ตอนที่ 23 เหนื่อยก่อนที่จะได้รักษา

 

เมืองหนานหยางนั้นเป็นเมืองหลวงของมณฑลหนานเจียง และโรงพยาบาลทหารประจํามณฑลก็อยู่ในตัวเมือง และอยู่ในเขตของกองทัพ

 

ทหารเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติ และเป็นเสมือนเสาหลักของประเทศ หากผู้ที่รับราชการทหารเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา จะถูกส่งไปรักษาตัวกับแพทย์ทหารในโรงพยาบาลทหารมากกว่าโรงพยาบาลพลเรือนทั่วไป..

 

แต่ใช่ว่าประชาชนทั่วไปจะไม่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทหารได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นเครือญาติ หรือมีสายสัมพันธ์กับทหาร คนป่วยซึ่งเป็นประชาชนทั่วไป จึงไม่สามารถเดินลุ่มๆเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลทหารได้ เพราะในแต่ละวันมีทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อม ฝึกรบ และจากปฏิบัติภารกิจมากมาย เพราะฉะนั้นในโรงพยาบาลทหารแพทย์จึงต้องให้การดูแลทหารเหล่านี้ก่อน!

 

แต่แน่นอนว่า ด้วยฐานะของภรรยาผู้ว่าการไต่คุน ย่อมต้องพิเศษ และแตกต่างจากประชาชนธรรมดาทั่วไป!

 

ภายในอาคารของโรงพยาบาลทหาร ตั้งแต่ชั้นเก้าลงไปจะเป็นคลินิกผู้ป่วยนอก ไปจนถึงหน่วยงานแผนกต่างๆของทางโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นห้องแล็บ แผนกเอ็กซ์เรย์ แผนกเจาะเลือด และอื่นๆ

 

ส่วนชั้นเก้านั้นเป็นแผนกธุรการ ในขณะที่ชั้นสิบนั้นเป็นห้องทํางานของผู้อํานวยการโรงพยาบาล

 

ก่อนที่ฉีเล่ยจะมาที่นี่ ต่งซีหยุนและไต่คุนได้มาพบนายทหารระดับสูงของที่นี่ก่อนแล้ว และได้บอกกล่าวเรื่องที่นี่เลยจะมาให้รู้คร่าวๆ ไม่เช่นนั้น ชายหนุ่มก็คงจะไม่สามารถผ่านประตูค่ายทหารข้ามาได้ง่ายๆแน่ เพราะถ้าเป็นเรื่องง่ายอย่างนั้น ต่อไปคงจะมีผู้คนเดินเข้าเดินออกค่ายทหารกันได้อย่างง่ายดายเป็นแน่

 

อีกทั้ง โรงพยาบาลทหารประจํามณฑลหนานเจียงนั้น ยังไม่มีธรรมเนียมให้แพทย์แผนโบราณจากภายนอก ซึ่งไม่มีแม้แต่ใบรับรองเข้ามายุ่มย่ามภายในด้วย

 

ฉะนั้นแล้ว เพื่อให้เกิดความสะดวกกับฉีเล่ย อาวุโสต่งจึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้น เพื่อให้ฉีเล่ยเข้ามาในโรงพยาบาลแห่งนี้ในฐานะแพทย์ฝึกหัด

 

แต่ดูเหมือนจดหมายฉบับนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก เพราะภายในค่ายทหารย่อมมีกฎระเบียบภายใน แม้แต่ตัวผู้ว่าการไต่คุนเองยังต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเช่นกัน

 

ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ได้มีฐานะเป็นแพทย์ฝึกหัดจริง การที่ฉีเล่ยซึ่งเป็นคนนอก จะเข้าไปยุ่มย่ามกับผู้ป่วยคนสําคัญของโรงพยาบาล ก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นจะสามารถอธิบายเรื่องนี้ให้กับแพทย์ผู้เชียวชาญท่านอื่นๆฟังได้อย่างไรกัน..

 

แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีแพทย์ทหารในวัยกลางคนผู้หนึ่งเป็นคนนําฉีเล่ยเข้าไป และทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่นดี จนกระทั่งเมื่อไปถึงจุดตรวจสอบประวัติ

 

ฉีเล่ยเป็นแพทย์แผนจีนโบราณ แต่ในโรงพยาบาลทหารแห่งนี้ แผนกแพทย์แผนจีนเป็นเพียงแผนกเล็กๆเท่านั้น และในแผนกนี้ก็มีแพทย์แผนจีนอยู่เพียงแค่ห้าท่าน ตามกฎระเบียบของโรงพยาบาล แพทย์แต่ละคนจะสามารถรับแพทย์ฝึกหัดเข้ามาได้เพียงท่านละสองคนเท่านั้น

 

“ทําไมคุณหมอไม่นำจดหมายฉบับนี้ ขึ้นไปให้ท่านผู้อํานวยการอนุมัติเองล่ะครับ?”

