ฉู่หลิวเยว่หันไปมองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่ง สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“เหตุใดผู้อาวุโสถึงชอบให้คนอื่นคุกเข่านัก ท่านคิดว่าเข่าของคนอื่นจะอ่อนเหมือนเข่าของท่านหรือไร”
“เจ้า! เจ้า!”
คำพูดของผู้อาวุโสจุกอยู่ที่อก และรู้สึกหายใจไม่ออกจนหน้าแดงก่ำ
ฉู่หลิวเยว่นี่ช่างสามหาวจริงๆ ถึงได้บังอาจกล่าววาจาเช่นนี้กับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉู่เซียนหมิ่นที่อยู่ด้านข้างนั้นรีบเข้ามาประคองผู้อาวุโสและกล่าวสนับสนุน
“ผู้อาวุโส ท่านอย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะเป็นการไม่ดีต่อสุขภาพ ท่านพี่คง…ช่วงนี้นางอาจคิดไม่ตกถึงได้ทำเช่นนี้…ท่านพี่รีบขอโทษผู้อาวุโสกับใต้เท้าสิเจ้าคะ!”
นางมองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยความร้อนรนเป็นห่วง ราวกับกำลังคิดแทนฉู่หลิวเยว่จริงๆ
“หมินหมิ่น เจ้าไม่ต้องพูดแทนนาง! บาปกรรมนี้ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี มิฉะนั้นคงไม่ทำเรื่องเช่นนี้หรอก!”
ผู้อาวุโสบันดาลโทสะตะคอกใส่นาง
แววตาของฉู่หลิวเยว่เย็นชาเล็กน้อย จากนั้นนางก็เลิกคิ้วแล้วเอ่ยถาม
“ผู้อาวุโส หากข้าสร้างบาปกรรม แล้วคนชั้นน้อยใหญ่ของตระกูลฉู่คืออะไรเล่า ท่านอย่าลืมสิ ข้าเป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่! ถึงอย่างไร ข้าก็อยากได้ยินว่าตกลงข้าทำอันใดให้ผู้อาวุโสโกรธถึงเพียงนี้”
สายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของพวกเขาต่างก็เป็นสายเลือดเดียวกันกับนาง ดูถูกเหยียดหยามกันขนาดนี้ นั่นก็หมายความว่าเหมารวมทั้งตระกูลฉู่เลยมิใช่หรือ
ทันใดนั้นผู้อาวุโสก็พูดอะไรไม่ออก เขาโกรธจัดจนสั่นไปทั้งร่าง
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ เจ้าแอบขายที่ดินพื้นที่ล่าสัตว์ขององค์ชายรัชทายาทให้กับเจินเป่าเก๋อ ตอนนี้คนเขารู้กันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว!”
องค์ชายรัชทายาทส่งคนไปดูแลพื้นที่ล่าสัตว์ตั้งหลายปี กลับกลายไปเป็นของคนอื่นเพียงชั่วข้ามคืน จนกระทั่งในงานเลี้ยงวันเกิดขององค์ชายรัชทายาท องค์ชายและเหล่าข้าราชบริพารกลับถูกสั่งห้ามเข้าไปข้างใน
นี่เป็นเรื่องอับอายขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว!
แต่เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายรัชทายาท ทุกคนจึงไม่กล้าปากพล่อยออกไปต่อหน้าพระองค์
ทว่าลับหลัง เรื่องนี้กับแผ่สยายราวกับปีกนก แพร่สะพัดไปทั่วตระกูลขุนนางชั้นสูงทั้งเมืองหลวงแล้ว!
หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มีผู้คนไม่น้อยเลยที่จดจำได้ว่าฝ่าบาทพระราชทานพื้นที่ล่าสัตว์แห่งนี้ให้กับฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่แรกต่างหาก!
เวลานี้พื้นที่ล่าสัตว์ได้กลายมาเป็นทรัพย์สินของเจินเป่าเก๋อ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกี่ยวข้องกับฉู่หลิวเยว่!
ยามนี้ตระกูลฉู่กลายเป็นเรื่องตลกขบขันของคนทั้งเมืองหลวงแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ลอบคิดในใจ เจินเป่าเก๋อมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่แข็งแกร่งจริง คิดไม่ถึงว่าจะทำให้รัชทายาทยอมศิโรราบได้
คนธรรมดามิสามารถต้านทานอำนาจขององค์ชายรัชทายาท ต่อให้มีโฉนดที่ดินอยู่ในมือ ก็ไม่มีใครสามารถหักหน้าองค์ชายรัชทายาทได้
เจินเป่าเก๋อ…เห็นได้ชัดว่าแม้กระทั่งองค์ชายรัชทายาทก็ไม่กล้าแหย่รังได้ง่ายๆ
หากมีโอกาส นางต้องแอบสืบสักหน่อย…
แม้ฉู่หลิวเยว่จะคิดเช่นนี้ ทว่าสีหน้าของนางกลับไม่เปลี่ยนแปลง
“พื้นที่ล่าสัตว์ตรงนั้นเป็นของข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ข้าจะจัดการเช่นไร ต้องขอความเห็นผู้อื่นก่อนด้วยหรือ”
นางพูดอย่างตรงไปตรงมา ราวกับไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก
ผู้อาวุโสนิ่งค้างไปชั่วขณะ
จ้าวเฉิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
“คุณหนูใหญ่ฉู่หมายความว่า ท่านเป็นฝ่ายต้นคิดเอาโฉนดที่ดินผืนนั้นไปขายใช่หรือไม่”
เดิมทีเขาคิดว่าฉู่หลิวเยว่เบาปัญญา ถูกคนหลอกให้นำที่ดินผืนนั้นไปขาย แต่ตอนนี้ดูท่าทางแล้ว…นางจงใจชัดๆ!
