่งอิงเสวี่ยจะไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกได้ถึงปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่

 “จริงสิ ท่านอาเอ๋าเลี่ย ท่านช่วยดูเวิ่นเทียนคู่พันธสัญญาของข้าหน่อยสิ ทำไมเขาถึงย้อนวัยกลายมาเป็นเด็กได้” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดอย่างกระวนกระวายใจ เวลาที่นางจะปรากฏตัวขึ้นมาได้มีไม่มาก

เอ๋าเลี่ยเหลือบมองดูเด็กหนุ่มที่นั่งเงียบในขณะที่เขาคุยกับเฟิ่งอิงเสวี่ย

 “ไม่เป็นไร เจ้าฉีกมิติออกมา ถือเป็นการปกป้องเขาอย่างหนึ่ง รอให้พลังบำเพ็ญเพียรฟื้นฟูกลับมาก็จะดีขึ้นเอง แต่ตัวเจ้าเองก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ ฉีกมิติออกมากะทันหันเช่นนี้ พลังเซียนของเจ้าเลยดูไม่หนักแน่นพอ เสี่ยงมีภาวะลมหายใจจะไหลย้อนกลับได้ตลอดเวลา” เอ๋าเลี่ยพูดอย่างจริงจัง

 “ท่านอาเอ๋าเลี่ย ท่านบอกว่าเวิ่นเทียนจะไม่เป็นไร ข้าก็วางใจ เกรงว่าร่างกายอาจจะต้องเกิดใหม่อีกครั้ง” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าเฟิ่งอิงเสวี่ยเป็นทุกข์ หากนางต้องไปเกิดใหม่จากเถ้าธุลี เวิ่นเทียนจะทำอย่างไรเล่า

 “ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ” เอ๋าเลี่ยพูดขึ้นเบาๆเมื่อนึกถึงการเกิดใหม่จากเถ้าธุลี

 “อิงเสวี่ย เพลิงบุปผาเหมันต์ของเจ้าสามารถแตกลูกไฟออกมาได้หรือไม่” เฟิ่งอิงเสวี่ยเกิดจากเพลิงบุปผาเหมันต์ และเมื่อเกิดมาเพลิงเหมันต์ชนิดเดียวบนโลกก็ถูกนางพิชิตไปแล้วเรียบร้อย

 “ท่านอาเอ๋าเลี่ยต้องการเพลิงบุปผาเหมันต์หรือ?” เฟิ่งอิงเสวี่ยถามอย่างสงสัย มันไม่น่าจะเข้ากับคุณสมบัติร่างกายของท่านอาเอ๋าเลี่ยนี่นา

 “ควรจะต้องบอกว่าคู่พันธสัญญาตัวน้อยของข้าต้องการ นางฝึก‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’หากมีเพลิงอัคคีเชื่อว่านางจะสามารถพัฒนาฝีมือได้เร็วขึ้น”

 “ไม่มีปัญหา หากข้าเกิดใหม่เพลิงบุปผาเหมันต์ย่อมเกิดใหม่เช่นกัน พอถึงตอนนั้นแบ่งออกไปส่วนหนึ่งก็ได้ เพียงแต่เพลิงบุปผาเหมันต์ของข้าค่อนข้างจะเย็นชาและดื้อรั้นมาก นอกจากเวิ่นเทียนแล้ว ข้าไม่เคยเห็นใครสามารถทนรับเพลิงบุปผาเหมันต์ของข้าได้สักคน” เฟิ่งอิงเสวี่ยอธิบาย

 “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปที่ข้าเลือกเพลิงบุปผาเหมันต์ของเจ้า ข้าย่อมมีเหตุผล คู่พันธสัญญาของข้านางมีร่างวิญญาณอัคคี เมื่อดูดซับเพลิงบุปผาเหมันต์ที่มีคุณสมบัติแตกต่างเป็นชนิดแรกจะสมดุลกันพอดีทำให้พิชิตได้ง่ายขึ้น”

