‘ปัง!’

นายอำเภอจูตบไม้ปลุกสติ[1]ด้วยความโมโหอีกครั้งแล้วตะโกนเสียงดัง “เจ้าบอกว่าเห็นเงาดำฆ่าคนแล้วข้ามกำแพงหนีไป แล้วเหตุใดวันนี้ตอนมือปราบตรวจดูสวนดอกไม้ใต้กำแพงจึงไม่มีรอยเท้า ทั้งไม่มีร่องรอยเหยียบย่ำดอกไม้ใบหญ้าด้วย”

นางจางหยางผงะไป ดวงตารูปผลซิ่งงดงามกลอกกลิ้งไปรอบหนึ่ง “เอ่อ คือ…”

จางเซี่ยนรีบพูด “ใต้เท้า ท่านแม่จะไปรู้ว่าคนร้ายแอบเข้ามาในบ้านได้อย่างไร มือปราบของที่ว่าการสืบไม่ได้ ใต้เท้าก็ไม่อาจโยนความผิดมาที่ข้ากับแม่ได้นะขอรับ”

แม่ลูกเทวดา อย่าได้ดูถูกคำนี้เชียว สวี่ชีอันทนฟังต่อไปไม่ไหว

นายอำเภอจูโมโหมาก “ปากดีนักนะ ผู้คุม ลงโทษมัน”

กระบวนการสอบปากคำในสมัยนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ บีบถามแล้วทรมาน ยามที่ขาดหลักฐานก็มีแต่ต้องทำเช่นนี้แล้ว จึงมักจะเกิดการทรมานจนต้องยอมรับผิด

แต่มันเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ การรวบรวมหลักฐานทำได้ยากมากเพราะขาดอุปกรณ์และเทคโนโลยีเฉพาะทาง ดังนั้นการลงทัณฑ์จึงกลายเป็นระเบียบที่ขาดไม่ได้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

จางเซี่ยนพูดเสียงดัง “ใต้เท้าจะทรมานให้คนรับผิดเหรอขอรับ อาของข้าเป็นขุนนางใกล้ชิดสังกัดกรมพิธีการ ใต้เท้าไม่กลัวถูกกล่าวโทษหรืออย่างไร”

อาคนดังกล่าวแท้จริงแล้วเป็นญาติห่างๆ ห้ารุ่น แต่ถึงแม้สายสัมพันธ์โลหิตจะห่างไกล แต่ความสัมพันธ์กลับใกล้ชิดมาก เพราะตระกูลจางมักส่งของกำนัลให้กับญาติห่างๆ คนนั้นอยู่บ่อยๆ

เข็มเดียวเห็นโลหิต[2] นายอำเภอจูคิ้วกระตุก เขารู้ว่าตระกูลจางมีเบื้องหลังเช่นนั้นอยู่

“เจ้ากล้าข่มขู่ข้าที่เป็นขุนนางหรือ ผู้คุม โบยยี่สิบครั้ง”

เจ้าหน้าที่สี่คนเดินเข้าไป สองคนใช้แท่งไม้วางพาดคอจางเซี่ยน ส่วนอีกสองคนถอดกางเกงของเขา เหล่าเจ้าหน้าที่เริ่มออกแรง เสียงโบยตีดังก้องไปทั่วศาล

จางเซี่ยนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

นายอำเภอจูหน้าบึ้งตึง โบยด้วยไม้กระดานยี่สิบครั้งไม่พอให้คนคนหนึ่งสารภาพว่าเป็นคนร้ายฆ่าคนได้ ถ้าโบยด้วยไม้กระดานสักห้าสิบครั้งยังพอมีโอกาส แต่ก็อาจจะทำให้คนถูกโบยถึงแก่ความตายได้

อีกอย่าง ถึงแม้จางเซี่ยนจะรับสารภาพ แต่เมื่อคดีถูกส่งไปยังกรมอาญา จางเซี่ยนก็ยังมีโอกาสพลิกคดี อย่าลืมว่าเขามีญาติเป็นขุนนางใกล้ชิดอยู่คนหนึ่ง

กลับกันพอถึงเวลานั้นเขาสามารถสวมหมวกผู้ถูกทรมานให้รับสารภาพแก่ตัวเองได้

สวี่ชีอันอาศัยช่วงที่จางเซี่ยนถูกโบยด้วยไม้กระดานอยู่บนพื้นกวักมือเรียกผู้ติดตามข้างกายนายอำเภอจู

ผู้ติดตามลังเลเล็กน้อย เขาถอยหลังสองสามก้าวอย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา

“ฝากไปบอกใต้เท้าว่าให้หยุดพักศาลชั่วคราว ข้ามีความคิดบางอย่าง” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา

“เจ้าจะไปมีแผนอะไร อย่าได้พูดไร้สาระแล้วทำข้าลำบากไปด้วย” ผู้ติดตามไม่เชื่อถือ

“พิจารณาคดีต่อไปก็ไม่ได้ผลอะไร ตอนนี้ใต้เท้าเท่ากับขี่หลังเสือ เขาต้องรับปากแน่ เดี๋ยวข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้า” สวี่ชีอันพูด

“ก็ได้…”

ผู้ติดตามวิ่งเหยาะๆ ไปยังด้านหน้านายอำเภอจูแล้วกระซิบที่หูของเขาสองสามประโยค นายอำเภอจูหันหน้ามาทางสวี่ชีอันทันที

เขาไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วเก็บสายตากลับไปก่อนจะตบไม้ปลุกสติ “นำตัวสองคนนี้ไปขังคุก พักศาล”

โถงด้านใน

นายอำเภอจูถือชาร้อนที่สาวใช้รินให้แล้วจิบไปหนึ่งคำ

เมื่อสวี่ชีอันที่อยู่ในระบบมาหลายปีและรู้เรื่องธรรมเนียมของแวดวงขุนนางแบบงูๆ ปลาๆ เห็นท่าทางเช่นนี้เขาก็รีบยกชาขึ้นจิบนิดหน่อยทันที

“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ามีความคิดอะไร”

สวี่ชีอันตกใจกับท่าทีของนายอำเภอจู น้ำเสียงของเขากลับนุ่มนวลอย่างน่าประหลาดและไม่แสดงท่าทางอวดเบ่งออกมา

ในภาพจำ นายอำเภอจูไม่มีทางเกรงใจเจ้าหน้าที่ระดับล่างในที่ว่าการอำเภอเช่นนี้หรอก หรือว่าหลังจากข้ามภพเขาจะหน้าตาดีขึ้นมาแล้ว

“ข้าขอลองดูนะขอรับ”

“ไม่ใช้กำลังเหรอ”

“เป็นเช่นนั้นขอรับ”

นายอำเภอจูสงสัยยิ่งกว่าเดิม เขาวางถ้วยชาลงแล้วมองมา “ลองพูดมา”

เรื่องทฤษฎีเกมจิตวิทยาเจ้าฟังไม่เข้าใจหรอก พูดไปให้ได้อะไรล่ะ… สวี่ชีอันยิ้มกล่าว “ข้าขอเก็บไว้ก่อนขอรับ ใต้เท้ารอฟังข่าวดีให้สบายใจเถิด”

ในห้องมิดชิดเงียบเชียบ หยางเจินเจินถูกนำตัวมาที่นี่ ดวงตาเปียกชุ่มกลอกไปมา นั่งกระสับกระส่าย

เดิมทีคิดว่าเจ้าหน้าที่ระดับล่างจะสร้างความลำบากให้นาง ใครจะคิดว่าพอพานางมาที่นี่เสร็จแล้วก็จากไป แต่สิ่งนี้ไม่ได้ช่วยบรรเทาความวิตกกังวลของนางเลย

‘ครืด…’

ประตูไม้ถูกผลักออก ชายหนุ่มในชุดมือปราบเดินเข้ามา รูปร่างสูงตระหง่าน โครงหน้าแข็งกร้าว องคาพยพทั้งห้านับว่าดูดี

“ไม่ต้องเครียด คุยกันสบายๆ” ชายหนุ่มถึงขั้นชงชาให้พร้อมยิ้มกว้างเต็มใบหน้า “เจ้าเรียกข้าว่า ‘เซอร์’ สวี่ (ท่านสวี่) ก็ได้”

‘งูสวี่เหรอ’ (ในที่นี้เป็นการเล่นคำ ‘เซอร์’ ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ‘งู’ ในภาษาจีน)

หยางเจินเจินที่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่สุภาพเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไร นางจับจ้องเขาอย่างหวาดระแวง

สวี่ชีอันก็กำลังสังเกตฮูหยินคนงามผู้นี้ด้วยเช่นกัน ไม่แปลกที่นางจะเป็นหญิงสาวที่เศรษฐีโปรดปราน ความงามเป็นธรรมชาติ รูปลักษณ์ด้อยกว่าอาสะใภ้ที่บ้านอยู่นิดหน่อย

อายุก็จัดว่ากำลังดี ผู้หญิงวัยสามสิบปีในโลกก่อนของเขาเป็นวัยที่อิ่มเอิบเหมาะสมที่สุดแล้ว

