บทที่ 39 หยิ่งในศักดิ์ศรี + บทที่ 40 มาด่าถึงหน้าประตู

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 39 หยิ่งในศักดิ์ศรี + บทที่ 40 มาด่าถึงหน้าประตู Ink Stone_Romance

บทที่ 39 หยิ่งในศักดิ์ศรี

เมื่อกลับมาที่บ้าน หยางชุ่ยนั่งบนม้านั่งแล้วมองยังสวนข้างบ้านตน พอได้เห็นว่าเฉียวเทียนช่างกำลังทำอะไร นางก็แทบเป็นลมเสียตรงนั้น

ทำไมน่ะรึ เพราะเฉียวเทียนช่างกำลังขุดร่องข้างใต้กำแพงบ้านของนาง ร่องนั้นลึกนัก ถ้าเพียงแค่ลึกยังไม่เป็นอะไร แต่เฉียวเทียนช่างนำเอาไม้เหลาปลายแหลมจำนวนมากมาปักไว้อีก มองเพียงแวบเดียวนางก็รู้ทันทีว่าทำไมเขาถึงทำมันขึ้นมาตรงนั้น

เฉียวเทียนช่างเห็นหยางชุ่ยแต่ไม่สนใจนาง ยังคงทำงานของตนต่อไป เขาหยุดแล้วกลับบ้านก็ตอนฟ้ามืด

หยางชุ่ยคอยมองตามเฉียวเทียนช่างจนเขาเข้าไปข้างในบ้าน นางถึงละสายตา

นางลงจากม้านั่งแล้วยืนอยู่ในสวนของตัวเอง ใจนางเหม่อลอย นี่เขาเกลียดชังนางมากเลยหรือ เขายอมทำขนาดนี้เพียงเพื่อห้ามไม่ให้นางแอบปีนข้ามกำแพงเข้าไปในบ้านเขาอย่างที่นางทำในวันนี้

นางเฉิน แม่ของหยางชุ่ย เห็นหยางชุ่ยยืนอยู่ในสวนตอนตนกลับมาถึง และในดวงตาของหยางชุ่น มีน้ำตารื้นอยู่ นางเฉินก็เป็นห่วงขึ้นมาในทันใด

นางเฉินมีบุตรชายสองคน บุตรสาวหนึ่งคน บุตรสาวคนนี้เติบโตมาหน้าตาสะสวยและได้รับการดูแลเอาอกเอาใจ เลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมโดยหวังให้นางได้แต่งงานกับคนร่ำรวย บัดนี้บุตรสาวนางร้องไห้ นางก็กังวล “ชุ่ยเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น ใครรังแกเจ้า”

พอเห็นมารดา หยางชุ่ยก็ร้อง ‘ฮือ’ เสียงดังลั่นแล้วเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ให้นางเฉินฟัง

แม้นางเฉินจะแสลงใจที่บุตรสาวตนไปชมชอบนายพรานไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่พอนางยังปีนข้ามกำแพงเพื่อเข้าบ้านคนอื่น แต่นางก็ยังสนเรื่องที่ลูกสาวตนถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจมากกว่า พอได้ยินถ้อยคำของหยางชุ่ย นางก็เกิดความไม่พอใจต่อเฉียวเทียนช่างยิ่งนัก

ในสายตานาง บุตรสาวของนางดีเลิศ และการที่นางชอบเฉียวเทียนช่างนับเป็นโชคดีของเขา แต่เขากลับไม่ดีใจต่อเรื่องนี้แล้วยังทำให้บุตรสาวของนางโกรธ นับว่าช่างน่าขันเสียจริง

นางเฉินประเมินเหตุการณ์ออกมาเช่นนี้เพราะบุตรชายทั้งสองของนาง คนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านในเมือง อีกคนเป็นซิ่วไฉ ดังนั้นบุตรสาวของนางเป็นถึงน้องของซิ่วไฉ นางจะแต่งงานกับใครก็ได้ พรานยาจกมีสิทธิ์อะไรมาเป็นคนตัดสินใจ

