ตอนที่ 17 รวบรวมกำลังคน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นให้ฝานหลิวซื่อนั่งลงบนตั่งไม้ตัวเล็กข้างกายนาง กล่าวว่า “ข้ายังอยากให้มามาอยู่ดูแลข้าไปตลอด! พวกเจ้าแม่ลูกอยู่ห่างกันเช่นนี้มาโดยตลอด เจ้าไม่คิดเป็นกังวล แต่ข้าคิด! ข้าเห็นว่าให้พวกเขาทั้งสองคนมาอยู่กับท่านนั้นเป็นเรื่องที่ดี ทำไร่ไถนาอยู่ในหมู่บ้านจะได้ผลเก็บเกี่ยวเท่าไหร่กันเชียว ไม่ปลูกก็คงไม่เป็นอะไร!” 

 

 

คุณหนูรองคิดกังวลเพื่อนางเช่นนี้ ไม่เปล่าประโยชน์ที่นางให้นมคุณหนูรองมา! 

 

 

“ตราบใดที่คุณหนูรองยังใช้งานข้า ข้าก็จะอยู่รับใช้คุณหนูรองไปเรื่อยๆ เจ้าค่ะ” ฝานหลิวซื่อเช็ดขอบตาพลางกล่าว “เพียงแต่ว่าที่ดินไม่กี่หมู่ที่บ้านนั้นเป็นพ่อของลูกๆ ที่เหลือเอาไว้ให้เป็นมรดก ไม่อาจทิ้งไปได้ ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเจ้าค่ะ! ยิ่งไปกว่านั้น ลุงใหญ่ของเด็กๆ จะให้ออกมาหรือไม่นั้นยังต้องเจรจาโน้มน้าวกันอีก! ข้ายินยอมทิ้งแตงโมไปเก็บเมล็ดงาเสียที่ไหนกันเจ้าคะ หากว่าไม่รักษาที่ดินไม่กี่ฉื่อนี้ไว้ ข้าจะมีหน้าไปพบบิดาของลูกๆ ที่ปรโลกได้อย่างไรเจ้าคะ!” 

 

 

คำพูดนี้ก็มีเหตุผล 

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิด กล่าวว่า “หรือไม่ก็ให้ลู่เอ๋อร์รั้งอยู่ที่บ้านเดิม แล้วให้ฉีเอ๋อร์ตามเจ้ามาที่ตระกูลโจวเป็นบ่าวรับใช้? ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้หนึ่งคน แล้วก็ได้ดูแลท่านอย่างใกล้ชิด ถ้าหากว่าผลเก็บเกี่ยวไม่ดี เบี้ยรายเดือนของฉีเอ๋อร์มากบ้างน้อยบ้างก็ยังสามารถรวมมาช่วยเหลือครอบครัวได้บ้าง เป็นการดีต่อทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ!” 

 

 

เป็นยิ่งกว่าการดีต่อทั้งสองฝ่ายเสียอีก 

 

 

เมื่อสามารถดูแลทุกๆ ด้านได้อย่างทั่วถึงแล้ว หากเป็นเช่นนี้ อีกไม่นานพวกเขาก็จะสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้! 

 

 

ฝานหลิวซื่อตื่นเต้นยิ่ง แต่เมื่อคิดได้ว่าคุณหนูใหญ่เป็นใหญ่ในบ้าน ก็อดลังเลขึ้นมาไม่ได้ กล่าวขึ้น “บ่าวรับใช้ของตระกูลโจวแต่ละคนล้วนรับผิดชอบงานแต่ละอย่างอยู่แล้ว ฉีเอ๋อร์อายุยังน้อย มาแล้วจะทำอะไรได้เจ้าคะ ไม่อาจรับเบี้ยรายเดือนแต่ไม่ทำอะไรหรอกนะเจ้าคะ เช่นนั้นในเรือนยังจะมีกฏอะไรให้น่าเชื่อถือได้อีกเจ้าคะ!” 

