ตอนที่ 23 เห็นภูเขามิใช่ภูเขา เห็นแม่น้ำมิใช่แม่น้ำ

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 23 เห็นภูเขามิใช่ภูเขา เห็นแม่น้ำมิใช่แม่น้ำ

‘ตาเฒ่าสองคนนี้ทำแบบนี้หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ? ’

‘หรือว่าพวกเขามีปัญหากับใบชานี่เยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘แต่ใบชานี้ ข้าเย่ฉางชิงเป็นคนปลูกเองกับมือ รสชาติดีอย่าบอกใครเชียว’

เย่ฉางชิงเห็นท่าทางแปลก ๆ ของนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอก็อดนึกสงสัยขึ้นมามิได้

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้คำตอบ

‘ตาเฒ่าสองคนนี้มีฐานะมิธรรมดา ชาที่ดื่มปกติย่อมต้องเป็นชาชั้นดี’

‘แต่ชานี่ข้าแค่ไปเด็ดมาจากต้นชาป่าที่ปลูกเอาไว้ส่ง ๆ ’

‘อีกทั้งข้าก็มิชอบใบชาที่ถูกอบ แต่ชอบชาที่ชงจากใบชาสดที่เด็ดมาจากต้นเสียมากกว่า’

‘คงเป็นเพราะเหตุผลนี้ตาเฒ่าทั้งสองถึงได้มีท่าทางเยี่ยงนี่สินะ’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘ต้องเป็นเพราะเหตุผลนี้เป็นแน่ ! ’

คิดได้ดังนั้นเย่ฉางชิงจึงได้เอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอพร้อมรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนทั้งสองจะมิชอบดื่มชา…”

‘มิชอบ ? ’

‘นี่เป็นชาที่ต้มจากใบรู้แจ้งเชียวนะ ! ’

‘นับแต่โบราณมามีเพียงยอดคนเช่นท่านเท่านั้นที่จะใจกว้างเช่นนี้’

‘ผู้น้อยเช่นพวกเขาสองคน มีสิทธิ์อันใดที่จะเอ่ยคำว่ามิชอบกัน’

‘นอกจากนี้การได้ดื่มชาจากใบรู้แจ้งยังถือเป็นวาสนาใหญ่ในชีวิตเชียวนะ ! ’

เย่ฉางชิงเอ่ยยังมิทันจบ นักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอก็รีบโบกมือปฏิเสธทันทีหลังจากหายตกใจ

นี่เป็นวาสนาที่ผู้อาวุโสเย่มอบให้พวกเขา แล้วพวกเขาจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน ?

“ท่านเย่เข้าใจผิดแล้ว ใบรู้แจ้ง… มิใช่ ใบชานี่แค่ได้กลิ่นข้าก็อยากลองลิ้มรสชาติที่วิเศษของชานี่ดูเสียแล้ว” นักพรตฉางเสวียนเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มกระจ่างชัด

ผู้อาวุโสเย่เอ่ยเองว่าใบรู้แจ้งนี่เป็นใบชา เขาเข้าเมืองตาหลิวก็ต้องหลิวตาตามอยู่แล้ว

หลิวฉางเหอที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

‘หรือว่าสองเฒ่านี่จะมิเคยดื่มชาชนิดนี้กันนะ ? ’

เย่ฉางชิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา พลันเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

เอ่ยจบ เย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ รินชา

ขั้นแรกนั้นเขาเทน้ำร้อนลงในกาน้ำชาอย่างชำนาญ ใช้น้ำแรกล้างถ้วยที่ใช้ดื่มชาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรินทิ้ง หลังจากนั้นก็เทน้ำใส่ในกาอีกครั้ง…

นักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอที่เห็นภาพนี้รู้สึกปวดใจมิน้อย

นี่เป็นชาที่ชงจากใบแจ้งรู้เชียวนะ แม้จะบอกว่าเป็นน้ำแรก แต่ก็เทียบเคียงกับยาวิเศษชั้นยอด

ทว่าผู้อาวุโสเย่กลับรินทิ้งโดยมิลังเลเลยแม้แต่น้อย

‘อู้ฟู่ ! ’

‘ช่างอู้ฟู่อย่างแท้จริง ! ’

‘ทั่วทั้งใต้หล้าเกรงว่าคงมีเพียงผู้อาวุโสเย่ที่ใจกว้างถึงเพียงนี้ ! ’

เย่ฉางชิงรินชาใส่ถ้วยสองใบ ก่อนจะยื่นมาตรงหน้านักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอ

