ซือหม่าโยวเย่ว์ตั้งชื่อให้กับวิญญาณครวญว่าเจ้าวิญญาณน้อย และหลังจากที่ทำความเข้าใจมณีวิญญาณในเบื้องต้นแล้วก็กลับมายังห้องของตน
หลังจากกลับมาที่ห้องแล้วเธอจึงนึกเรื่องที่ต้องไปวิทยาลัยขึ้นมาได้ จึงได้เรียกพวกอวิ๋นเย่ว์มาถาม เมื่อได้รู้ว่าเวลาผ่านไปถึงสี่วันแล้วก็ตกใจจนเธอแทบจะยัดทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในแหวนเก็บวัตถุแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับโบยบิน
“อวิ๋นเย่ว์ เมื่อครู่ตอนที่คุณชายจัดข้าวของ เขาใช้แหวนเก็บวัตถุอย่างนั้นหรือ” ชุนเจี้ยนพูดอย่างตกใจ
อวิ๋นเยว่ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ตกใจมาแล้ว เธอจึงพยักหน้าอย่างแข็งๆ แล้วพูดว่า “ดูคล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ”
“เช่นนั้นก็แปลว่าคุณชายบำเพ็ญได้แล้วหรือ!”
“ใช่ เมื่อครู่ก่อนคุณชายจะไปยังบอกให้พวกเราอยู่บ้านฝึกฝนให้ดีๆ อีกด้วย…”
จากนั้นทั้งสองคนก็ประสานสายตากันก่อนจะถามอย่างสงสัยว่า “คนผู้นั้นคือคุณชายของพวกเราจริงๆ น่ะหรือ”
“อาจจะ… ใช่กระมัง…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ไปบอกลาซือหม่าเลี่ยคำหนึ่งแล้วขึ้นรถเทียมสัตว์อสูรมุ่งหน้าไปยังวิทยาลัย เมื่อนึกถึงว่าตนเองไปสายหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเฟิงจือสิงจะไล่นางออกหรือไม่
ณ ราชวิทยาลัย ภายในห้องเรียนที่หนึ่งของนักเรียนใหม่ชั้นปีที่หนึ่ง เฟิงจือสิงมาถึงชั้นเรียนแล้วก็เห็นที่นั่งว่างด้านหลังสุดของห้องเรียน สายตาก็เปล่งประกายวาบแล้วเอ่ยว่า “สองวันก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็ได้มีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับวิทยาลัยของพวกเราไปเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เข้ามาในชั้นเรียนนี้ได้ล้วนเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณอยู่แล้ว ดังนั้นข้าก็จะไม่พูดพวกเรื่องง่ายๆ กับพวกเจ้าซ้ำอีกแล้ว ตอนนี้พวกเรามาเรียนกันดีกว่าว่าจะดูดซับปราณวิญญาณเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วขึ้นได้อย่างไร…”
หลังจากสิ้นสุดบทเรียนตลอดวันแล้ว นักเรียนใหม่ต่างก็พากันแยกย้ายกลับไปยังที่พักของตน
นักเรียนใหม่ห้องเรียนที่หนึ่งนั้นล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศในการคัดเลือกคราวนี้ทั้งสิ้น มีจำนวนมากที่สำเร็จเป็นผู้ฝึกวิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว
เป็นถึงนักเรียนที่มีพรสวรรค์ พวกเขาก็ย่อมได้รับการดูแลที่แตกต่างออกไป อย่างเช่นคนอื่นๆ ต่างก็พักกันอยู่ที่หอพักรวม แต่บรรดานักเรียนใหม่ห้องเรียนที่หนึ่งนั้นจะพักอยู่ที่เรือนแยกพิเศษหนึ่งหลังห้าคน ถึงแม้ว่าเรือนจะมิได้ใหญ่โต แต่ก็มีทุกอย่างครบครัน ภายในเรือนนั้นนอกจากจะมีห้องเดี่ยวสำหรับทั้งห้าคนคนละหนึ่งห้องแล้วก็ยังมีครบทุกอย่างทั้งห้องครัว ห้องน้ำ ทั้งยังมีสวนดอกไม้เล็กๆ อยู่อีกด้วย
ที่บริเวณทางเข้าเรือนแห่งหนึ่ง เป่ยกงถังกำลังจะเปิดประตู ก็พบว่ากลอนได้ถูกผู้อื่นเปิดเอาไว้แล้ว
“เป่ยกงถัง เหตุใดพอเลิกเรียนแล้วเจ้าจึงได้รีบไปอย่างรวดเร็วทุกครั้งเลยเล่า ทุกคนกลับมาพร้อมๆ กันไม่ดีหรอกหรือ”
ด้านหลังมีเสียงบ่นอันหยาบกระด้างดังขึ้นมา เป่ยกงถังหันหน้าไปมองก็เห็นเจ้าอ้วนชวี เพื่อนร่วมหอพักที่อยู่ร่วมกันมาสามวันแล้ว ด้านหลังคือโอวหยางเฟยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา และเว่ยจือฉีที่ดูละมุนละไมดุจหยกงาม
เจ้าอ้วนชวีมีชื่อว่าชวีหลี เพราะว่ามีรูปร่างอ้วน ดังนั้นในวันแรกตอนที่ทุกคนทำความรู้จักกันก็เลยบอกกับทุกคนแบบติดตลกว่าเรียกเขาว่าเจ้าอ้วนชวีได้
“ไม่ใช่พวกเจ้าหรอกหรือ” เป่ยกงถังมองเห็นพวกเจ้าอ้วนชวีสามคนแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ
“ทำไมหรือ” โอวหยางเฟยรู้สึกขึ้นมาได้ในทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงเอ่ยถามขึ้น
เป่ยกงถังขยับตัวหลบไปยืนอีกข้างหนึ่ง ให้ทุกคนมองเห็นกลอนประตูที่เปิดอยู่แล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนเปิดนะ”
“เอ๊ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ หรือว่าเพื่อนร่วมหอพักอีกคนหนึ่งของพวกเราจะมาแล้วเล่า” เว่ยจือฉีก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วผลักประตูใหญ่ของเรือนพักให้เปิดออกพลางพูดว่า “อยากรู้จริงๆ เลยว่าเป็นผู้ใดกัน!”