 

 

โจวเสาจิ่นเพียงต้องการให้นางตกลง ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น นางเห็นว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร ในกรณีที่พี่สาวรู้สึกว่าไม่เหมาะสม นางจะใช้เงินส่วนตัวของตัวเองจ่ายให้กับฝานฉี ถึงเวลานั้นค่อยบอกกับพวกหม่าฟู่ซานให้ชัดเจนก็ได้แล้ว 

 

 

กล่าวคือนางไม่อาจทำให้ฝานหลิวซื่อรู้สึกไม่สบายใจได้ 

 

 

“เช่นนั้นสำหรับเรื่องนี้ก็สรุปตามนี้ก็แล้วกัน” นางกล่าว “อีกสักครู่ข้าจะไปคุยกับท่านพี่ ว่าจะให้ฝานฉีมาช่วยทำธุระต่างๆ อยู่ข้างกายข้าเป็นการชั่วคราว อย่างไรเสียข้าเองก็ต้องการคนมาดูแล” 

 

 

ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้เพียงอยากจะตอบแทนความดีของฝานหลิวซื่อในชาติที่แล้ว จนกระทั่งเมื่อคำพูดนี้ออกจากปากไปแล้วโจวเสาจิ่นพลันรู้สึกว่าความคิดนี้ของตัวเองก็ไม่เลวนัก 

 

 

เนื่องจากนางมีเรื่องต้องเก็บเอาไว้ให้พ้นจากพี่สาว จึงต้องปรับเปลี่ยน สอนคนของตัวเองสักสองสามคนถึงจะถูก ในชาติที่แล้วฝานฉีเป็นคนที่มีความสามารถผู้หนึ่ง ฝานมามายังเป็นแม่นมของนาง ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อนาง…ไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่าฝานฉีอีกแล้ว 

 

 

โจวเสาจิ่นเร่งเร้าฝานหลิวซื่อ “มามา เจ้ากลับไปจัดการเรื่องที่บ้านให้เรียบร้อยแล้วพาฝานฉีมาด้วย” 

 

 

ฝานหลิวซื่อยังคงมีความลังเลเล็กน้อย 

 

 

ซือเซียงเข้ามาช่วยโจวเสาจิ่นเปลี่ยนชุด 

 

 

“มามาเร่งมือหน่อย” โจวเสาจิ่นสางผมไปด้วย กล่าวกับฝานหลิวซื่อไปด้วย “ข้ายังต้องไปคัดลอกไตรปิฎกให้ท่านยายอีก” 

 

 

ฝานหลิวซื่อกัดฟันครั้งแล้วครั้งเล่า ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะกลับไปสักหน่อย พาฉีเอ๋อร์กลับมาให้ท่านเจ้าค่ะ” 

 

 

หากว่าคุณหนูใหญ่ไม่เห็นด้วย อย่างมากที่สุดก็ให้ฉีเอ๋อร์ไม่ต้องรับเบี้ยรายเดือน ประหยัดลงบางส่วนจากค่าใช้จ่ายประจำวันของตัวเอง ให้เป็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูรองเปล่าๆ ก็ได้ ไม่อาจละทิ้งความปรารถนาดีของคุณหนูรองในครั้งนี้ได้ 

 

 

โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าในใจของฝานหลิวซื่อคิดอย่างไร 

 

 

นางและพี่สาวไปเรือนเจียซู่พร้อมกัน 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังโยกย้ายต้นว่านเหนียนชิง [1] กระถางหนึ่งอยู่ พอเห็นพวกนางสองพี่น้องก็ยิ้มพลางวางกรรไกรลง กล่าวว่า “พวกเจ้ามาแล้ว อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ ข้าให้หวังมามาไปขอน้ำชาซางฉาที่โจวเหนียงจื่อมาได้เล็กน้อย ชูจิ่นเดี๋ยวตอนที่เจ้าไปเรือนหานชิวก็อย่าลืมนำไปด้วยสักหน่อย ดื่มคนละจอกใหญ่กับป้าใหญ่ของเจ้า 