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าสงบนิ่ง
“เช่นนั้นแล้วจะทำไม”
จ้าวเฉิงยืนขึ้นทันที ดวงตาคมกริบจ้องฉู่หลิวเยว่ใกล้ๆ แรงกดดันที่มองไม่เห็นได้ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องทันที!
“ถูกต้องที่โฉนดผืนนั้นระบุชื่อคุณหนูใหญ่ แต่ท่านคงลืมไปอีกหนึ่งเรื่อง ฝ่าบาทพระราชทานพื้นที่ล่าสัตว์นี้ให้ท่านเป็นสินสอด ตามหลักแล้ว มีเพียงทางเดียวคือท่านต้องเป็นพระชายาองค์ชายรัชทายาทเสียก่อน ที่ดินผืนนั้นถึงจะเป็นของท่านโดยสมบูรณ์ ตอนนี้ท่านไม่มีสิทธิ์จัดการโดยพลการ”
ฉู่หลิวเยว่เอียงศีรษะ
“ใต้เท้าจ้าว ดูเหมือนท่านก็ลืมไปเหมือนกัน อีกสองวันก็จะถึงวันเกิดครบรอบสิบสี่ปีของข้า ซึ่งเป็นวันที่ข้า…ต้องเข้าพิธีหมั้นกับองค์ชายรัชทายาท! อีกไม่นานข้าก็จะได้เป็นพระชายารัชทายาทแล้ว ข้าขายพื้นที่ล่าสัตว์ไปแล้วจะมีปัญหาใดเล่า หรือว่า…องค์ชายรัชทายาทมิได้อยากหมั้นกับข้าตั้งแต่แรก”
นางมีสีหน้าใสซื่อ ดวงตาฉายแววมึนงงสับสนเล็กน้อย ราวกับคิดว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่แน่นอนโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
จ้าวเฉิงถึงกับใบ้กินไปครู่หนึ่ง แล้วก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ฉู่หลิวเยว่คนนี้ต้องประสาทเสียไปแล้วแน่ๆ!
นางเป็นแค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ยังคิดที่จะชูคอเป็นพระชายารัชทายาทจริงๆ หรือ
เมื่อฉู่เซียนหมิ่นได้ยินคำว่า “พระชายารัชทายาท” ก็โกรธจนพูดไม่ออกเช่นกัน
ไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตา!
ตอนนี้องค์ชายรัชทายาทยังไม่แสดงท่าทีใดๆ นางยังจะกล้าฝันอีกหรือ!
นางหันเหความคิดทันที จากนั้นมองสีหน้าเคร่งขรึมของจ้าวเฉิงก่อนจะกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ใต้เท้าจ้าวเจ้าคะ ถึงเรื่องนี้ท่านพี่จะทำผิด แต่…”
“ข้าจะทำผิดหรือไม่ ต้องให้เจ้ามาตัดสินด้วยหรือ”
ฉู่หลิวเยว่พูดตัดบทของนาง
ฉู่เซียนหมิ่นเผยสีหน้าเสียใจ รีบบีบน้ำตาออกมาทันที แล้วพูดอย่างน่าสงสาร
“ดูแล้ว…ท่านพี่ยังโกรธน้องอยู่ แต่ท่านพี่ ข้ากับพี่จิ้นไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดจริงๆ…หากเป็นเพราะท่านพี่เข้าใจผิดก็เลยขายที่ดินล่าสัตว์ด้วยความโกรธ เช่นนั้นก็เป็นความผิดของข้าเอง!”
ประโยคนี้ดูเหมือนจะปกป้องฉู่หลิวเยว่ แต่ประโยคนี้จะทำให้คนยิ่งรังเกียจฉู่หลิวเยว่ แล้วคิดว่านางเป็นคนใจแคบหน้ามืดตามัว!
ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่ยิ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ข้าเข้าใจอะไรผิดหรือ คนที่มีสัญญาแต่งงานก็คือข้า ข้ามีอะไรให้ต้องเข้าใจผิดด้วย หรือเจ้าคิดว่าสามารถแย่งสัญญาแต่งงานกับข้าได้หรือ”
ฉู่เซียนหมิ่นหน้าซีดเผือด
ตอนนี้ นางไม่มีสิทธิ์ใดจริง!