“ทั้งสองท่าน ตอนนี้ลองดื่มดูได้เลยขอรับ” เย่ฉางชิงเอ่ยเชิญด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

นักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอสบตากัน พลันพยักหน้าให้กับเย่ฉางชิงพร้อมรอยยิ้ม แล้วจึงยื่นมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น

ทั้งคู่ค่อย ๆ ละเลียดชา หลังจากเป่าไล่ความร้อนเบา ๆ

แต่ในขณะที่น้ำชาไหลลงสู่ท้องนั้น พลังทั่วทั้งร่างกายรวมถึงเส้นลมปราณสุดยอดทั้งแปดก็เกิดการหมุนเวียนขึ้นมา

ขณะเดียวกันขนทั่วสรรพางค์กายก็ลุกชัน ร่างกายผ่อนคลาย จิตใจปลอดโปร่ง รู้สึกบางเบาราวกับขนนกก็มิปาน

‘ความรู้สึกเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ! ’

‘เป็นชาจากใบแจ้งรู้จริง ๆ ด้วย ! ’

ตอนนี้ทั้งนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอต่างก็รับรู้ได้ถึงวิถี และหลักการบำเพ็ญเพียรที่อยู่ภายในร่างกายตนเอง

หากตอนนี้มิได้อยู่ต่อหน้าเย่ฉางชิงแล้วล่ะก็ ผู้บำเพ็ญตบะขั้นสูงทั้งสองคงจะเริ่มขั้นตอนของการบรรลุไปแล้ว

เย่ฉางชิงเห็นนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอมีท่าทางเคลิบเคลิ้มหลังจากดื่มชาไปหนึ่งอึก ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นอดที่จะเกิดความฉงนขึ้นมามิได้

‘แค่ชาถ้วยเดียวถึงกับดื่มด่ำเพียงนี้เชียวหรือ ? ’

เวลานี้เย่ฉางชิงชักจะเริ่มหมดความอดทนต่อตาเฒ่าทั้งสองแล้ว เขาจึงเลือกหันไปบอกกับลู่อู๋ซวงและเยี่ยนปิงซินพร้อมรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าสองคนอย่ามัวแต่ยืนอยู่ตรงนั้นเลย มานั่งดื่มชาตรงนี้เถิด”

เมื่อถูกเย่ฉางชิงเอ่ยเรียก ในที่สุดลู่อู๋ซวงและเยี่ยนปิงซินก็สามารถดึงจิตวิญญาณออกมาจากภาพวาดได้สำเร็จ

สีหน้าของพวกนางสองคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก หลังจากสบตากันอยู่ครู่หนึ่งจึงได้หมุนตัวเดินมาอย่างเชื่อฟัง

“ท่านเซียน ภาพไท่เสวียนฉางชิงที่ข้าวาดขึ้นใหม่เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” เย่ฉางชิงรินชาอีกสองถ้วย ก่อนจะส่งให้ลู่อู๋ซวงและเยี่ยนปิงซิน พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น

แน่นอนว่าเขาต้องการถามความเห็นของลู่อู๋ซวงนั่นเอง

ส่วนเยี่ยนปิงซินหลังจากได้อยู่ร่วมกันมาหลายวัน ทำให้เขาได้เข้าใจสำนวนสวยใสแต่ไร้สมองได้อย่างถ่องแท้

นอกจากกวาดพื้นแล้ว สตรีที่ทำราวกับว่ารู้ไปซะทุกอย่างผู้นี้ กลับทำอะไรมิเป็นทั้งยังสอนมิจำอีกด้วย

ดังนั้นเย่ฉางชิงจึงตัดสินว่าสติปัญญาของนางนั้นช่างแตกต่างจากหน้าตาจริง ๆ

หากคนในครอบครัวมิคอยระวังเอาไว้ให้ดี หากถูกคนจับตัวไปขาย ดีไม่ดี นางอาจไปช่วยเขานับเงินค่าขายตัวเองก็เป็นได้

“เห็นภูเขามิใช่ภูเขา เห็นแม่น้ำมิใช่แม่น้ำ”

ขณะที่ลู่อู๋ซวงยกชาขึ้นจิบและกำลังครุ่นคิดว่าควรจะวิจารณ์ภาพวาดอย่างไรนั้น เยี่ยนปิงซินก็ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“ท่านเย่ ข้าพูดถูกหรือไม่เจ้าคะ ? ” เยี่ยนปิงซินเอ่ยถามเย่ฉางชิงด้วยดวงตาเป็นประกาย