 

 

โจวชูจิ่นยิ้มสดใสตอบรับ รอจนกระทั่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมาคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว ให้สาวใช้ถือน้ำชาซางฉาไปที่เรือนหานชิว 

 

 

โจวเสาจิ่นคัดลอกไตรปิฎกอยู่ในห้องที่เปิดหน้าต่างออกแล้วเหมือนเช่นเคย 

 

 

ลมโชยมาเบาๆ นางเงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นท่านยายยืนอยู่ใต้ชายคาของเฉลียงกำลังตัดตกแต่งต้นว่านเหนียนชิงอยู่ 

 

 

เสียง ‘ฉับๆ’ ไม่เพียงไม่ทำให้คนรู้สึกถูกรบกวน กลับมีความรู้สึกประเภทที่ทำให้ใจสงบจากความกังวลได้ 

 

 

โจวเสาจิ่นอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ พู่กันที่ตวัดลงบนกระดาษยิ่งคล่องแคล่วมากขึ้น 

 

 

แต่ว่านางเพิ่งจะคัดลอกไตรปิฎกเสร็จไปหนึ่งย่อหน้า ก็มีสาวใช้วิ่ง ‘ตึงๆๆ’ เข้ามา 

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า นายหญิงผู้เฒ่าเจ้าคะ!” สาวใช้หอบหายใจพลางกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่ามาเจ้าค่ะ!” 

 

 

พู่กันของโจวเสาจิ่นหยุดชะงัก น้ำหมึกที่หยดลงบนกระดาษกลายเป็นดวงกลม 

 

 

ที่ตระกูลเฉิง คนที่สามารถถูกเรียกว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่า’ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น 

 

 

ท่านย่าของเฉิงสวี่ แม่สามีของหยวนซื่อ มารดาของเฉิงจิง เฉิงเว่ย และเฉิงฉือ หลังจากที่เสียชีวิตแล้วได้รับการขนานนามว่าเป็นภรรยาของเฉิงซวิน กวงลู่ไท่ฝูยศผิ่นขั้นหนึ่งเจิ้ง ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเฉิงจวนหลัก ซึ่งก็คือ กัวซื่อ นั่นเอง 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนประหลาดใจเล็กน้อย มองพระอาทิตย์ด้านนอกแล้ว กล่าวว่า “ทำไมนางมาในเวลานี้ได้” 

 

 

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” สาวใช้ตื่นตระหนกเล็กน้อย กล่าวว่า “ดูลักษณะของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ดูไม่เหมือนกับว่าจะมีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนโหวกเหวกอยู่หลายประโยค สั่งสาวใช้ว่า “เชิญฮูหยินผู้เฒ่าไปดื่มชาที่ห้องรับแขก ข้าเปลี่ยนชุดแล้วจะตามไป” 

 

 

สาวใช้วิ่ง ‘ตึงๆๆ’ จากไปอีกครั้ง 

 

 

ซื่อเอ๋อร์ช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากวนเปลี่ยนชุด 

 

 

โจวเสาจิ่นกลับมือเท้าเย็นเป็นน้ำแข็ง นั่งอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่แล้วก็ยังหายใจไม่สะดวกนัก 

 

 

เรือนเจียซู่ของจวนสี่อยู่ติดกับเรือนหานปี้ซานของจวนหลัก และเรือนหานปี้ซานก็คือสถานที่อยู่อาศัยของฮูหยินหม้ายกัว 

 

 