เว่ยจือฉีเข้าไป คนอื่นๆ ก็เข้าไปในลานบ้านพร้อมกัน แล้วก็ได้ยินเสียงลอยมาจากห้องที่สองทางด้านขวามือ
ภายในห้อง ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้ ส่วนเจ้าคำรามน้อยกำลังนอนแผ่อยู่บนโต๊ะที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จหมาดๆ พลางบ่นอุบว่า “ห้องนี้ช่างเล็กเสียจริง แล้วคนหนึ่งก็ยังมีเพียงห้องเดียวเท่านั้นอีกด้วย ช่างแตกต่างจากห้องก่อนหน้านี้ของเจ้ามากมายเหลือเกิน”
“อันที่จริงก็ไม่เลวเท่าไหร่หรอกนะ ชั้นล่างเป็นห้องเรียน ชั้นบนเป็นห้องนอน ช่างดีเหลือเกิน! ค่อยว่ากันเถิด มีที่ให้อยู่ก็ใช้ได้แล้ว จะอยากได้ห้องใหญ่โตปานนั้นไปเพื่ออะไรกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือไปเขกหัวเจ้าคำรามน้อย
เรือนที่นี่มีสองชั้น เพียงแต่ว่าแต่ละชั้นมีห้องอยู่เพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น
เจ้าคำรามน้อยเบี่ยงตัวไปอีกด้านหนึ่งแล้วพลิกตัวเอนกายลงไปบนโต๊ะพลางเอ่ยว่า “เย่ว์เย่ว์ เจ้ารีบฟื้นฟูพลังยุทธ์เสียเถิด วิญญาณของเจ้าไม่สมบูรณ์ ทำให้พลังยุทธ์ของข้าก็ลดน้อยไปอย่างมหาศาลด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ข้าช่างอ่อนแอเหลือเกิน!”
“เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าเองก็อายุอานามไม่ใช่น้อยแล้ว โตไปอีกหลายร้อยปีก็ยังเหมือนเดิมอยู่ดี”
“โอ๊ย แทงใจดำนัก…” เจ้าคำรามน้อย สองตาเหลือกขึ้นฟ้า
“ใช่แล้ว เจ้าจำเอาไว้ให้ดีล่ะ เวลาเจ้าอยู่ต่อหน้าผู้อื่น อย่าได้เปิดเผยตัวตนของเจ้าเป็นอันขาด เจ้าก็เป็นเพียงแค่กระต่ายน้อยธรรมดาๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกำชับ
“ข้ารู้แล้วน่า เจ้าพูดมาตั้งหลายครั้งแล้วว่าให้ข้าอย่าเปิดเผยตัวตน ข้าไม่มีทางก่อเรื่องยุ่งยากให้เจ้าหรอกน่า!” เจ้าคำรามน้อยพูด
“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วจึงค่อยทำความสะอาดต่อไป
“อะแฮ่มๆ”
เสียงกระแอมดังขึ้นจากนอกประตูสองครั้ง ซือหม่าโยวเย่ว์หันหน้าไปมอง ก็เห็นคนสี่คนยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า
“เป็นเจ้าไปได้อย่างไรกันนี่!” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดอย่างตกใจ
“เจ้ารู้จักเพื่อนร่วมหอพักคนใหม่ของพวกเราด้วยหรือ” เว่ยจือฉีถาม
“เออ… รู้จักสิ” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างหวาดกลัวอยู่บ้าง คล้ายกับว่าเธอจะกระโจนเข้ามาได้ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
บ้านของเจ้าอ้วนชวีอยู่ที่เมืองหลวง ก็ย่อมรู้จักคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างซือหม่าโยวเย่ว์อยู่แล้ว ดังนั้นก็ย่อมล่วงรู้ข่าวลือที่ว่าคุณชายห้าแห่งจวนแม่ทัพนั้นเป็นคนเบี่ยงเบน
“เจ้าก็คือเพื่อนร่วมหอพักคนใหม่ของพวกเราอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มให้พวกเขาพลางมองดูสีหน้าของเจ้าอ้วนชวีที่ดำทะมึน ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าอ้วนชวี เจ้ากลัวจนขนลุกขนพองไปหมดเลยนะ ข้าไม่มีความสนใจอันใดในตัวเจ้าหรอก!”
