บทที่ 619 เจ้าเมือง โดย Ink Stone_Fantasy
ท้องฟ้ายามค่ำคืนปกคลุมลงมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พักผ่อนในร้านค้าแห่งหนึ่งได้ซักพักแล้ว หลิงม่อก็เร่งให้ออกเดินทางอีกครั้ง
มู่เฉินสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับร้อนรุ่มดั่งถูกไฟเผา
ตอนที่เขาเดินตามออกไป สมองของเขามืดแปดด้านไม่ต่างจากสถานการณ์ในตอนนี้
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงเบาละล่องเสียงหนึ่งก็ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทของเขา
“รอสัญญาณ”
มู่เฉินหัวใจกระตุกวูบ เขาตื่นตัวขึ้นมาทันที
เงาหลังที่เพิ่งเดินเฉียดไหล่เขาไปเมื่อกี้…คือซย่าจื้อ
หรือว่าภารกิจหลบหนีของพวกเขา จะเริ่มดำเนินการในคืนนี้?
มู่เฉินถึงกับตั้งตัวไม่ติดไปชั่วขณะ เขารีบหันหน้ากลับไปมองสวี่ซูหาน
“อีกเดี๋ยว เธอต้องเดินอยู่ข้างๆ ฉันในระยะห้าเมตร” ซย่าน่าพูดขึ้นพอดี
สวี่ซูหานพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว หลายวันมานี้ก็เป็นอย่างนี้มาตลอดนี่”
“แต่บางครั้งคนที่เธอเดิมตามกลับเปลี่ยนเป็นรุ่นพี่แทน” ซย่าน่าพูดเสริม
“ใช่ แต่ก็เหมือนกันไม่ใช่หรอ?” สวี่ซูหานถามอย่างไม่เข้าใจ
ซย่าน่านิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัย “เชื่อฉัน เดินตามฉันจะปลอดภัยกว่า”
“อย่างงั้นหรอ…” สวี่ซูหานมุมปากกระตุก
เธอไม่ค่อยเชื่อคำพูดของซย่าน่านัก ดูจากการแสดงออกในระหว่างต่อสู้ รุ่นพี่ดูน่าเข้าใกล้กว่าเห็นๆ…
อาจเพราะสวี่ซูหานรับรู้ได้ถึงสายตาของมู่เฉิน ดังนั้นหลังจากแอบเหล่มองซย่าน่าเล็กน้อย เธอก็มองไปทางมู่เฉิน
เสี้ยววินาทีที่สายตาประสานกัน สวี่ซูหานนิ่งไปก่อน จากนั้นก็พยักหน้า
“คิดจะลงมือกลางคืนจริงๆ หรอ…” มู่เฉินขมวดคิ้วเบาๆ
เวลากลางคืนถือเป็นกำบังที่ยอดเยี่ยมสำหรับการหลบหนี แต่ระดับความอันตรายกลับค่อนข้างสูง
ตัดสินใจจะหนีไปตอนนี้จริงๆ งั้นหรอ?
ทว่าพอคิดดูอีกที หากไม่ทำคืนนี้ พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้ที่หลิงม่อยังพอทนกับการถ่วงเวลาของพวกได้ เพราะเขายังอยากที่จะพูดคุยกับนิพพานสาขาย่อยด้วยความสันติ
แต่ถ้าหากเขาหมดความอดทนเมื่อไหร่ เรื่องราวก็จะดำเนินไปในทิศทางที่พวกเขาไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป
พอถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะกลายเป็นเบี้ยต่อรองที่ถูกวางไว้ตรงกลาง
เป็นแค่เบี้ยต่อรองจะทำอะไรได้ล่ะ?