ชาติที่แล้ว นางเคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพียงไกลๆ อยู่ไม่กี่ครั้ง แต่ก็รู้ว่า ผู้ที่เป็นบุตรสาวคนเล็กของตระกูลข้าราชการระดับสูงอย่างหยวนซื่อ ที่กล้าโต้แย้งกับสามีอย่างเฉิงจิงนั้น กลับไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวเสียงดังสักประโยคต่อหน้าแม่สามีของตัวเองอย่างฮูหยินผู้เฒ่ากัว ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพราะหน้าที่ความกตัญญู หรือเพราะความแตกต่างระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้เท่านั้น บ่าวรับใช้ในจวนสี่กล่าวกันอย่างลับๆ ว่า ยังเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นสามารถจัดการกับหยวนซื่อ และสามารถควบคุมลูกสะใภ้ได้ 

 

 

หยวนซื่อกำเนิดมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็กำเนิดมาจากตระกูลที่ไม่ด้อยไปกว่ากัน กล่าวคือ ท่านปู่ของนางเป็นจ้วงหยวนในวาระสุดท้ายของราชวงศ์ก่อน เป็นข้าราชการระดับสูงสำนักอิงอู่ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกลาโหม ตอนที่ฮ่องเต้ไท่จู่ตีเมืองจิงเฉิงนั้น เขาได้รับคำสั่งให้ป้องกันเมือง หลังจากที่เมืองแตกเขาก็ได้พลีชีพเพื่อบ้านเมืองไปแล้ว ท่านย่าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและสามียอมถอย พาบุตรชายหญิงทั้งสี่ไปกระโดดน้ำตาย มีเพียงบิดาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ได้รับการช่วยเหลือไว้ได้จากบ่าวผู้ซื่อสัตย์ รอดพ้นจากความตายมาได้อย่างโชคดี ถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียงทั้งวาดและเขียนในเจียงหนานเป็นอย่างมาก ทว่ากลับไม่ยอมรับตำแหน่งในราชสำนักอย่างถ่อมตน หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่ตรอกสือโถวในเมืองจินหลิง จนป่วยและเสียชีวิตไปในวัยสี่สิบห้าปี เป็นผู้มีชื่อเสียงที่มีมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย 

 

 

หยวนซื่อได้รับการเคารพจากเฉิงจิงผู้เป็นสามีเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่ายามอยู่ข้างนอกจะมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก ทว่ากลับให้กำเนิดบุตรสาวสองคนติดต่อกัน อายุมากกว่าสามสิบปีไปแล้วถึงได้มีบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างเฉิงสวี่ ให้จวนหลักได้มีผู้สืบทอดต่อไป 

 

 

ตลอดชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงซวินไม่เพียงเป็นสามีภรรยาที่ให้ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันเท่านั้น ในวัยสี่สิบกว่าปียังรักใคร่เป็นดังหอยแก่ให้ผลผลิตไข่มุก ให้กำเนิดบุตรชายคนเล็กเฉิงฉือออกมา ยิ่งไปกว่านั้นบุตรชายทั้งสามล้วนเป็นจิ้นซื่อลำดับที่สอง โดยเฉพาะบุตรชายคนโตเฉิงจิง ดำรงตำแหน่งจิ่วชิง ไม่เพียงขยายกิ่งก้านใบให้ตระกูลเฉิงเท่านั้น ยังเลี้ยงดูบุตรได้อย่างดีเยี่ยม 

 

 

ยามอยู่ต่อหน้าแม่สามี หยวนซื่อไม่อาจยืดหลังตรงหรือพูดอะไรได้ 

 

 

โจวเสาจิ่นยังจำได้ตอนที่นางถูกหยวนซื่อเหยียดหยามให้อับอายอยู่นั้น ใครก็ไม่กล้าห้ามปราม แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินเข้ามา เสียงของหยวนซื่อก็หยุดชะงักลง ในแววตามีความตื่นตระหนกและร้อนรนสายหนึ่งวาบผ่าน 

 

 

นางยังจำที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหลือบมองมาที่นางครั้งหนึ่งอย่างห่างเหินได้อย่างแม่นยำ 

 

 

ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจ ดูถูก และเย็นชา 

 

 