 

เจ้าหน้าฝ่ายบุคคลท่านนั้นเอ่ยแนะนําด้วยสีหน้ากังวลใจ เขาเองก็ไม่กล้าที่จะอนุญาตสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะอาการป่วยของภรรยาผู้ว่าการไต่คุนนั้นไม่ใช่เล็กๆ และจนปานนี้ก็ยังดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

 

ผู้อํานวยการเองก็ดูเหมือนจะไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก ที่ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีไหน คนไข้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะอาการดีขึ้นได้เลย จึงทําให้หมอวัยกลางคนท่านนี้ไม่กล้าขึ้นไปรบกวนท่านผู้อํานวยการ ด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆเพียงแค่นี้นี้ เพราะเกรงว่า หากผู้อํานวยการไม่พอใจขึ้นมา เขาเองก็อาจจะมีปัญหาได้ง่ายๆเช่นกัน

 

เมื่อได้เห็นสีหน้ากังวลใจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล และแพทย์ทหารวัยกลางคนผู้นั้น ฉีเล่ยจึงเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

 

เขาไม่ได้ต้องการมาทํางานที่นี่ หรือไม่แม้แต่จะต้องการมาเป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย เขาเพียงแค่ต้องการมารักษาภรรยาของท่านผู้ว่าไต่คุน ตามคําร้องขอของต่งซีหยุนเท่านั้น

 

แต่กลับกลายเป็นว่า เขาต้องถูกตรวจสอบประวัติมากมาย และในที่สุดก็ไม่สามารถผ่านขั้นตอนที่วุ่นวายซับซ้อนของทางโรงพยาบาลไปได้

 

บางครั้งบางครา ทุกคนต่างก็ติดอยู่กับกฎระเบียบมากเกินไป จนกระทั่งลืมความเจ็บป่วยของคนไข้ไปเสียสนิท..

 

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดแพทย์ทหารวัยกลางคนผู้นั้นก็พูดขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณทําเหมืนที่เคยทํา ผมจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง!”

 

เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลพยักหน้าอย่างเข้าใจ และหันไปบอกชายวัยกลางคนว่า “ได้ครับท่านหัวหน้าจาง!”

 

นายแพทย์วัยกลางคนผู้นี้ชื่อว่าจาง เป็นแพทย์หัวหน้าแผนกโรคทางเดินอาหาร เขาได้เห็นจดหมายที่ฉีเล่ยนำมาให้ดู แล้ว และรู้ว่า ผู้ที่เขียนจดหมายฉบับนี้มีความสนิทสนมกับผู้ว่าการไต่คุนมานานหลายปี

 

แม้ว่ากฎระเบียบจะมีอยู่ แต่ชีวิตคนก็สําคัญ..

 

จํานวนแพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาลมีอยู่มากมาย แล้วก็ลดๆเพิ่มๆอยู่ตลอดเวลา หมอภายในโรงพยาบาลส่วนใหญ่ ก็แอบรับแพทย์ฝึกหัดเกินโควต้าอย่างเงียบๆก็มี ทุกคนต่างก็รู้กัน แต่ไม่มีใครพูดออกมา

 

หลังจากดําเนินการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในที่สุด ฉีเล่ยก็ได้รับบัตรประจําตัวเป็นแพทย์ฝึกหัด และเสื้อกราวน์หมอสีขาวมาจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล

 

ฉีเล่ยรู้สึกเหนื่อยล้า และหมดแรงไปกับขั้นตอนที่ยุ่งยากตั้งแต่ยังไม่ได้พบคนไข้ด้วยซ้ำไป เดี๋ยวก็ไปแผนกโน้น เดี๋ยวก็ไปแผนกนี้ ชายหนุ่มต้องเดินพิธีการตามขั้นตอนต่างๆ และรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากกว่าลงมือรักษาคนไข้เสียอีก

 

และเวลานี้ เขาก็อยากจะรีบๆ เข้าไปรักษาสุภาพสตรีอันดับหนึ่งให้เสร็จเร็วๆ จะได้รีบๆไปจากสถานที่บ้าๆนี่เสียที!

 

หลังจากที่เห็นฉีเล่ยสวมเสื้อกราวน์สีขาว จางฝูก็ถึงกับแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับกระเช้าชายหนุ่มว่า

 

“นี่เธอเป็นคนแรกเลยนะ ที่เข้ามาเป็นแพทย์ฝึกหัดด้วยเส้นสายของท่านผู้ว่า วันข้างหน้าได้ดิบได้ดีก็อย่าลืมฉันด้วยล่ะ! ฮ่าๆๆๆ”

 

แต่ในระหว่างที่ฉีเล่ยกําลังจะอธิบายให้คุณหมอจางฟังว่า เขาไม่ได้ต้องการที่จะเข้ามาทํางานในโรงพยาบาลแห่งนี้ เขาเพียงแค่จะมารักษาคนไข้ ตามที่มีคนร้องขอเท่านั้น แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ทันอ้าปากพูดอะไร เสียงของใครบางคนก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

 

“หัวหน้าจาง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งใกล้จะมาถึงแล้วครับ!”