เพราะฉะนั้น มีแค่คืนนี้เท่านั้น…
เสี้ยววินาทีที่ก้าวข้ามประตูใหญ่ หัวใจของมู่เฉินก็เต้นระรัวทันที
กังวล? หรือว่าดีใจ? หรืออาจรู้สึกทั้งสองอย่าง
ความรู้สึกอย่างนี้ เขาไม่เคยได้สัมผัสมานานแล้ว
นั่นทำให้เขานึกถึงตอนที่ภัยพิบัติเพิ่งเกิด ตอนนั้นเขาก็เหมือนกับคนส่วนมาก ทั้งไม่อยากตาย และไร้พละกำลัง
สิ่งที่มีมาตลอดกลับถูกทำลายไปในพริบตา ความเจ็บปวดและสิ้นหวังที่เกิดขึ้นยามที่ข้างหน้าช่างมืดมน เป็นความรู้สึกที่ทรมานเสียยิ่งกว่าความตายที่เกิดขึ้นรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
แต่ทุกวินาทีที่เขามีชีวิตอยู่ เขาก็จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอย่างนั้น
นั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกทำให้สมบูรณ์ และทำให้เขาตระหนักได้ถึงความปรารถนาในการเอาชีวิตรอด
ของอย่างนี้มักถูกซ่อนไว้ในส่วนลึกของสัญชาติญาณมนุษย์ แม้แต่คนที่ใช้ชีวิตเหมือนหนูท่อมาโดยตลอดก็ด้วย คนส่วนมากมักดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่ออยู่ต่อไป
ทุกข์ทรมาน แต่แข็งแกร่งขึ้น
ทว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่การมีชีวิตอยู่ได้กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างนี้?
จู่ๆ สายตาของมู่เฉินก็ดูหม่นหมองลงไป…
บางทีอาจเพราะตอนนั้นยอมทำทุกอย่างขอแค่มีชีวิตรอดก็พอ แต่ตอนนี้กลับทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีชีวิตที่น่าอนาถและน่าสงสารขนาดนั้น
ความปรารถนาช่างเป็นสิ่งที่ไร้ขีดจำกัดจริงๆ…
“ไปกันเถอะ” เสียงของหลิงม่อดังมาจากข้างหน้า
มู่เฉินดึงสติกลับมา “อ้อ…”
เห็นแผ่นหลังของหลิงม่อ มู่เฉินอดคิดไม่ได้ แล้วเจ้าหมอนี่ล่ะ เขาดิ้นรนไปเพื่ออะไรกันแน่…
เมืองตงหมิงในยามค่ำคืนเมื่อเปรียบเทียบกับกลางวันแล้ว แทบจะกลายเป็นวิวทิวทัศน์คนละแบบกันเลยทีเดียว
เมืองตงหมิงในตอนกลางวันเต็มไปด้วยอันตรายทุกหนแห่ง แต่พอตกกลางคืน เหมือนที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่รวมตัวจัดงานรื่นเริงของเหล่าสัตว์ประหลาด
เงาร่างที่แวบไปแวบมา จุดสีแดงมากมายที่ลอยอยู่กลางอากาศ เสียงคำราม เสียงเคี้ยวอาหาร กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
“ชู่ว เบาหน่อยสิ”
มู่เฉินที่ทำหน้าที่นำทางหลบอยู่หลังเสาไฟต้นหนึ่ง เขาหันกลับไปทำท่ากดมือลง
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะทำเสร็จ เสียงของหลิงม่อก็ดังมาจากด้านข้าง “ทำไมฉันรู้สึกว่าซอมบี้ที่นี่ดูมีชีวิตชีวากว่าที่อื่นล่ะ? หมายถึงกลางคืนน่ะ”
“ชู่ว!!!” มู่เฉินหน้าถอดสีครั้งใหญ่
“วางใจเถอะ ซอมบี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากเราในทางตรงถึงยี่สิบเมตร ตรงกลางยังมีผนังกั้นไว้อีกด้วย” หลิงม่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ถ้านายยังชู่วดังกว่านี้อีกนิดหนึ่ง มันก็จะมาฉี่รดนายแล้วล่ะ”
“พลังจิตของนายมีระบบวัดระยะห่างด้วยหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย
“ฝึกมา ถ้าไม่งั้นนายคิดว่าวันๆ ฉันทำอะไรอยู่ในกองกำลัง F ล่ะ?” หลิงม่อพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่ยาก นายแค่ต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมให้ตัวเอง…”
“พอๆๆ…” มู่เฉินตัดบทหลิงม่ออย่างไม่สบอารมณ์ แล้วถามเขาว่า “พวกมันมีชีวิตชีวาตรงไหนกัน?”