ยิ่งนางเฉินคิดยิ่งโกรธ นางปลอบบุตรสาวลวกๆ แล้วเดินตรงไปยังบ้านข้างๆ

หยางชุ่ยเพียงอยากจะโอดครวญกับมารดา ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอันใด เมื่อนางเห็นมารดาเดินไป นางจึงตกใจ ถ้านางเฉินไปวุ่นวายที่บ้านเฉียวเทียนช่าง นางคงไม่เหลือหน้าจะไปพบใครแล้ว

“ท่านแม่ ท่านทำอะไรน่ะ”

“เขาทำผิดต่อเจ้า แม่จะทวงความยุติธรรมให้เจ้าเอง” นางเฉินตอบดั่งเป็นเรื่องที่เห็นชัดกันอยู่แล้ว และลูบมือบุตรสาวอย่างปลอบขวัญ “ลูกแม่ เจ้าอย่าห่วง แม่จะให้เขามาขอโทษเจ้าเอง”

ใบหน้าหยางชุ่ยบิดเบี้ยวทันใด ทำไมมารดาของนางจึงโง่นัก “ท่านแม่ อย่าทำแบบนั้น ถ้าท่านไปแล้วคนอื่นมารู้เข้า ข้าคงไปพบหน้าใครไม่ได้อีกแล้ว”

แม้นางเฉินจะไม่ชอบใจ แต่พอได้ฟังหยางชุ่ย นางก็ผงกศีรษะ ในใจนางชังเฉียวเทียนช่างเป็นล้นพ้น แต่แน่นอนว่าหยางชุ่ยไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น

วันรุ่งขึ้น นางเฉินเห็นเฉียวเทียนช่างเดินผ่านประตูบ้าน นางทำเสียงถุยแล้วบ่นพึมพำถึงคางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้า

เฉียวเทียนช่างได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาไม่สนใจ คนผู้นั้นไม่ได้เอ่ยชื่อแซ่ ดังนั้นเขาจะไม่เสนอหน้าไปรับว่านางกำลังพูดถึงเขา

หลายวันให้หลัง หน้านางเฉินบิดเบี้ยวเพราะข่าวลือเรื่องบุตรสาวนางแพร่ไปในหมู่บ้าน

“ชุ่ยเอ๋อร์ บอกข้ามาให้ชัดๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” นางเฉินมองบุตรสาวตัวเองแล้วถามอย่างฉุนเฉียว

หลายวันมานี้ เมื่อนางออกไปข้างนอกก็จะโดนคนอื่นชี้นิ้วใส่ ในตอนแรกนางคิดว่าช่างประหลาดนัก จากนั้นนางก็ได้รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงบุตรสาวของนาง หนักหนากว่านั้นคือถ้อยคำทั้งหลายช่างไม่น่าฟัง พวกเขาพูดกันว่ามีหญิงสาวปีนข้ามกำแพงไปเข้าบ้านคนอื่น และเรื่องอะไรทำนองนั้น

คำพูดพวกนั้นแสลงหูยิ่งนัก นางเฉินถึงกับไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ตั้งแต่วันที่บุตรชายคนเล็กของนางได้เป็นซิ่วไฉ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

สีหน้าหยางชุ่ยเปลี่ยนไป นางมองมารดาอย่างผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านจะโทษข้าเรื่องพวกนี้ไม่ได้นะ ทั้งหมดเป็นความผิดของหนิงเมิ่งเหยา นางผู้หญิงคนนั้น” จากนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหลายออกไป สีหน้านางเฉินเปลี่ยนขณะรับฟัง

“นางหญิงแพศยา! นางกล้าป้ายสีพวกเรา” นางเฉินพูดลอดฟันที่กัดกรอด

แน่นอนว่านางต้องไปที่ประตูบ้านของหนิงเมิ่งเหยาแล้วชี้หน้าดุด่าอย่างเกรี้ยวกราด “หนิงเมิ่งเหยา นางแพศยา ออกมา!”