“เจ้าสวมเครื่องเงินเครื่องทองเช่นนี้แสดงว่าจางโหย่วรุ่ยปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว” สวี่ชีอันเริ่มบทสนทนา

หยางเจินเจินไม่หือไม่อือ

“อันที่จริงข้าว่านะ อายุอย่างเจ้าแต่หลายปีมานี้กลับยังไม่ตั้งครรภ์ กว่าครึ่งคงเป็นปัญหาของจางโหย่วรุ่ยแล้ว” สวี่ชีอันกล่าว

เดิมทีหยางเจินเจินคิดว่าจะเป็นการสอบปากคำ แต่คิดไม่ถึงว่าท่าทีและน้ำเสียงของชายหนุ่มผู้นี้จะนุ่มนวลน่าแปลก

ไม่เหมือนภาพลักษณ์ของข้าราชสำนักในความทรงจำเลย

อีกอย่าง เมื่อพูดถึงเรื่องไม่อาจตั้งครรภ์ ผู้คนกว่าครึ่งล้วนโทษฝ่ายหญิง แต่สวี่ชีอันพูดได้น่าฟังมาก นางจึงค่อยๆ ลดปราการในใจแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว

“ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง เป็นท้องของข้าเองที่ไม่ดี ใช้เวลาตั้งหลายปีถึงจะตั้งท้องลูกคนหนึ่ง แต่นายท่านกลับมาเจอเคราะห์ร้ายเอาเสียตอนนี้”

พูดพลางขอบตาก็แดงอีกแล้ว

“คนตายไม่อาจฟื้นคืน” สวี่ชีอันเอ่ยปลอบแล้วถามอีก “จางโหย่วรุ่ยมักจะไปหอนางโลมใช่หรือไม่”

“มักไปบ่อยๆ เจ้าค่ะ” นางกล่าว “ตั้งแต่โบราณมา พวกใต้เท้าและขุนนางทั้งหลายมีใครไม่ไปหอนางโลมบ้างเล่าเจ้าคะ”

ข้าไม่ไป เจ้าระวังคำพูดหน่อยสิ…คนอายุห้าสิบกว่าปีมักเที่ยวที่หอนางโลมจนคลังว่างเปล่า… ข้าแทบมั่นใจได้เลยว่าเด็กในท้องเจ้าเป็นของชู้…เด็กสาวที่ชอบเที่ยวกลางคืนโอกาสท้องมีไม่น้อยเลย หญิงสาวในห้องหอว่างเปล่าก็เหมือนกัน

“ข้าเข้าใจเจ้าทันทีเลย” สวี่ชีอันทำเสียงจิ๊ๆ “จางโหย่วรุ่ยอายุเกินครึ่งร้อย อ้อยอิ่งอยู่ที่หอนางโลมละทิ้งตัวเจ้าให้โดดเดี่ยว ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ ‘ดอกซิ่งแดงออกกำแพง’[3] …แต่การฆ่าคนมันผิดนะ”

สีหน้าของหยางเจินเจินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ข้าน้อยมิรู้ว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไร”

สวี่ชีอันแย้มยิ้ม “ข้าอ่านสำนวนคดีแล้ว จางเซี่ยนผู้นั้นอายุน้อยกว่าเจ้าเจ็ดปี”

หยางเจินเจินตีหน้าขรึม “ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

สวี่ชีอันกล่าวพลางยิ้มเย็น “หมายความว่าเจ้าเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนอย่างไรล่ะ”

“ข้าน้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” ครั้งนี้หยางเจินเจินไม่เข้าใจจริงๆ

“เช่นนั้นมาพูดเรื่องที่เจ้าเข้าใจแล้วกัน” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา “นางจางหยาง เจ้าเป็นหญิงในห้องหอว่างเปล่า ยากจะทนต่อความเหงา ดังนั้นเจ้าจึงยั่วยวนลูกเลี้ยงแล้วทำเรื่องผิดศีลธรรมไร้ยางอาย”

“คืนที่เกิดเรื่องเจ้าฉวยโอกาสตอนที่จางโหย่วรุ่ยไปเก็บค่าเช่าที่ชนบทแอบไปมีความสัมพันธ์กับลูกเลี้ยง ใครจะรู้ว่าจางโหย่วรุ่ยจะกลับมาก่อน พอจับได้ว่าเจ้าสองคนร่วมประเวณีจึงเกิดเหตุพ่อลูกทะเลาะกัน เจ้าจึงใช้แจกันดอกไม้ตีหัวจางโหย่วรุ่ยจากด้านหลัง เพื่อปกปิดความผิดพวกเจ้าจึงลากศพของจางโหย่วรุ่ยไปไว้ที่ลานบ้าน แสร้งว่าเป็นขโมยมาปล้นฆ่า จางเซี่ยนจงใจทิ้งรอยเท้าไว้ที่กำแพงเพื่อยืนยันคำพูดของเจ้า”

