บทที่ 16 ขอต้านลมฝนด้วยตัวคนเดียว Ink Stone_Fantasy
เหยียนหลงคิดไม่ถึงว่าตอนที่เขาโทรหาชางหลางเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของเย่เทียนเฉิน ท่าทีของชางหลางจะกลายเป็นแข็งกระด้างเช่นนี้ แต่เดิมก็ไม่อยากจะพูดมากกับตนอยู่แล้ว หากอยากดูแฟ้มข้อมูลของเย่เทียนเฉินที่อยู่ในกองทัพ จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนปกติ นี่ยิ่งทำให้เหยียนหลงเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก
ชางหลางเป็นใครนั้นเหยียนหลงทราบดี คนๆ นี้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งกระเทศจีนเหมือนกับตน มีความหยิ่งยโสอย่างยิ่งยวด สามารถทำให้เขาจัดแฟ้มข้อมูลของทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดาๆ คนหนึ่งเป็นความลับระดับหนึ่งของประเทศได้ด้วยตนเองนั้น เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงเลยจริงๆ
หลังจากเย่เทียนเฉินทราบเรื่องที่ตระกูลฉินซื้อหลี่เถี่ยอันธพาลประจำเมืองหลวง เพื่อต้องการให้ลอบสังหารพ่อของตนอย่างลับๆ แล้ว ก็ไม่ได้เริ่มลงมือดำเนินการทันที เรื่องนี้จำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป หากว่าตอนนี้ไปเก็บกวาดตระกูลฉินถึงที่ เกรงว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ถึงตอนนั้นก็ไม่เป็นผลดีกับตระกูลเย่เช่นกัน ถึงเย่เทียนเฉินจะไม่ชอบคนในบ้านหลักตระกูลเย่ แต่จะอย่างไรพวกเขาก็ร่วมสายเลือดของพ่อ ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขา เย่หงพ่อของตนคงไม่ยืนมองอยู่เฉยๆ แน่
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว เย่เทียนเฉินเปิดประตูบ้าน เดินเข้าไปด้วยความระมัดระวัง เขาออกไปตั้งแต่ตอนที่ได้อ่านเนื้อหาในหนังสือพิมพ์ จนถึงตอนนี้เพิ่งจะกลับมา แม่กับน้องสาวก็โทรหาเขาหลายครั้ง แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้รับสาย เนื่องจากเกรงว่าพวกเธอจะกังวล จึงงปิดโทรศัพท์มือถือไป
เพิ่งจะเดินเข้ามาถึงห้องโถง ไฟในห้องโถงก็พลันสว่างขึ้น เย่หงพ่อของเย่เทียนเฉินกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่บนโซฟา มองเย่เทียนเฉินที่เดินเข้ามา แล้วกล่าวว่า “มานั่งนี่สิ คุยกันหน่อย”
เย่เทียนเฉินมองผู้เป็นพ่อของตนเองชั่วครู่ ค่อยเดินเข้าไป เขารู้สึกได้ว่าเย่หงพ่อของตนดูเหมือนมีอะไรต้องการจะพูดกับเขา เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร
“เทียนเฉิน ตั้งแต่ที่ลูกกลับมา พ่อก็รู้สึกว่าลูกเปลี่ยนไปมาก พ่ออยากจะรู้ว่าทำไม….” เย่หงสูบบุหรี่เฮือกหนึ่งก่อนจะกล่าว
“พ่อครับ มีหลายเรื่องที่ผมไม่สามารถบอกพ่อได้ในตอนนี้ ที่ผมพูดได้ก็คือ ยี่สิบปีแล้ว ผมทำตัวอกตัญญูมายี่สิบปีแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปผมกับพ่อจะประคองครอบครัวของเราด้วยกัน จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารบกวนชีวิตอันสงบสุขของพวกเรา”
เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกล่องบุหรี่บนโต๊ะชา จุดบุหรี่ให้แก่ตนเอง แล้วสูบเข้าไปเต็มปอดเฮือกหนึ่ง เขาทราบดีว่าการเปลี่ยนแปลงของเขาในตอนนี้จะทำให้พ่อและแม่เกิดความรู้สึกสงสัย แต่เรื่องที่เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้ามาเกิดใหม่ ไม่สามารถบอกพวกเขาได้เด็ดขาด แบบนี้นอกจากจะไม่มีผลดีต่อคนในครอบครัวแม้แต่น้อยแล้ว ยังอาจจะนำความทุกข์ยากมาแก่พวกเขาด้วย
ตามความเข้าใจของเย่เทียนเฉิน ไม่ว่าจะในช่วงสิ้นโลกหรือโลกนี้ ล้วนมียอดฝีมืออยู่มากมาย ผู้ที่มีพลังพิเศษก็มีอยู่ไม่น้อย ยอดฝีมือจากพรรควรยุทธ์โบราณก็มีมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ที่ส่งผลกระทบต่อความคิดอย่างเมืองหลวง หากประมาทแม้เพียงนิดเดียว จะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ จำเป็นระวังตัว ยิ่งเพิ่มความแน่วแน่ให้กับการตัดสินใจที่จะฟื้นฟูและยกระดับพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินมากขึ้น หากไม่มีพลังที่สมบูรณ์ จะเอาอะไรไปปกป้องครอบครัว และรักษาทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมีอยู่ทุกวันนี้ได้?