ราวกับว่านางเป็นสิ่งของอะไรที่ชั้นต่ำราคาถูก เพียงฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองหนึ่งทีก็ทำให้นางสะดุ้งแล้ว 

 

 

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจกล่าวโทษฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ที่ดูถูกนาง คนดีย่อมถูกคนข่มเหงรังแก ม้าที่ดีย่อมถูกคนขี่ นางยืนอยู่ในนั้นให้หยวนซื่อสาดโคลนใส่อย่างโง่งมเช่นนั้น อย่าว่าแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้มีเกียรติเช่นนั้นเลย แม้แต่บ่าวรับใช้ของหยวนซื่อก็ไม่ล้วนแล้วแต่ดูถูกนางแล้วหรอกหรือ 

 

 

ราวกับว่าเวลาได้ย้อนกลับไป ณ ตอนนั้นอีกครั้ง 

 

 

กระอักกระอ่วน อับอาย ไม่สงบ…ผสมปนเปกันอยู่ภายในใจ โจวเสาจิ่นเห็นว่าควรจะแอบหลบออกไปน่าจะดีกว่า 

 

 

นางห่อไหล่เอาไว้และก้มศีรษะลง ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วคนอื่นจะไม่สังเกตเห็นนาง 

 

 

ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับตะโกนเรียกนาง “เสาจิ่น อีกสักครู่เจ้าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกันกับข้า!” 

 

 

“ข้าหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นตะลึงงัน 

 

 

กลัวอะไรได้อย่างนั้นจริงๆ! 

 

 

“ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครไปได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะ เย้านางว่า “เด็กสาวที่งดงามเพียงนี้ถูกข้ากักขังให้คัดลอกไตรปิฎกอยู่แต่ในห้องทั้งวันได้อย่างไร! มีแขกมาก็ต้องเอาออกไปอวดโฉมเสียหน่อย!” 

 

 

“ไม่ๆๆ เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะไม่หยุด “หากว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาหาท่านเพราะมีเรื่องจะสนทนาด้วย ข้าอยู่ด้วยคงไม่สะดวกนักเจ้าค่ะ!” 

 

 

“มีอะไรที่ไม่สะดวก? เจ้าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่ากล่าว 

 

 

โจวเสาจิ่นพิรี้พิไรไม่อยากไป “ข้ายังคัดลอกไตรปิฎกไม่เสร็จเลยเจ้าค่ะ!” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางกล่าว “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงได้ขี้อายขนาดนี้! ไม่ได้พบก็คือไม่ได้มีโอกาสได้พบ แต่เพราะว่ามีโอกาสได้พบแล้ว ดีร้ายยังไงก็ต้องไปทักทายสักหน่อยถึงจะถูก!” 

 

 

หากปฏิเสธอีกก็เสียมารยาทเกินไปแล้ว 

 

 

โจวเสาจิ่นปลอบใจตัวเองอย่างกระวนกระวาย เพียงไปเจอครั้งเดียวเท่านั้น…น่าจะไม่เป็นอะไรหรอก? ชาติที่แล้ว ก่อนที่จะเกิดเรื่องฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่เคยรู้จักว่านางเป็นใครมาก่อน 

 

 

คิดเช่นนี้แล้ว ใจของนางสงบขึ้นเล็กน้อย 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนสำรวจเครื่องแต่งกายของนาง 

 

 

ชุดเพ่ยจื่อสีฟอกขาวขอบเงิน กระโปรงบานสีเขียวต้นหญ้ากว้างสิบสองฝูปักลายดอกสายน้ำผึ้ง ผมดำเข้มมัดขึ้นเป็นมวยหลวมๆ มวยหนึ่ง สวมใส่เพียงตุ้มหูไข่มุกหนึ่งคู่ นิ้วเรียวยาว ตาคิ้วโค้งโก่ง อ่อนหวานน่าทะนุถนอม ดูแล้วสบายตายิ่งนัก 