 “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” เฟิ่งอิงเสวี่ยพึมพำเสียงเบา

 “ท่านอาเอ๋าเลี่ย ข้าจำเป็นต้องกลับไปพักผ่อนในมิติอสูรภูตของเวิ่นเทียนแล้ว สิบวันจากนี้ข้าจะเกิดใหม่ แต่ข้าเป็นห่วงวิ่นเทียน ร่างกายของเขาเข้ากันได้ดีกับข้ามาก คุณสมบัติพิเศษนี้อยู่ร่างผู้หญิงจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ถ้าอยู่ในร่างเวิ่นทียนก็จะสร้างปัญหาอยู่มากโข หลังจากที่ข้าเกิดใหม่จะมีช่วงหนึ่งที่ร่างกายอ่อนแอ อาเอ๋าเลี่ยเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเราสองคน ช่วยดูแลเวิ่นเทียนให้หน่อยได้ไหม” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดด้วยความจริงใจ

 “ไม่ต้องเป็นห่วง คู่พันธสัญญาของข้ากับลูกศิษย์ของเจ้ามีคุณสมบัติที่เข้ากันได้ดีเกินจะเปรียบ เจ้าวางใจเถอะ” เอ๋าเลี่ยเปิดเผยข้อมูลเล็กน้อย

เฟิ่งอิงเสวี่ยอึ้งไป มีคนที่มีคุณสมบัติทางร่างกายเข้ากับกับเวิ่นเทียนอยู่จริงๆด้วยหรือนี่ อย่างนี้นางก็เริ่มวางใจลงบ้างแล้ว

 “เวิ่นเทียน ข้าจะต้องหลับใหลไปสิบวัน หลังจากสิบวันข้าถึงจะเกิดใหม่จากเถ้าธุลี หลังจากนั้นจะมีช่วงหนึ่งที่ร่างกายอ่อนแอ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอาเอ๋าเลี่ยจะดูแลเจ้าช่วงหนึ่ง เขาคือเทพสงคมแห่งเผ่ามังกร เป็นมังกรโลหิตบรรพกาล เจ้าจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ข้าสอนเจ้าไม่ได้จากเขา” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดจบก็หายตัวกลับเข้าไปในมิติอสูรภูต ทิ้งหนานกงเวิ่นเทียนที่ยังตกตะลึงอยู่ไว้ งูแดงตัวนี้เป็นถึงมังกรโลหิตผู้ผู้เป็นสุดยอดเทพแห่งสงครามของเผ่ามังกร รู้สึกไม่ค่อยเหมือนจริงเสียเท่าไหร่

 “เจ้าหนู กินเข้าไปก่อนสิ จริงด้วย ถุงเก็บของอันนี้ หลิวหลีฝากมาให้เจ้า” เอ๋าเลี่ยมองเด็กน้อยที่เพื่อนสนิทต่างวัยของเขาฝากฝัง ดูงุนงงเสียยิ่งกว่าหลิวหลีเสียอีก หลิวหลีไปจำศีลแล้ว เขาคงต้องพึ่งพวกเนื้อแห้งแก้ขัดไปก่อน

หนานกงเวิ่นเทียนมองอาหารที่อยู่ตรงหน้าแล้วกิน อันนี้คืออะไรมันนิ่ม ๆอร่อยดีไม่หยอก เนื้ออันนี้ก็รสชาติไม่เลวเลย พอกินเสร็จก็ดูถุงเก็บของที่หลิวหลีฝากไว้ให้ ส่วนใหญ่เป็นของกิน ยาวิเศษเป็นยาปี้กู่ตัน(ยาทิพย์)เสียด้วย

 “เจ้าหนู เจ้ารู้ไหมว่าหลิวหลีเอาใจใส่เจ้ามากขนาดไหน เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ อย่างไรเสียก็มีข้าอยู่ด้วย” นานๆทีเอ๋าเลี่ยขะเป็นห่วงเป็นใยผู้อ่อนวัยกว่า