เย่หงมองลูกชายของคน เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของลูกชาย แต่เพราะอะไรนั้นเขาเองก็ไม่รู้ แต่ได้เห็นลูกชายเข้าใจเรื่องราวและเติบโตขึ้น ก็ยังรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
“พ่อได้ข่าวมาว่าลั่วเหลยกับลั่วเทาหลานชายสองคนของตระกูลลั่วถูกคนทำร้าย พ่ออยากจะฟังความจริงจากปากลูก เรื่องนี้ลูกเป็นคนทำหรือเปล่า?”
ได้ยินคำพูดของเย่หงผู้เป็นพ่อ เย่เทียนเฉินก็ชะงักไปชั่วครู่ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าข่าวจะแพร่ออกไปเร็วขนาดนี้ ขนาดพ่อก็ยังรู้แล้ว ดูท่าเรื่องที่ลั่วเหลยและลั่วเทาแห่งตระกูลลั่วถูกตนเองทำร้าย เกรงว่าคืนวันนี้ก็คงจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้ว่าวันต่อไปจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง
“พ่อ เรื่องนี้ยกให้ผมจัดการเองเถอะครับ ผมไม่อยากให้พวกพ่อมาเกี่ยวข้อง ผมแค่อยากให้ครอบครัวเราทุกคนมีความสุข” เย่เทียนเฉินไม่ได้ตอบตรงๆ
ถึงอย่างนั้น เย่หงก็ยังตกใจอยู่ดี เดิมทีเขาก็แค่ลองถามดูเท่านั้น คิดว่าความเป็นไปได้ที่เย่เทียนเฉินลูกชายของตนจะเป็นคนทำมีน้อยมาก แต่ตอนนี้เย่เทียนเฉินกลับตอบเช่นนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นการยอมรับนัยๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าลูกของตนมีความสามารถเช่นนั้นหรือเปล่า แค่มีความใจกล้าเช่นนี้ก็ทำให้ผู้คนต้องตกใจแล้ว ลำดับวงศ์ตระกูลของตระกูลเย่ตกต่ำลง เทียบกับตระกูลลั่วไม่ได้นานแล้ว ครั้งนี้ไปผิดใจกับตระกูลลั่ว ควรจะจัดการอย่างไรดี?
“ลูก ตระกูลลั่วมีอิทธิพลไม่น้อย พวกเรา….”
“พ่อ ผมจัดการได้ครับ ไม่ต้องกังวล เชื่อผมเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจังขัดคำพูดของเย่หงผู้เป็นพ่อ
ที่เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของเย่หง ก็เพราะเขาเข้าใจดีว่าพ่อของเขาไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของตนเอง แต่ไม่อยากสร้างความลำบากให้ตระกูลเย่ เย่หงเป็นลูกกตัญญู คิดถึงคนในครอบครัวใหญ่อยู่เสมอ
เย่หงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา ไม่ว่าจะอย่างไร ลูกชายนั้นเติบโตขึ้นจริงๆ คู่ควรให้ตัวเขารู้สึกยินดี จากนั้นจึงหยิบหนังสือสัญญาฉบับหนึ่งออกมาส่งให้เย่เทียนเฉิน กล่าวว่า “นี่คือสัญญาที่ตระกูลฉีส่งมา พ่อเขียนชื่อของลูกลงไป หลังจากนี้ลูกเป็นประธานคของเครือไห่หวัง หุ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือถูกแบ่งไปอยู่ในมือคนอื่น จะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของลูกแล้ว”
เย่เทียนเฉินรับหนังสือสัญญามา ในสัญญาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ตระกูลฉีจะยกหุ้นของเครือไห่หวังห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ให้แก่เย่เทียนเฉิน ส่วนหุ้นอื่นๆ อยู่ในมือของคนอื่น
เครือไห่หวังสามารถนับได้ว่าเป็นเครือบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ในประเทศจีน มีอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจสูง ตระกูลฉีครอบครองหุ้นของเครือไห่หวังอยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต์ เป็นเพราะในตอนนั้นตระกูลฉีได้คิดหาวิธีซื้อมา ตอนนี้โอนหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ให้แก่เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินย่อมกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ฐานะเพิ่มขึ้นหลายพันล้าน นับได้ว่าเป็นเถ้าแก่ใหญ่คนหนึ่ง