สีหน้าของหยางเจินเจินซีดเผือด จ้องสวี่ชีอันอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ข้าไม่ได้ทำ ข้าถูกใส่ความ” หยางเจินเจินพูดเสียงดัง สองมือกำหมัดแน่น ฝ่ามือมีเหงื่อออก

นางตื่นตระหนกแล้ว…สวี่ชีอันผู้ทำงานหนักในด้านการสอบปากคำเก็บความอ่อนโยนนุ่มนวลกลับไป ใบหน้าไร้อารมณ์เต็มไปด้วยความเย็นชา

“เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดข้าถึงรู้ชัดเช่นนี้ นั่นเพราะว่าจางเซี่ยนสารภาพแล้วน่ะสิ”

‘เป็นไปไม่ได้’ …แววตาของหยางเจินเจินมีความรู้สึกนี้วาบผ่าน ใบหน้าซีดขาวลงไปหลายส่วน นางพยายามนิ่ง ยังคงไม่ยอมรับ “ข้าน้อยถูกใส่ความ”

“เจ้าคิดว่าชู้รักของเจ้าไม่มีทางยอมรับผิดเหรอ” ใบหน้าสวี่ชีอันไร้อารมณ์

เห็นได้ชัดว่าไม่มีคำข่มขู่รุนแรง แต่กลับทำให้ฮูหยินคนงามรู้สึกขนลุกในใจยิ่งกว่า

“เพราะพวกเจ้าคิดไปเองว่าจัดการได้อย่างไร้ร่องรอย แต่แท้จริงแล้วเผยพิรุธเต็มไปหมด จางเซี่ยนแค่ทำรอยเท้าไว้บนกำแพง แต่กลับไม่ได้ทำรอยเท้าตอนเข้าบ้านด้วย ถ้าหากโจรมีสภาพร่างกายที่ดี เช่นนั้นตอนที่หนีก็ต้องกระตุ้นพลังออกมา ไม่มีทางทิ้งรอยเท้าไว้แน่นอน นี่คือพิรุธประการแรก ประการที่สอง จางโหย่วรุ่ยเสียชีวิตด้วยอาวุธไร้คม ไม่ใช่อาวุธมีคม ตามกฎหมายของต้าฟ่ง ผู้บุกรุกบ้านเรือนยามวิกาลโดยไม่มีเหตุผลให้โบยแปดสิบครั้ง เจ้าของบ้านมีสิทธิ์สังหารผู้บุกรุกได้ทุกเมื่อโดยไร้ความผิด”

สวี่ชีอันเคาะโต๊ะ

“ขอถาม โจรบุกบ้านมาขโมยของคนไหนไม่พกอาวุธบ้าง แต่ถึงกระนั้นจางโหย่วรุ่ยก็ตายด้วยอาวุธไม่มีคมนี่นา”

ใบหน้าของหยางเจินเจินตะลึงงัน

“ข้ายังพูดไม่จบ…” สวี่ชีอันหัวเราะเสียงเย็นออกมา หลังจากล้มปราการป้องกันจิตใจของหยางเจินเจินได้ ต่อไปถึงจะเป็นการรุกฆาต

………………………………………..

[1] ไม้ปลุกสติ คือ ไม้ท่อนสี่เหลี่ยมที่เจ้าหน้าที่ถืออยู่ในมือเพื่อให้ทุกคนมีสมาธิในการพิจารณาคดี ซึ่งเทียบเท่ากับค้อนที่ผู้พิพากษาสมัยใหม่ใช้

[2] เข็มเดียวเห็นโลหิต คำอุปมา ความหมาย ตรงไปตรงมาและตรงประเด็น

[3] ดอกซิ่งแดงออกกำแพง มีที่มาจากบทกวี ‘ท่องสวนไม่พบพานใคร’ โดย เยี่ยส้าวเวิง กวียุคราชวงศ์ซ่งใต้ หมายถึง หญิงสาววัยแรกรุ่นที่อยากมีคู่ จึงพยายามเสนอตัวเอง ทำตัวโดดเด่นเพื่อเรียกร้องความสนใจให้เพศตรงข้ามสนใจตน และยังมีความหมายโดยนัยถึงหญิงที่มีสามีแล้วแต่ไม่สำรวมตน คบชู้สู่ชาย