 “ขอบคุณขอรับ ผู้อาวุโส” หนานกงเวิ่นเทียนก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี

อีกด้านหนึ่ง หลิวหลีก็ปรุงยาตามความคิดของตนเองจนในที่สุดยาก็สำเร็จ จุดสำคัญก็คือเป็นคุณภาพชั้นเลิศ หลิวหลีมองยาวิเศษที่กลิ่นหอมลอยอบอวลทั้ง 6 เม็ด ล้วนเป็นคุณภาพชั้นเลิศหมดทุกเม็ด หลิวหลีถอนหายใจอย่างผ่อนคลายทำได้สำเร็จสักที แต่พอนึกถึงรสชาติที่แปลกประหลาดของยา หลิวหลีก็ขมวดคิ้วแน่น รสชาติไม่ผ่าน ถือว่ายังไม่ได้ หลิวหลีผู้ที่เคร่งครัดต่อเรื่องรสชาติก็ได้เริ่มลงมือปรุงใหม่อีกครั้ง

 ทดลองไปมาอยู่หลายครั้งสุดท้ายก็ล้มเหลว กระทั่งการทดลองในบางครั้งถึงกับทำให้คุณภาพของตัวยาลดลง ทำไมถึงไม่สามารถทำออกมาให้มีคุณภาพดีแล้วก็รสชาติดีด้วยได้นะ นี่มันไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เลย พอคิดไปคิดมา เดิมทีที่นี่ก็ไม่ใช่โลกของวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว  คิดมากเกินไปจนถอนหายใจออกมา นางพลันคิดไม่รู้ว่าเสี่ยวเทียนจะได้กินอาหารดีๆบ้างหรือไม่เพราะตัวนางเองก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา อาเลี่ยน่าจะสามารถดูแลเสี่ยวเทียนได้ดี   เฮ้อ…ถ้าหากเกิดตัวร้อนไม่สบาย ถ้าหากยาขมเกินไปเสี่ยวเทียนกินไม่ได้จะทำอย่างไร ที่นี่ไม่มีน้ำตาลเสียหน่อย

น้ำตาล ในหัวของหลิวหลีเหมือนจะคิดอะไรออก นางไม่ต้องแก้ส่วนประกอบในยาก็ได้ แค่เคลือบน้ำตาลให้มันอีกชั้นหนึ่ง หลังจากใส่เข้าปากน้ำตาลจะละลายก่อน หลังจากน้ำตาลละลายหมดแล้ว ตัวยาก็จะเริ่มออกฤทธิ์ในร่างกายได้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้น่าจะได้ผล หลิวหลีเริ่มการทดลองรอบใหม่อีกครั้ง ผ่านไปเพียงครู่เดียวยาที่หอมโชยก็ออกมาจากเตาปรุงยามาแล้ว พอเห็นตัวยาที่สำเร็จแล้ว หลิวหลีก็รู้สึกพอใจไม่น้อย นางเก็บยาแล้วเริ่มนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังเซียนที่สูญเสียไป พลางคิดขั้นตอนในการปรุงยาไปด้วย และพลังเซียนรอบตัวก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และป้ายหยกรูปมังกรตรงหน้าอกเริ่มดูดพลังเซียนอันหนาแน่นนี้เข้าไปอีกครั้งโดยที่นางก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน

เสวียนหั่วที่เข้าฌานปรุงยาอยู่ไม่ไกล ยาหยินหยางระดับ 8 กำลังออกจากเตาแล้ว เสวียนหั่วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ดีจริงๆ ยาระดับ 8 หม้อนี้จะมียาคุณภาพชั้นเลิศ 3 เม็ดเป็นอย่างน้อย ไม่รู้ว่าศิษย์ของเขาตอนนี้ฝึกฝนเป็นอย่างไรบ้าง นี่ก็หกปีมาแล้วเวลาผ่านไปช้าจริง ๆ ตอนที่เสวียนหั่วกำลังฝึกปรุงกระบวนสุดท้ายก็รู้สึกถึงความผิดปกติของพลังเซียน เหมือนพลังเซียนกำลังหลั่งไหลไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เขารีบดึงพลังเซียนออกมาเพื่อนำยาออกมาจากเตาปรุงยา แต่มียาคุณภาพชั้นเลิศเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น และปรากฏเป็นคุณภาพระดับกลางอีกหลายเม็ด เสวียนหั่วโมโหสุดขีด เพียงแต่ว่าทิศทางนี้นั้น… เสวียนหั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าเป็นทิศของศิษย์เขา เขาไปปรากฏตัวหน้าปากถ้ำที่หลิวหลีเข้าฌาน ลูกศิษย์จะบรรลุช่วงพื้นฐานแล้ว ร่างวิญญาณอัคคีต่างจากคนทั่วไปจริงๆ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรแตกต่างกันจริงๆ เซียนเด็กอายุ 13 ปีมีพลังบำเพ็ญเพียรในช่วงพื้นฐาน อายุน้อยจนน่าหมั่นไส้ ช่างเป็นหน้าเป็นตาเสียจริง เสวียนหั่วรู้สึกปลาบปลื้มใจ ลูกศิษย์เขาสุดยอดจริง ๆ

ไม่นานนัก เอ๋าเลี่ยก็พาหนานกงเวิ่นเทียนมาปรากฏตัว หลิวหลีจะบรรลุช่วงพื้นฐานแล้ว  เร็วเกินไปไหมนะ เสวียนหั่วมองหนานกงเวิ่นเทียนในชุดกระโปรงสีชมพู เขาจำศีลไปแค่ 6 ปี ทำไมลูกศิษย์เขาถึงมีลูกแล้วล่ะ

 “ผู้อาวุโส” เหมือนจะสังเกตได้ว่ามีคนมองจับจ้องอยู่ หนานกงเวิ่นเทียนสะกิดเอ๋าเลี่ยที่อยู่ข้างกาย และมองเสวียนหั่วอย่างหวาดระแวง

 “เอ๊ะ นี่ไม่ใช่เสวียนหั่วหรอกหรือ เหตุใดออกมาเร็วขนาดนี้เล่า” เอ๋าเลี่ยพูดขึ้น ตาแก่นี่ค่อนข้างเป็นห่วงหลิวหลีมากเลยทีเดียว

 “ใช่ นางจะบรรลุช่วงพื้นฐานแล้ว” เสวียนหั่วพูดพลางพยักหน้า

 “ใช่ ผู้บำเพ็ญช่วงพื้นฐานอายุ 13 อนาคตไกลจริง ๆ” เขาจำได้ว่าเพียงพริบตาเดียวหลิวหลีก็อายุ 13 ปีแล้ว บรรลุช่วงพื้นฐานตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆ เมื่อบรรลุช่วงพื้นฐานแล้วถึงจะถือว่าก้าวเข้าสู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง

“ความหวังของท่านใกล้จะสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว ยินดีด้วย” เสวียนหั่วเยินยอ

 “เช่นกันเช่นกัน เสวียนหั่ว เจ้ามีลูกศิษย์ที่ใช้ได้คนหนึ่งเลย” อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ที่เป็นหน้าเป็นตาด้วย

 “ใช่แล้ว เด็กคนนี้เป็นลูกของหลิวหลีหรือ คิดไม่ถึงเลยว่าจะโตขนาดนี้แล้ว”

เมื่อเสียงของเสวียนหั่วสิ้นสุดลง เอ๋าเลี่ยเกือบจะกองลงไปนอนกับพื้น หนานกงเวิ่นเทียนโกรธจนหน้าเขียว

……………………………………………………………….