 

 

เด็กสาวก็ควรจะเป็นเช่นนี้! 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพึงพอใจ กล่าวว่า “ไม่ต้องสางผมใหม่อีก เช่นนี้ก็ใช้ได้แล้ว” 

 

 

ซื่อเอ๋อร์และคนอื่นๆ ต่างยิ้มตอบ ‘เจ้าค่ะ’ แล้วคุ้มกันฮูหยินผู้เฒ่ากวนและโจวเสาจิ่นออกไป 

 

 

ฮูหยินกัวอายุมากกว่าหกสิบปีแล้ว ผมขาวโพลนทั้งศีรษะ สวมชุดเพ่ยจื่อสีม่วงของดอกติงเซียงลายดอกไม้กลม ที่หูห้อยประดับไว้ด้วยตุ้มหูระย้าสีเขียวมรกตขนาดเมล็ดบัว บนมือสวมใส่ไว้ด้วยแหวนสีเขียวมรกตขนาดเท่าไข่นกพิราบ ใบหน้าเข้มงวดจริงจัง ท่วงท่าโอ่อ่ามีรัศมี บดบังบ่าวรับใช้ที่ใส่ทองสวมเงินอยู่ข้างกายของนางเหล่านั้นจนกลายเป็นของประดับประดา ใบหน้าเรือนรางไม่ชัด 

 

 

โจวเสาจิ่นเพียงมองไปหนึ่งครั้งก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา 

 

 

นางก้มหน้าก้มตาลง ตามหลังฮูหยินผู้เฒ่ากวนไปด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับยิ้มแล้วขยับขึ้นด้านหน้าไปจับมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ กล่าวว่า “ทำไมวันนี้ท่านมีเวลาว่างมาถึงที่นี่ได้เจ้าคะ ได้ยินมาว่าเซียวเจี่ยเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้วหรือเจ้าคะ ข้ากำลังคิดว่าจะไปถามความจากท่านอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ!” 

 

 

เฉิงเจิง พี่สาวคนโตของเฉิงสวี่ แต่งงานกับกู้ซวี่ บุตรชายของกู้ซุ่นผู้เป็นบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน ส่วนเฉิงเซียว พี่สาวคนรอง แต่งงานกับหยวนหมิง ลูกพี่ลูกน้องของเฉิงสวี่ เฉิงเจิงมีบุตรชายแล้วสองคน แต่เฉิงเซียวนั้นแต่งออกไปสามปีแล้วกลับยังไม่วี่แวว หยวนซื่อหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเป็นกังวลต่อเรื่องนี้ แม้แต่จวนสี่ก็ยังได้ยินมาบ้าง และคนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวถึงว่า ‘เซียวเจี่ยเอ๋อร์’ นี้ก็คือเฉิงเซียว พี่สาวคนรองของเฉิงสวี่นั่นเอง 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินเช่นนั้นก็มีรอยยิ้มออกมาหลายส่วน ทำให้ท่าทางของนางเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา “ข้าก็เพิ่งจะได้ข่าวเหมือนกัน แม่สามีของนางดีใจยิ่ง นี่เพิ่งจะได้รับคำยืนยัน ก็ให้คนนำข่าวมาแจ้งพวกข้าแล้ว แม่ของนางไม่ค่อยวางใจนัก เตรียมจะไปขึ้นธูปให้นางที่วัดในวันพรุ่งนี้ ปกปักรักษานางให้สามารถคลอดได้อย่างปลอดภัย” 

 

 

“ท่านวางใจเถอะ คนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครองเจ้าค่ะ” หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนปลอบโยนฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลายประโยคไปแล้ว ก็หันมากวักมือเรียกโจวเสาจิ่น “มา มาทำความรู้จักฮูหยินผู้เฒ่า” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ต้นว่านเหนียนชิง ต้นเขียวหมื่นปี ไม้ประดับชนิดหนึ่ง