ไม่มีความสนใจอย่างนั้นหรือ นี่มันสถานการณ์อันใดกัน
“สวัสดี ข้าคือเว่ยจือฉี อยู่ห้องทางซ้ายมือของเจ้า” เว่ยจือฉีแนะนำตัวกับซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยรอยยิ้ม
“ข้าโอวหยางเฟย ปีกตะวันตกห้องแรก” โอวหยางเฟยพูดอย่างเรียบง่าย
“เป่ยกงถัง ซ้ายมือเจ้าน่ะ” เป่ยกงถังพูด
“ข้ารู้จักพวกเจ้า ข้าได้เห็นตอนที่วิทยาลัยทดสอบนักเรียนใหม่แล้ว โอวหยางเฟยเป็นปรมาจารย์วิญญาณธาตุคู่ ส่วนเจ้า เป่ยกงถัง เป็นไตรธาตุ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เธอคิดไม่ถึงว่าเพื่อนร่วมหอพักของเธอจะเป็นบรรดาผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมในวันทดสอบคราวนี้
แล้วเฟิงจือสิงผู้นี้จับคนไร้ค่าคนหนึ่งมาไว้ที่นี่ทำไมกันเล่า
“ข้า ข้า…”
“เจ้าอยู่ที่ปีกตะวันตกห้องที่สอง เจ้าไม่ต้องพูดแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีแล้วก็เกิดความรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงอย่างหนึ่งขึ้นมา
“พวกเราแนะนำตัวเองกันเรียบร้อยแล้ว เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเจ้าเป็นใคร” เว่ยจือฉีพูด
“ข้าชื่อซือหม่าโยวเย่ว์” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ
“เจ้าคือซือหม่าโยวเย่ว์หรือ มิได้ว่ากันว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็น…” เว่ยจือฉีมองเธออย่างประหลาดใจ ไม่อาจเก็บสีหน้าได้อยู่ครู่หนึ่ง
แม้กระทั่งสีหน้าของโอวหยางเฟยยังแปลกประหลาดอยู่บ้าง
“ซือหม่าโยวเย่ว์ หลานชายคนที่ห้าของท่านแม่ทัพใหญ่ซือหม่าเลี่ย คนไร้ค่าอันดับหนึ่งของอาณาจักรตงเฉิน ชมชอบบุรุษ” เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดข่าวฉาวของซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาอย่างไม่ไว้น้ำใจ “ได้พบกันแล้ว ข้ากลับห้องก่อนล่ะนะ”
พูดจบแล้วนางหมุนตัวไปยังห้องข้างๆ
ช่างเป็นหญิงสาวที่เย็นชานัก! เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นสาวสวย ตอนนี้กลายเป็นสาวสวยผู้เย็นชาไปเสียแล้ว เมื่อนึกถึงตัวตนอันโดดเดี่ยวของเธอเมื่อตอนคัดเลือกแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกว่าเธอจะต้องมีเรื่องที่มิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน
“ข้าก็กลับก่อนนะ” โอวหยางเฟยพูดจบก็จากไปเสียแล้ว
“แค่กๆ เอาล่ะ ยินดีต้อนรับเพื่อนร่วมหอพักนะ” เว่ยจือฉีแย้มยิ้มอย่างเคอะเขินอยู่บ้างก่อนจะเอ่ยว่า “วันนี้ท่านอาจารย์สอนความรู้ใหม่มามากโขทีเดียว ข้ากลับไปฝึกฝนก่อนดีกว่า ลาก่อนนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทีหนีเอาตัวรอดของเว่ยจือฉีแล้วก็ได้แต่ลูบจมูกตัวเอง
เขาก็มิได้เกิดมาหล่อเหลาหน่อยเดียวเท่านั้นเองหรอกหรือ จะต้องมีปฏิกิริยาใหญ่โตถึงเพียงนั้นด้วย หรือเธอจะน่ากลัวมากขนาดนั้นจริงๆ
“แค่กๆ เอาล่ะ ข้าก็ขอตัวกลับไปบำเพ็ญละนะ” เจ้าอ้วนชวีก็เตรียมตัวเผ่นหนีเช่นเดียวกัน
“เจ้าอ้วนชวี เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าคอเสื้อของเจ้าอ้วนชวีเอาไว้แล้วลากเขากลับมา
“ทำ… ทำอะไรน่ะ” เมื่อเห็นสายตามุ่งร้ายของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวีก็ยกมือทั้งสองขึ้นบังหน้าอกโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
……………………