ฉู่หลิวเยว่อ้างถึงสัญญาแต่งงาน ช่างหยิ่งผยองเสียจริง
นางก้มหน้าก้มตาด้วยความโศกเศร้าแล้วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
จ้าวเฉิงแสยะยิ้ม
“คิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่จะร้ายกาจถึงเพียงนี้”
ใครไม่ทราบบ้างว่าตอนนี้องค์ชายรัชทายาทกำลังสนใจฉู่เซียนหมิ่น คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่ยังจะกล้าหยิบเรื่องสัญญาแต่งงานนั้นมาพูด
รอจนกว่าองค์ชายยกเลิกสัญญาแต่งงานได้เมื่อไหร่ ดูสิว่านางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
“ในเมื่อคุณหนูใหญ่ไม่อยากได้โฉนดที่ดินผืนนั้นคืนมา เช่นนั้นก็เชิญท่านหาทางอธิบายเรื่องนี้กับฝ่าบาทและองค์ชายรัชทายาทเองเถิด!”
ขณะที่เขาพูดนั้นก็หันไปมองที่ผู้อาวุโสที่และประสานมือเคารพ
“งานเลี้ยงคืนนี้ เชิญผู้อาวุโสพาคุณหนูใหญ่ไปเข้าเฝ้าที่วังด้วย ดีเหมือนกัน…จะได้หารือเรื่องสำคัญของพิธีหมั้นกับองค์ชายรัชทายาท”
ประโยคสุดท้ายมาพร้อมความประชดประชันอย่างปิดไม่มิด
ผู้อาวุโสรีบตกปากรับคำ
“ใต้เท้าจ้าวโปรดวางใจ”
เมื่อจ้าวเฉิงกล่าวเสร็จสิ้นก็หันหลังเดินจากไป
ในขณะที่เดินผ่านฉู่หลิวเยว่ เขาจงใจหยุดครู่หนึ่ง
“คุณหนูใหญ่ฉู่ ท่าน…ระวังตัวเอาไว้ให้ดี!”
เขาปล่อยปราณพิฆาตทั่วร่างกายเขาใส่ฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่มีสีหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังยกยิ้มอ่อน
“ประโยคนี้ ข้าก็ฝากไปบอกรัชทายาทเช่นกัน”
จ้าวเฉิงสบตานาง และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันรุนแรงที่พุ่งเข้ามา
หัวใจของเขาสั่นสะท้าน และเขาก็เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว!
เขาสบถเสียงเย็นชา กำหมัดแน่นแล้วหันตัวก้าวฉับๆ ออกไป
ผู้อาวุโสจ้องฉู่หลิวเยว่ตาแข็ง
“ข้าจะดูสิว่างานเลี้ยงคืนนี้เจ้ายังจะกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้อีกหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่
“ผู้ใดที่จะหัวเราะทีหลังดังกว่าก็ยังไม่รู้เลย”
เมื่อสิ้นเสียงนางก็หันหลังออกไปทันที
“สารเลว!”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วในดวงตาของฉู่เซียนหมิ่น
หลังจากคืนนี้ ตระกูลฉู่และองค์ชายรัชทายาทจะไม่ทนฉู่หลิวเยว่อีกต่อไป!
…
ณ จวนหลีอ๋อง
ขันทีที่มาส่งจดหมายเชิญโค้งคำนับเล็กน้อยและรออยู่ด้านนอกห้องทรงอักษร
ท่ามกลางฤดูร้อนจัดเช่นนี้ทำให้เหงื่อท่วมตัว แต่เขาก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนเผยความไม่เคารพยำเกรง
องค์ชายที่อยู่ข้างในนั้นพึ่งจะเสด็จกลับเมืองหลวง แต่พระยศ “หลีอ๋อง” นี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเขามีน้ำหนักในใจของฝ่าบาทไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไอ้หยา”
เสียงเปิดประตูดังขึ้นมา
องครักษ์หนุ่มสวมอาภรณ์สีดำคนหนึ่งเดินเข้ามา
เขารู้ทันทีว่าคนผู้นี้คือเยี่ยนชิง องครักษ์ข้างกายของหลีอ๋อง เขาจึงรีบทำความเคารพ
“คารวะใต้เท้าเยี่ยน มิทราบว่าท่านหลีอ๋องจะทรงร่วมงานเลี้ยงวันเกิดองค์ชายรัชทายาทในคำคืนนี้หรือไม่ขอรับ”
หลีอ๋องพระองค์นี้เสด็จกลับมาใกล้ครบหนึ่งเดือนแล้ว ก็ไม่เคยเสด็จออกไปที่ไหนอีก บางทีคราวนี้ก็อาจจะ…
“ข้าต้องไปแน่นอน”
เสียงของชายหนุ่มดังมาจากห้องทรงอักษรพร้อมรอยยิ้มจางๆ ทั้งลุ่มลึกและสดใสราวกับหยก
นางไป แน่นอนว่าเขาก็ต้องไปด้วย