ตอนที่ 70-1 ตบตีไป๋ฮูหยิน
เด็กในวัยเจ็ดถึงเก้าขวบ จะอยากรู้อยากเห็น ชอบถามนู่นถามนี่ตลอด และอาเม่าก็อยู่ในวัยนี้พอดี
สองวันแรกที่เพิ่งมาถึงบ้านอารอง อาเม่ากลัวคนแปลกหน้า จึงได้แต่เล่นอยู่กับพี่จู้ในเรือนของท่านย่า ทว่าต่อมาก็ค่อยๆ อยู่ไม่เป็นสุข
หลังจากเรื่องระเบิดโรงละครว่านไฉ่ผ่านไปไม่ได้กี่วัน ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็อยู่แต่ในเรือนของตนจนรากงอก แต่อาเม่ากลับชีพจรลงเท้า
พริบตาเดียวก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พอช่วงที่ร้อนที่สุดผ่านพ้น อากาศก็มีทีท่าว่าจะเย็นลง แดดไม่แรงเหมือนก่อน หลังมื้อเที่ยง บ้านสกุลอวิ๋นจึงเงียบเชียบ เจ้านายกว่าครึ่งกำลังนอนกลางวัน ยังไม่ตื่น
โดยเฉพาะไป๋เสวี่ยฮุ่ย ไม่ง่ายเลยที่นางจะรู้สึกสบายอกสบายใจ เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องดูแลแม่สามีอีก หลังทานข้าวเที่ยง นางจึงเลือกที่นอนนุ่มๆ ปิดม่าน ปิดประตู หลับยาวๆ ให้สะใจ ชนิดฟ้าร้องก็ไม่ขยับ
เมื่ออาเม่าเห็นแม่กับย่านอนกลางวัน บ่าวก็งีบอยู่หน้าประตู จึงลุกออกจากเตียง สวมเสื้อคลุมยาว แอบย่องออกจากเรือนไป
โดยเลือกไปเดินเล่นรอบสระบัวที่สวนหลังจวนก่อน เขาเหมือนเด็กบ้านนอกก็มิปาน เล่นดีดลูกหิน ลูบหัวปลาหลีฮื้อในสระ สุดท้ายก็เดินเล่นต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงเรือนหลักโดยไม่รู้ตัว
แม่เคยบอกว่า ที่นี่เป็นที่พักของอารองกับอาสะใภ้
เด็กเจ็ดขวบอย่างอาเม่ากำลังยืนชะเง้อมองอยู่หน้าประตูวงเดือน เขาเห็นว่าเรือนนี้ที่มีพื้นที่กว้างขวางกว่าเรือนอื่นๆ แม่บอกว่าอารองเป็นขุนนางในราชสำนัก เรือนที่พักนอกจากสวยแล้ว ด้านในยังมีของเล่นสนุกๆ ซ่อนไว้ไม่น้อยอีก
ลำพังอาหารและเครื่องดื่มในหลายวันมานี้ ก็ล้วนเป็นของที่อาเม่าไม่เคยเห็นที่บ้านนอกมาก่อน ดังนั้นเรือนหลักย่อมต้องมีมากกว่า
เสียดาย ที่แม่บอกอีกว่า อาสะใภ้ใจแคบ ไม่เคยเรียกเราให้ไปเที่ยวเรือนหลักเลย
เด็กในวัยนี้ จะว่าโตก็ไม่โต จะว่าเด็กก็ไม่เด็ก ย่อมเชื่อฟังคำของแม่ และจดจำทุกถ้อยทุกคำจนขึ้นใจ
อาเม่าชะเง้อชะแง้อยู่สักพัก ก็ค่อยๆ ย่องผ่านประตูวงเดือนเข้าไป
พี่เฉียวในตอนนี้ มีฐานะเป็นเด็กรับใช้ของเรือนหลัก จึงไม่สะดวกเข้าไปรับใช้ด้านใน ได้แต่ทำงานจิปาถะอยู่ด้านนอกเช่นเดียวกับบ่าวรับใช้คนอื่นๆ และวันนี้ก็เหมือนทุกๆ วัน เขาลากแคร่ไม้ไผ่มาใกล้หน้าประตูเรือน แล้วเอนกายพักกลางวันอย่างเย็นสบาย
ขณะกำลังเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่นอกประตูวงเดือน จึงลืมตาแล้วมองตาม
เห็นเด็กผิวคล้ำคนหนึ่ง ท่าทางลับๆ ล่อๆ มองซ้ายมองขวาอยู่ข้างประตู
พี่เฉียวขมวดคิ้ว ที่แท้ก็หลานของนายท่านที่มาจากชนบทนี่เอง ฮูหยินมักบ่นว่าเด็กนี่เสียงดัง ไม่ชอบเป็น
ที่สุด เขาจึงรีบลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าไป กางมือขวางไว้ ไม่ให้อาเม่าเข้ามา
“โอ้ คุณชายน้อย ที่นี่เดินเพ่นพ่านไม่ได้ขอรับ ฮูหยินกำลังพักผ่อนอยู่”
เรือนหลักนี่สวยจริงๆ ด้วย อาเม่ากวาดตามองโดยไม่ขยับไปไหน และพอหันมามองผู้ที่อยู่ตรงหน้า ก็รู้ว่าเป็นบ่าวของอาสะใภ้
ก่อนมาเมืองหลวง หวงน้าสี่เกรงว่าจะถูกคนในเมืองหลวงดูถูก จึงบอกลูกๆ ว่า ชาวเมืองหลวงส่วนใหญ่จะกีดกันคนต่างถิ่น โดยเฉพาะคนบ้านนอกอย่างเรา ดังนั้นถ้าเจอใครก็ตาม ให้ยืดอกไว้ก่อน ถ้าเจอบ่าวรับใช้ ก็ไม่ต้องเกรงใจ เพราะถ้ายิ่งเกรงใจ เขาก็ยิ่งดูหมิ่นเราเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ต้องพูดเสียงดังๆ เขาถึงจะเห็นเจ้าอยู่ในสายตา!
การนี้ อาเม่าจึงไม่เห็นพี่เฉียวอยู่ในสายตา เท้าสะเอวพลางว่า
“ข้าจะเข้าไปซะอย่าง! เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ประสาอะไร แม่ข้าบอกว่า เราเป็นแขก เจ้ามีหน้าที่ต้อนรับแขก แต่กลับขวางทางข้าเสียนี่!”
หลายวันก่อน ทุกครั้งที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกลับจากเรือนตะวันตก แล้วอารมณ์เสียเพราะหวงน้าสี่ ก็จะปิดประตูห้อง แล้วด่าว่าครอบครัวที่มาจากบ้านนอกพวกนี้อยู่พักใหญ่ และพี่เฉียวก็ได้ยินจนหูชาไปหมด คำโบราณว่าไว้ ถ้าหัวไม่ส่าย หางก็ไม่กระดิก เมื่อนายไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา บ่าวก็ต้องคล้อยตาม พี่เฉียวในตอนนี้จึงคิดว่า ไฉนตนต้องสนใจอาเม่าด้วย
ยิ่งพอเห็นเด็กที่ยังติดกลิ่นโคลนสาบควาย หน้าตามือไม้มอมแมม ไม่รู้ไปเล่นอะไรมา พี่เฉียวก็เย้ยหยันในใจ ก่อนบีบไหล่ทั้งสองข้างของอาเม่า แล้วดันให้ออกไป ปากก็พูดอย่างไม่เกรงใจ
“ใช่ๆๆ คุณชายน้อยเป็นแขก! แต่แขกมาบ้านคนอื่น ก็ต้องมีมารยาทเหมือนกัน สงสัยลุงกับป้าสะใภ้อยู่บ้านนอกจะเอาแต่ทำไร่ทำนาหาเลี้ยงครอบครัว แต่ก็น่าจะเคยสอนเรื่องเหล่านี้กับคุณชายน้อยนะ”