เย่ฉางชิงหลังจากได้ยินก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม หลังจากเก็บอาการประหลาดใจเอาไว้ได้แล้ว

เขาเพิ่งจะตัดสินนางว่าสติปัญญากับหน้าตาช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้น แต่บัดนี้นางกลับเอ่ยคำวิจารณ์ที่เฉียบแหลมออกมาได้ อย่างที่เขาคาดมิถึง

และคำวิจารณ์ที่เอ่ยออกมานั้นถูกต้องยิ่งนัก

ไม่ว่าจะเป็นอักษรพู่กันหรือภาพวาด ความจริงแล้วล้วนเกิดจากการจัดวาง ก่อนจะทำให้เกิดเป็นมุมมองทางศิลปะที่ลึกซึ้งนั่นเอง

เห็นภูเขามิใช่ภูเขา เห็นแม่น้ำมิใช่แม่น้ำ

ประโยคนี้กล่าวได้ถูกต้องแล้ว

“ดูท่าช่วงที่ผ่านมาความรู้ด้านอักษรและภาพวาดของคุณหนูเยี่ยนจะมีพัฒนาการขึ้นมิน้อย” เย่ฉางชิงเอ่ยชม

เยี่ยนปิงซินยิ้มพรายออกมา “โชคดีที่ได้ท่านเย่คอยให้คำแนะนำด้วยเจ้าค่ะ”

ลู่อู๋ซวงเหลือบมองเยี่ยนปิงซินด้วยความเสียใจที่ถูกชิงตอบคำถามไปเสียก่อน จึงเอ่ยถามเย่ฉางชิงด้วยความระมัดระวังว่า “ผู้อาวุโสเย่ ท่านเคยไปเขาไท่เสวียนหรือไม่เจ้าคะ ? ”

“เขาไท่เสวียนหรือ ? ”

เยี่ยนปิงซินได้ยินดังนั้นก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมามิได้ หลังจากมองสำรวจลู่อู๋ซวงอีกครั้งจึงพูดกับตัวเองในใจว่า ‘ที่แท้ก็เป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธืไท่เสวียนนี่เอง’

เย่ฉางชิงได้ยินคำถามนี้ก็รู้สึกปวดใจ

ในตอนนั้นหลังจากเขาถูกตรวจสอบว่าไร้รากวิญญาณก็รู้สึกมิพอใจอย่างยิ่ง จึงได้เสี่ยงไปสำรวจรอบ ๆ เขาไท่เสวียน หลังจากกลับมาได้มินานก็ได้ลงมือวาดภาพไท่เสวียนฉางชิงขึ้น

ดังนั้นจะว่าไปแล้วภาพไท่เสวียนฉางชิงจึงถือเป็นที่พึ่งพิง และเป็นการปล่อยวางสำหรับเขาด้วย

เดิมทีวันนี้ได้พบลู่อู๋ซวง เย่ฉางชิงก็ตั้งใจว่าจะลองเลียบเคียงถามลู่อู๋ซวงเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรเสียหน่อย

อย่างเช่นว่า

ท่านเซียน ในโลกนี้คนที่มิมีรากวิญญาณสามารถบำเพ็ญเพียรได้หรือไม่ ?

ท่านเซียน ท่านมีวิธีบำเพ็ญเพียรได้โดยมิมีรากวิญญาณหรือไม่ ?

ท่านเซียน มีวิธีกำเนิดรากวิญญาณจากภายในร่างกายหรือไม่ ?

ท่านเซียน ท่านจะยอมบำเพ็ญเพียรกับคนที่มิมีรากวิญญาณได้หรือไม่ ?

“………”

แต่ว่าเวลานี้ลู่อู๋ซวงกลับเอาแต่เรียกเขาว่าผู้อาวุโสเย่ จนเขามิรู้ว่าควรจะเริ่มเอ่ยคำถามเช่นไรกับนางดี

เย่ฉางชิงจึงตอบกลับไปว่า “เมื่อห้าปีก่อนตอนที่ข้าเดินทางผ่านเขาไท่เสวียน ข้าสัมผัสได้ถึงบางอย่างจนเกิดแรงบันดาลใจ จึงได้วาดภาพไท่เสวียนฉางชิงภาพนี้ขึ้น”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ! ”

ลู่อู๋ซวงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แววตามีประกายความเสียใจพาดผ่าน

หากได้รู้จักผู้อาวุโสเย่เร็วกว่านี้คงจะดีมิน้อย !