“แน่นอนว่ามี” หลิงม่อพยักหน้าแล้วบอกว่า “ซอมบี้ที่อื่นถึงแม้ว่าพอตกกลางคืนก็จะคลุ้มคลั่งง่ายกว่ากลางวัน แต่พฤติกรรมส่วนมากจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไป แต่ที่นี่…” หลิงม่อชี้ไปข้างหน้า ตรงกลางถนนเส้นนั้นยังมีกองเลือดสดใหม่อยู่หลายกอง รวมถึงโครงกระดูกและเศษเนื้อบางส่วนด้วย “เห็นไหม?”
“เห็น…เห็นแล้ว” รุ่นพี่จ้องกองเลือดเหล่านั้นอย่างไม่วางตา พลางพยักหน้ารับ
“คุมตัวเองหน่อย…” หลิงม่อกระแอมสองสามที แล้วดึงรุ่นพี่ให้ไปยืนข้างหลังตัวเอง จากนั้นจึงพูดต่อว่า “ที่นี่พอตกกลางคืน ก็ไม่ต่างอะไรจากถึงเวลาเปิดงานเลี้ยง ซอมบี้ระดับสูงเริ่มออกล่า ซอมบี้ที่อ่อนแอถูกกำจัดทิ้ง…”
สีหน้าของมู่เฉินดูแย่ลงเล็กน้อย “นายอ่อนไหวเกินไปแล้ว…”
เขาเพิ่งจะพูดจบ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากที่ไกลๆ
หลิงม่อหัวเราะให้มู่เฉินเบาๆ “นายว่างั้นหรอ?”
เสียงนั้น คือเสียงคำรามแปลกๆ ที่หลิงม่อได้ยินเมื่อตอนกลางวัน
แต่ตอนนี้เสียงกลับยิ่งชัดเจนขึ้น ระยะห่าง ก็เริ่มน้อยลง…
ถ้าหากตอนนี้พวกมู่เฉินสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าเด็กสาวสามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กำลังจ้องไปยังทิศทางเดียวกัน
“พวกเรารีบไปกันเถอะ!” มู่เฉินหน้าเริ่มเปลี่ยนสี
“ไม่ทันแล้วล่ะ” หลิงม่อส่ายหน้า
มู่เฉิงอึ้ง จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองที่อีกฝั่งของถนนตามสายตาของหลิงม่อ
“ตึง ตึง ตึง!”
เสียงอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมันก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
พื้นดินเหมือนกำลังสั่นสะเทือน มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าดวงไฟข้างทางที่ห้อยอยู่บนหัวกำลังสั่นไหวไปมา
เขาหันขวับไปมองหน้าหลิงม่อ แล้วหันไปมองกองเลือดนั่นอีกครั้ง
ที่หลิงม่อคุยกับเขา ก็เพื่อจงใจถ่วงเวลา?