พี่เฉียวนึกว่าเด็กคงไม่เข้าใจคำเย้ยหยัน แต่อาเม่ากลับเหมือนแม่หวงน้าสี่ เห็นบ้านนอกคอกนาเช่นนี้ แต่ลำไส้ที่ควรมี ก็มิได้ทิ้งไป รู้ว่าคำพูดที่บ่าวรับใช้พูดมิใช่คำดีแต่อย่างใด จึงเท้าสะเอว แต่ขณะกำลังจะโต้ตอบ กลับถูกอุ้มออกมา
พี่เฉียวยืนขวางอยู่ตรงประตูวงเดือน อาเม่าเข้าไปไม่ได้ จึงได้แต่ถอยหลังสองเก้า แล้วหันกายเดินจาก
พอเห็นเขาจากไป พี่เฉียวก็มองตามด้วยสายตาดูหมิ่น พลางก่นด่า
“ถุย กะอีแค่เด็กบ้านนอกโชคเข้าข้าง ให้มาดื่มด่ำชีวิตในจวนรองเจ้ากรมได้ไม่กี่วัน ก็ลืมกำพืดซะแล้ว!” ว่าเสร็จก็เดินเข้าไป
อาเม่ารู้สึกหมดสนุกและกำลังจะกลับเรือน ก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังมา
พอหันมองไป ก็เห็นญาติผู้พี่สวมชุดผ้าไหมยาวสีฟ้าตุ่นกำลังเดินทอดน่องผ่าน ด้านหลังมีเด็กรับใช้ถือหนังสือเดินตาม คล้ายเพิ่งกลับจากโรงเรียน
อวิ๋นจิ่นจ้งเพิ่งเลิกเรียน และกำลังจะเดินไปทำการบ้านที่ห้องหนังสือ โดยไม่คิดว่าจะเห็นเหตุการณ์นี้เข้า
แม้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เคยบอกน้องชาย เรื่องที่สงสัยว่าพี่เฉียวอาจได้รับคำสั่งจากไป๋เสวี่ยฮุ่ย ให้มาทำร้าย
เขา แต่อวิ๋นจิ่นจ้งก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เขามีความคิดเป็นของตัวเอง ยังโกรธพี่เฉียวไม่หายจากเหตุที่เกิดขึ้นบนเขาหลงติ่ง โดยยังไม่ลืมว่า ถ้าไม่ใช่พี่เฉียว เขาไหนเลยจะตกหน้าผา และพี่สาวก็ไม่ต้องหายตัวไปหลายวัน ตอนนี้พอเห็นพี่เฉียวมีนายใหม่ หายเจ็บแล้วลืมความเจ็บ ยกหางสุนัขขึ้นอีก อาจเพราะยังไม่โตดี เขาจึงคิดยืมความดื้อและความซนของอาเม่า สั่งสอนบ่าวสุนัขตัวนี้เสียหน่อย
เมื่ออวิ๋นจิ่นจ้งเห็นพี่เฉียวเดินเข้าไปนอนกลางวันต่อ เขาจึงต้องสนใจเรื่องอาเม่าเข้ามาก่อกวน จงใจหันหน้าไปมองญาติผู้น้อง พลางทักทาย “อ้าว อาเม่า ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ”
อาเม่ารีบเช็ดน้ำมูก ด้วยเห็นว่า หลังจากมาบ้านอารอง ท่านย่าก็เอาแต่ชมญาติผู้พี่ไม่ขาดปาก วันนี้บอกว่าเกิดมาหล่อน่ารักบ้างล่ะ พรุ่งนี้บอกว่าฉลาดรู้กาลเทศะบ้างล่ะ พอฟังหลายวันเข้า เขาก็ชักรู้สึกชื่นชมและนับถือขึ้นมา จึงรีบก้าวเข้าหา ตีหน้าซื่อ พลางพูดจาวิงวอน
“พี่จิ่นจ้ง แม่ข้าว่า เรือนของอารองนี่ ดีกว่าเรือนตะวันตกของพวกเราอีก มีของกินและของเล่นมากมาย จริงไหม ท่านพาข้าเข้าไปเที่ยวหน่อยสิ บ่าวสุนัขที่อยู่ข้างในไม่ให้ข้าเข้าไปน่ะ”