 

หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น จางฝูจึงรีบเดินตรงไปที่ลิฟท์ทันที พร้อมกับร้องตะโกนบอกเลยว่า

 

“ฉีเล่ยตามฉันไปรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่กําลังจะมาถึงเร็วเข้า เขาก็มาดูอาการของภรรยาผู้ว่าการไต่คุนเหมือนกัน!”

 

ฉีเล่ยได้ยินก็ถึงกับหงุดหงิดขึ้นมาทันที และถึงกับบ่มพิมพ์อยู่ในใจอย่างหัวเสีย…

 

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? ฉันมาที่นี่เพื่อรักษาคนไข้ รีบๆพาฉันไปพบคนไข้จะได้มั้ย?”

 

“แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งมาที่นี่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน? ทําไมฉันจะต้องตามไปรับด้วย? หรือเขาคิดว่าฉันเป็นหมอฝึกงานที่นี่จริงๆ?”

 

แต่ถึงอย่างนั้น ฉีเล่ยก็ได้แต่เดินตามจางฝูเข้าไปในลิฟท์..

 

แต่ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะรู้สึกหงุดหงิดรําคาญใจกับระบบของทางโรงพยาบาล แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องการรู้ว่า ที่นี่จะซับซ้อนวุ่นวายสักเพียงไหนเชียว?

 

แต่ฉีเล่ยกลับไม่รู้ตัวว่า การตัดสินใจของเขาในครั้งนี้ กําลังจะนําเขาเดินไปสู่เส้นทางที่แม้แต่เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน!

 

เวลานี้ สนามสี่เหลี่ยมหน้าอาคารของโรงพยาบาล มีผู้คนรวมตัวกันอยู่อย่างมากมาย นอกจากหัวหน้าแผนกต่างๆแล้ว แม้แต่ผู้บริหารระดับสูงของทางโรงพยาบาลก็ยังมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

 

ผู้อํานวยการจ้าวโจวเฉินยืนอยู่หน้ากลุ่มคน พร้อมกับเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าท่าทางกระวนกระวายใจ ในระหว่างที่รอการมาถึงของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านี้

 

จางฝูเข้าไปยืนอยู่แถวหลังสุด เขาหันไปพูดกับหมอคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ “คราวนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่งมาถึงเร็วจริงๆ”

 

“คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเขามารักษาใคร?”

 

หมอท่านนั้นหันไปตอบพร้อมกับทําหน้าพยักเพยิด ก่อนจะพูดต่อในทันที “ผมได้ยินมาว่า เขาเดินทางมาด้วยเฮลิคอปเตอร์ของทหาร..”

 

จางฝูไม่พูดไม่จาอีก และได้แต่แอบภาวนาอยู่ในใจว่า ครั้งนี้ขอให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถหาแผนการรักษาที่ได้ผลที่เถิด..

 

และหากเปรียบเทียบกับฉีเล่ย ซึ่งเพื่อนสนิทของผู้ว่าการไต่คุนแนะนํามาแล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มาจากปักกิ่งนั้นดูน่าเชื่อถือกว่ามากเลยทีเดียว!

 

ที่ผ่านมา ภรรยาของผู้ว่าการไต่คุนก็ได้รับการผ่าตัดมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล!

 

การรักษาที่ผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในระหว่างการรักษา แต่ก็ต้องดูว่าคนไข้เป็นใคร เวลานี้คนไข้เป็นถึงสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของมณฑล มีหรือที่จ้าวโจวเฉินจะแบกรับความผิดชอบได้ไหว หากเกิดความผิดพลาดขึ้นจริงๆ

 

ผู้อํานวยการโจวซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทีมแพทย์ที่รักษาภรรยาของผู้ว่าไต่คุน ก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้มีการผ่าตัด และหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น เขาจะรับผิดชอบไหวได้อย่างไรกัน?

 

แต่ฉีเล่ยนั้นไม่รู้เรื่องราวเหล่นี้มาก่อน เขาจึงได้แต่ยืนอยู่ด้านหลังเงียบๆ และได้แต่นึกขบขันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

 

และหลังจากที่ได้ยินได้ฟังบทสนทนาของหมอคนอื่นๆ ฉีเล่ยก็เริ่มอยารู้อยากเห็นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

 

“ถึงกับต้องนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาอย่างรีบเร่งขนาดนี้ อยากรู้จังว่า คนไข้มีอาการอย่างไรบ้าง? หนักหนาขนาดนั้นเชียวเหรอ?”