บทที่ 40 มาด่าถึงหน้าประตู

หนิงเมิ่งเหยาซึ่งกำลังสอนเด็กๆ อยู่ในสวนขมวดคิ้วอย่างห้ามตัวเองมิได้ นางก้มศีรษะลงมองเสี่ยวมู่ และคนอื่นๆ “เข้าไปอ่านหนังสือกันเองก่อน ข้าจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ทราบแล้ว ท่านอาจารย์” เด็กบางรายไม่สนเสียงด้านนอกแล้วตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือทบทวนสิ่งที่หนิงเมิ่งเหยาเพิ่งสอน

หนิงเมิ่งเหยาเดินไปที่ประตูแล้วเห็นหญิงวัยกลางคนยืนจังก้าอยู่ตรงประตู มือเท้าสะเอว ดูเหมือนคนอารมณ์ร้าย

“ท่านผู้อาวุโสผู้นี้เป็นใครกัน” แม้อีกฝ่ายจะใช้ผรุสวาจา แต่หนิงเมิ่งเหยาได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี นางใช้ถ้อยคำหยาบโลนไม่ลง

นางเฉินทำตาขวาง ชักสีหน้าเหยียดหยามใส่หญิงสาวเบื้องหน้าตน แสดงออกชัดเจนว่าชังกัน “เจ้าเป็นคนนอกรึ หนิงเมิ่งเหยา”

หนิงเมิ่งเหยาย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พลางมองนางเฉินอย่างไม่ยินดีนัก “ข้าชื่อหนิงเมิ่งเหยา ข้าไม่รู้จักท่านผู้อาวุโส…”

“ไม่แปลกที่เฉียวเทียนช่าง เจ้ายาจกนั่นจะออกตัวแทนเจ้า ก็หน้าตาเจ้ามันเหมือนนางจิ้งจอกแบนนี้นี่เอง” นางเฉินล้อเลียนหนิงเมิ่งเหยา น้ำเสียง และสีหน้าเต็มไปด้วยการดูถูกถากถาง

หนิงเมิ่งเหยาไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิด นางคาดเดาได้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากมารดาของหญิงสาวนามหยางชุ่ย

“ท่านผู้อาวุโส ถ้าท่านมาที่นี่เพื่อจะพูดสิ่งเหล่านี้ ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าไม่ว่าง และไม่มีเวลามาฟังถ้อยคำไร้สาระของท่าน” หนิงเมิ่งเหยากล่าวพร้อมหมุนตัว เตรียมจะไปจากตรงนี้ แต่นางเฉินมาขวางทางนางไว้

นางเฉินชี้หน้าหนิงเมิ่งเหยาแล้วด่าทออย่างโกรธเกรี้ยว “นางหญิงไร้ยางอาย! ถ้าเจ้าอายไม่เป็นก็เรื่องของเจ้า แต่เจ้าลากลูกสาวข้าไปเกี่ยวด้วย คนแบบเจ้าไม่ควรอยู่ในหมู่บ้านไป๋ซาน ข้าจะให้ลูกชายข้าไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านให้ไล่เจ้าไปจากที่นี่!”

เดิมหนิงเมิ่งเหยาเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นนางจะไม่พูดอะไร และตัวนางเองก็ไม่อยากสร้างปัญหา แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ นางคิดว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้คงไม่ยอมเลิกยุ่ง ทำให้นางหงุดหงิด

“หืม ท่านมีคุณสมบัติอะไรถึงจะมาไล่ข้าไปจากที่นี่กัน” หนิงเมิ่งเหยายื่นมือไปปัดนิ้วของนางเฉินที่ชี้ตนเองทิ้งพลางกล่าวอย่างใจเย็น

นางเฉินมองหนิงเมิ่งเหยาแล้วเย้ยหยัน “ลูกชายข้าเป็นซิ่วไฉของหมู่บ้านไป๋ซาน เมื่อซิ่วไฉพูด มีหรือใครจะกล้าไม่ฟัง”

หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะอย่างเข้าใจ เมื่อนางเฉินคิดว่านางได้รับคำข่มขู่แล้ว กลับได้ยินหนิงเมิ่งเหยาพูดขึ้น “เพราะแบบนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าก็อยากจะถามซิ่วไฉผู้นั้น คนเราควรล่วงล้ำอาณาเขตส่วนบุคคลอย่างที่น้องสาวของซิ่วไฉทำหรือไม่ มีน้องสาวไม่รู้จักสำรวม คิดเพียงจะวิ่งเข้าบ้านบุรุษ เช่นนี้เขาจะไล่นางออกไปหรือไม่”

ย้อนไปในสมัยโบราณ คนที่มีชื่อเช่นนี้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตนเป็นที่สุด นางเฉินอยากจะค้าน แต่หนิงเมิ่งเหยาแย้มยิ้มว่าต่อ “ข้าอยากจะถามเขาด้วยว่าตัวเขาผู้เป็นถึงซิ่วไฉรู้สึกอับอายบ้างหรือไม่ที่มีมารดาแบบท่าน”

พฤติกรรมของนางเฉินตอนนี้คือการโอ้อวดคิดว่าตนอยู่เหนือผู้อื่น

ในฐานะมารดาของซิ่วไฉ จะคิดว่าตนอยู่เหนือผู้อื่นยังนับว่าไม่เป็นอะไร แต่ถ้าคิดจะใช้สถานะนี้ของตนข่มเหงผู้อื่นและทำสิ่งไม่ดี ย่อมทำให้ซิ่วไฉเสียหน้า

นางเฉินพูดไม่ออกเมื่อเจอเข้ากับคำพูดของหนิงเมิ่งเหยา แม้บุตรชายของนางจะไม่ได้ห้ามนางอวดตำแหน่งนี้ หรือทำเสมือนตนสูงส่งกว่าคนอื่น แต่เขาย่อมไม่ทนให้นางใช้ชื่อเสียงเขาทำเรื่องเสื่อมเสีย

เรื่องนี้เพียงใช้สมองคิดสักนิด คนย่อมบอกได้ว่าใครถูกใครผิด นางพลั้งปากข่มขู่แต่ไม่ทันคาดการณ์ว่าเด็กกำพร้าคนหนึ่งจะรู้อะไรมากมายปานนี้

ปกติแล้วคนทั่วไปได้ยินคำจำพวก ‘ซิ่วไฉ’ และ ‘เจ้าเมือง’ ก็มักตัวสั่นกลัว แต่หญิงผู้นี้นอกจากจะไม่กลัวแล้ว ยังพลิกเป็นฝ่ายขู่นางเสียเอง

ถ้านางต้องทำอะไรบางอย่างลงไปในวันนี้ เกรงว่าจะทำให้ตัวนางจบสิ้นแล้ว

ถ้าเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ จะไม่เป็นประโยชน์ต่อใครทั้งสิ้น

“ผู้อาวุโส ท่านมีธุระอะไรอีกหรือไม่” นางเฉินไม่พูดอะไรสักคำเดียว แต่ประกายที่แวบผ่านในดวงตานางทำให้มุมปากหนิงเมิ่งเหยากระตุกขึ้น

นางเฉินประเมินหนิงเมิ่งเหยาแล้วกล่าว “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นเด็กกำพร้าน่าสังเวช ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า แค่ไปขอโทษลูกสาวข้า และสัญญาต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้านว่าเจ้าจะไม่ไปยั่วเจ้าคนน่าสงสารอย่างเฉียวเทียนช่างก็พอ”

นางทำเสียงราวกับว่าทุกอย่างควรเป็นเช่นนั้น หนิงเมิ่งเหยาอดขำมิได้ หญิงวัยกลางคนผู้นี้คิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่นจริงๆ