พออวิ๋นจิ่นจ้งเห็นน้ำลายของเขาใกล้หกเต็มที จึงยิ้มพลางว่า “ท่านแม่นอนกลางวันอยู่ พี่ไม่กล้าเข้าไปรบกวนหรอก แต่…”
ว่าแล้วก็หันไปพูดข้างหู คล้ายเป็นความลับ “เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่บอก ทุกวันช่วงบ่าย หลังจากท่านแม่ตื่นนอน ก็จะทานของว่างกับน้ำชา ซึ่งสักพักน่าจะมีสาวใช้นำมาให้ เจ้าก็ดักรออยู่ข้างนอก ขอชิมจากนางนิดหน่อยก็พอแล้ว ดูว่าเหมือนกับของท่านย่าและป้าสะใภ้หรือไม่ เฮ้อ ไม่ได้การ ข้าต้องรีบไปห้องหนังสือแล้ว อาจารย์ใกล้มาถึงเต็มที ไปก่อนล่ะ”
อาเม่าเป็นคนซุกซนและไม่กลัวใครอยู่แล้ว พอได้ยินญาติผู้พี่ทิ้งท้ายเช่นนี้ ก็กระฉับกระเฉงขึ้นมา จึงนั่งยองๆ รออยู่หน้าประตูดู ไม่นานก็เห็นสาวใช้มวยผมสองข้าง สวมเสื้อกั๊กสีน้ำเงินลายดอกเดินเข้ามาจริงๆ
อาเถาถือสำรับของว่างเดินจากห้องครัวมาถึงประตูวงเดือน จู่ๆ ตรงหน้าก็มีเด็กกระโดดออกมาขวางทาง นางสะดุ้งตกใจ ก่อนตบหน้าอกเบาๆ ไปสองที เพราะพอจ้องมองดีๆ ค่อยพบว่าเป็นลูกชายของนายใหญ่สกุลอวิ๋น คุณชายน้อยที่ตามท่านย่ามาเมื่อไม่กี่วันก่อน
“คุณชายน้อย ท่าน ท่านมายืนขวางบ่าวทำ ทำไม ฮูหยินตื่น ตื่นแล้ว บ่าวต้อง ต้องนำของไปให้ฮูหยิน” เมื่อเห็นว่าอาเม่าไม่ยอมหลีกทางให้ อาเถาก็พูดจากระอึกกระอัก
อาเม่าจึงฉวยโอกาสขณะที่นางไม่ทันสังเกต ‘ฟึ่บ’ เสียงเปิดฝาสำรับของว่าง พลางยื่นหน้าเข้ามา
“ของอะไรน่ะ ขอดูหน่อย”
อาเถารีบกดฝาปิดลง ฮูหยินพิถีพิถันเรื่องอาหารมาก ไม่อนุญาตให้คนรอบข้างมายุ่มย่าม พอเห็นคุณชายน้อยน้ำมูกไหล มือน้อยๆ ทั้งสองข้างดำมอมแมม กลัวว่าจะพลอยทำอาหารสกปรกไปด้วย
“คุณ คุณชายน้อย นี่คือของของฮู ฮูหยินนะ ท่าน ท่านอยากกินอะไร ก็ไป ไปบอกสาวใช้ที่เรือนตะวันตกได้ พวกนางจะหามาให้ท่านเอง”
พออาเม่าเห็นนางติดอ่าง ก็ยิ่งอยากเยาะเย้ย จึงอ้าปากเลียนแบบ
“ใน ในถาดมีอะไร ข้าอยาก อยากลองชิมดู”
ของว่างในถาดจัดไว้อย่างดี ถ้าหายไปชิ้นหนึ่ง ต้องถูกฮูหยินด่าว่าแน่ อาเถากลัวไป๋เสวี่ยฮุ่ยมาก จึง
ไม่ยอมถ่ายเดียว
อาเม่าถลึงตามอง ก่อนใช้มือทั้งสองข้างโอบถาดของว่างไว้ แย่งเอามา แล้วหันกายวิ่งหนี
“อึ๋ย…คุณ คุณชายน้อย ท่านอย่าเอาไปนะ…ฮูหยินต้องด่าว่าบ่าวแน่…”
อาเถาแตกตื่น ไหนเลยจะเคยพบเคยเจอเด็กที่ทั้งดื้อทั้งซนเช่นนี้ จึงรีบวิ่งตามไปเอาคืน แต่ก็ไม่ปราดเปรียวเท่าอาเม่า