“ประสิทธิภาพการทำงานของตระกูลฉีถือว่าดีทีเดียว แล้วตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการของพ่อจะได้เมื่อไรครับ?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“ยังต้องรออีกประมาณครึ่งปี จริงสิ คนจากตระกูลฉีบอกว่าพรุ่งนี้เที่ยงให้ลูกเข้าไปเซ็นสัญญาถอนหมั้นที่เครือไห่หวังสัก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านในภายหลัง”
“ไม่มีปัญหา พ่อไปพักผ่อนเถอะครับ ผมอาบน้ำสักหน่อยก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”
หลังจากเห็นเย่หงผู้เป็นพ่อเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน เข้าไปนอนในห้องแล้ว เย่เทียนเฉินยังคงนั่งขมวดคิ้วอยู่บนโซฟาที่ห้องโถง แม้ภายนอกจะเห็นว่าตระกูลเย่สงบสุข แต่จริงๆ แล้วกลับมีอันตรายซ่อนอยู่รอบด้าน ผู้มีอำนาจมากมายต้องการกำจัดตระกูลเย่ ที่ไกลตัวยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วในตอนนี้ก่อน ตระกูลใหญ่ทั้งสองตระกูลนี้คงไม่ยอมรามือจากตระกูลเย่แน่นอน ยังมีวิกฤตอีกมากมายที่ต้องรับมือ
แต่ว่าเย่เทียนเฉินไม่คิดที่จะให้พ่อแม่เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะมีอันตรายอยู่บ้าง ก็ไม่อยากให้พวกเขาอยู่อย่างไม่สบายใจและไม่สงบสุข ลมฝนทั้งหมดที่ต้องเผชิญ ก็ขอให้เขาแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ใครกล้ามารุกราน จะขอคืนให้ด้วยกำปั้น
เย่เทียนเฉินกลับเข้าไปในห้องของตนเอง นั่งขัดสมาธิบนเตียง ในช่วงสิ้นโลกเขาใช้วิธีนี้ในการดำเนินการฝึกฝนพลังพิเศษของตนเอง ตอนนี้หลังจากเขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตของตระกูลเย่ ก็ยิ่งต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งและยกระดับพลังพิเศษของตนให้เร็วยิ่งขึ้น
พลังพิเศษมีตั้งแต่ขั้นหนึ่งถึงขั้นเก้า ยิ่งขั้นสูงความสามารถก็ยิ่งแข็งแกร่ง ทั้งเก้าขั้นนั้นยังแบ่งออกเป็นระดับราชัน ระดับจอมราชัน ระดับจักรพรรดิ ระดับพระเจ้า และระดับเทพราชัน เย่เทียนเฉินระดับพลังลดลงจากระดับพระเจ้าเหลือระดับราชัน ลดรวดเดียวสามระดับ พลังที่ลดลงไปไม่ใช่น้อยๆ พลังที่อยู่ภายในเส้นชีพจรในร่างกายก็เบาบางลงมาก หากต้องการกระตุ้นแก่นพลังที่อยู่ภายในสมอง และรวบรวมพลังธรรมชาติเกือบจะเป็นไปไม่ได้
ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ต้องการยกระดับพลังพิเศษอันเบาบางในชีพจรของตนให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ยังต้องการค่อยๆ ควบคุมพลังที่อยู่ในธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง ผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าถึงขั้นย้ายภูเขาเคลื่อนมหาสมุทร และเรียกลมเรียกฝนได้ ส่วนผู้มีพลังระดับเทพราชัน เป็นการดำรงอยู่ที่ไม่อาจจินตนาการได้ พลังของพวกเขาอาจใช้คำว่าถล่มฟ้าทลายแผ่นดินมาบรรยายได้ กระทั่งในช่วงสิ้นโลกก็ยังหาเจอแค่ไม่กี่คน เย่เทียนเฉินเองก็เพียงแค่เคยได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยพบก่อน
เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง สองตาปิดสนิท ค่อยๆ โคจรแก่นพลังในสมอง รับรู้ถึงพลังภายในเส้นชีพจรทุกส่วนในร่างกาย แล้วรวบรวมทีละเล็กทีละน้อย แต่พลังช่างเบาบางเหลือเกิน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของแก่นพลังในสมองมีน้อยเกินไป มีเพียงแค่ตอนที่ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
“ดูท่าจะต้องฝึกฝนกับคู่ต้อสู้ที่แข็งแกร่งสักหน่อย ไม่งั้นพลังพิเศษคงไม่แข็งแกร่งขึ้น” เย่เทียนเฉินลืมตาพลางกล่าวพึมพำกับตนเอง
ตอนนี้เอง ในที่ดินส่วนตัวขนาดใหญ่ที่ตระกูลฉีซึ่งเป็นตระกูลชั้นสองในเมืองหลวงอาศัยอยู่ มีคฤหาสน์อยู่หนึ่งหลัง ข้างในมีไฟสว่างไสว ฉีชางเซิ่งผู้ที่กุมหางเสือของตระกูลฉีกำลังพูดคุยกับฉีย่ากวงลูกชายคนโตอยู่ในตอนนี้ ฉีย่ากวงเป็นพี่ชายของฉีหรูเสวี่ย และเป็นหลานชายคนโตเพียงคนเดียวของตระกูลฉี หลังจากที่ได้รู้ว่าผู้เป็นพ่อแบ่งหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ของเครือไห่หวังให้แก่เย่เทียนเฉิน ก็โกรธจนทนไม่ไหว
“พ่อ ทำไมต้องแบ่งหุ้นครึ่งหนึ่งของเครือไห่หวังให้ตระกูลเย่ด้วย แค่ทำให้พ่อของเย่เทียนเฉินได้เป็นเลขาธิการคณะกรรมการเมือง H ก็นับว่าเป็นการชดเชยที่ไม่เลวแล้ว จำเป็นด้วยเหรอ?” ฉีย่ากวงกล่าวถามด้วยความโมโห
“กวงเอ๋อร์ นี่เป็นท่าทางที่แกใช้พูดกับพ่อเหรอ?”
“พ่อ…..”
“ฉันรู้ว่าเครือไห่หวังเคยถูกตระกูลฉีของพวกเราซื้อมาได้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต์ หลายปีมานี้เครือไห่หวังก็มีแกคอยจัดการดูแลตลอด แต่ครั้งนี้พวกเราขอยกเลิกการหมั้น หากไม่มีการชดเชยที่แน่นอน พวกมันคงไม่เห็นด้วยแน่ อีกอย่างของพวกนี้ไม่นับเป็นอะไรได้ ขอแค่พวกเราตระกูลฉีร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งกับตระกูลฉินได้ กลายเป็นญาติกัน พยายามด้วยกัน ก็อาจจะกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง ถึงตอนนั้นสิ่งที่เราจ่ายไปก็คุ้มค่าแน่นอน” ฉีชางเซิ่งกล่าวพลางมองฉีย่ากวงผู้เป็นลูกชาย
“ผมรู้ว่าต้องร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง แต่ตอนนี้ผมเหลือหุ้นของเครือไห่หวังแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เศษสวะที่เป็นที่น่าขบขันไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างเย่เทียนเฉินกลายเป็นเถ้าแก่ของผมไปแล้ว ผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ฉีย่ากวงกล่าวอย่างไม่พอใจ
“งั้นแกก็หาวิธีทำให้มันอยู่ที่เครือไห่หวังไม่ได้ ถอนหุ้นตัวเองออกไปสิ พรุ่งนี้เที่ยงพ่อให้คนเรียกเย่เทียนเฉินมาที่เครือไห่หวัง เพื่อมาเซ็นหนังสือยิมยอมรับการถอนหมั้นกับน้องสาวแก ไม่ให้พวกตระกูลเย่เล่นตุกติกได้ภายหลัง ส่วนจะทำยังไงก็เป็นเรื่องของแก”
“ได้ จะให้ไอ้เย่เทียนเฉินมันรู้ว่า หากกล้ามาแย่งของๆ ตระกูลฉี ผลจะเป็นยังไง” ฉีย่ากวงกล่าวยิ้มๆ อย่างดุร้าย
“ใช่แล้ว น้องสาวแกเป็นไงบ้าง?” ฉีชางเซิ่งคิดถึงฉีหรูเสวี่ยผู้เป็นลูกสาว จึงกล่าวถามออกมา
“น้องไม่เห็นด้วยเรื่องการแต่งงานกับฉินเหิง ดื้อมาก ต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมครับ”
“ฉันรู้แล้ว พรุ่งนี้เรื่องที่ไปเครือไห่หวังก็ให้แกจัดการ แต่ฉันจะบอกแกไว้ก่อนสักคำ เจ้าเศษสวะเย่เทียนเฉินคนนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมกับฉัน เห็นโอกาสค่อยลงมือ อย่าสะเพร่า บางทีชายคนนี้อาจจะใช้ความไม่สนใจโลกของมัน หลอกลวงคนทั้งหมดในเมืองหลวงก็ได้….” ฉีชางเซิ่งกล่าวพลางขมวดคิ้ว
………………………………………