“โชคไม่เข้าข้างกันเลยจริงๆ…” มู่เฉินกัดฟัน
เขามัวแต่คิดเรื่องแผนการและทางอ้อมอยู่เต็มสมอง แต่กลับลืมไปว่าหลิงม่อก็มีจุประสงค์ของเขาเหมือนกัน จนสุดท้ายก็ปล่อยให้เขาฉวยโอกาสขึ้นนำจนได้
“หลิงม่อ ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงได้สนใจซอมบี้มากขนาดนี้ แต่ฉันอยากจะบอกนายว่า พวกเราซวยแล้วล่ะ” มู่เฉินพูดเร็วๆ
“ตอนที่ฉันถามนายก็ควรบอกกันตรงๆ สิ” หลิงม่อยังคงดูสงบนิ่ง ทว่าดูจากสายตาที่จดจ่อของเขา เห็นชัดว่าเขาเริ่มรวบรวมสมาธิแล้ว
มู่เฉินถึงกับพูดไม่ออก และทำได้แค่หุบปาก
“นี่ไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดา…” สวี่ซูหานก้าวถอยช้าๆ ปากก็พูดขึ้น
ตึง!
เมื่อเสียงสนั่นดังขึ้นครั้งสุดท้าย เงาร่างดำๆ เงาหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่มุมเลี้ยวของอีกฝั่งถนน
“โฮกก!”
เงาร่างดำนั้นพลันแอ่นร่างกายท่อนบนขึ้น พลางยืดคอเปล่งเสียงคำรามดังก้อง
ลูกกระเดือกของหลิงม่อขยับขึ้นลง ปากก๊พึมพำออกมาว่า “นั่นมัน…ตัวอะไรกันเนี่ย?”
“เจ้าเมืองแห่งตงหมิง” มู่เฉินพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
หลิงม่อไม่เคยเห็นซอมบี้อย่างนี้มาก่อนเลยซักครั้ง…
แม้ในสถานการณ์ที่ซอมบี้กลายร่างมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
มันคือซอมบี้เพศชายตัวหนึ่ง ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ไม่สวมรองเท้า สิ่งเดียวที่มันสวมไว้คือกางเกงขาดๆ ซอมซ่อตัวหนึ่งเท่านั้น
แต่แขนขาทั้งสี่ข้างของมันกลับกำยำและดูมีเรี่ยวแรงมากว่าซอมบี้ทุกตัวที่หลิงม่อเคยเจอมา กล้ามเนื้อที่ปูดขึ้นมาเป็นมัดๆ ก็ดูแข็งแรง
ดวงตาสีแดงเลือดอันเย็นชาคู่นั้นจ้องมาทางพวกเขาเขม็ง ในริมฝีปากหนาที่กำลังอ้าออกเล็กน้อย ยังมีเลือดย้อยออกมาสายหนึ่ง
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่สะดุดสายตาผู้คนมากที่สุด ก็คือความสูงของมัน
มันเป็นซอมบี้ยักษ์ที่มีความสูงถึงสามเมตรกว่าเลยทีเดียว…
“ตึง!”
เสียงสนั่นดึงขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับดังมาจากข้างหลัง
มู่เฉินรีบหันกลับไปมอง สีหน้าบูดบึ้งของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแย่สุดขีด “อีกอย่าง…พวกมันเคลื่อนไหวพร้อมกับคู่ครองของพวกมัน”
หลิงม่อก็หันกลับไปดูเหมือนกัน สีหน้าของเขาเองก็แย่ลงเล็กน้อย
อีกฟากของถนน มีซอมบี้ยักษ์เพศหญิงปรากฏขึ้นมาอีกตัว
กล้ามเนื้อที่แข็งแรงเหมือนกัน แล้วยังมีดวงตาที่เหมือนกันอีก…พวกเขาถูกล้อมหน้าล้อมหลังเสียแล้ว
“โฮกก!”
ซอมบี้ทั้งสองตัวประกบหน้าหลัง เปล่งเสียงคำรามก้องขึ้นมาพร้อมๆ กัน
สายตาของพวกมันฉายแววดีใจขึ้นมาทันที และแทบจะก้าวขาพร้อมๆ กัน
“เข้าไปในอาคาร!” หลิงม่อตะโกนสั่งอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ซอมบี้สองตัววิ่งพุ่งเข้ามาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง พวกหลิงม่อก็หันหน้าวิ่งเข้าไปในตึกใหญ่ตึกหนึ่งที่อยู่ข้างทาง
—————————————————————————–