บทที่ 10 หลินเป่ยเฉิน...เรามาคุยกันฉันมิตรดีกว่า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 10 หลินเป่ยเฉิน…เรามาคุยกันฉันมิตรดีกว่า

“แม่งเอ๊ย”

“ไอ้แก่สารพัดพิษ!”

“นี่มันกล้าพูดได้ยังไงว่าตัวเองซื่อสัตย์น่ะ หา!”

พวกเขาได้ตั้งข้อตกลงกันอย่างชัดเจนว่า หากใครจะเข้ามาก่อปัญหากับหลินเป่ยเฉิน หวังจงต้องแสร้งทำตัวเป็นข้ารับใช้ผู้แข็งแกร่ง เพื่อขู่ให้บรรดาศิษย์ที่ไม่เคยเจอกับการประลองนอกสถานศึกษามาก่อนและยังคงเป็นเด็กตาขาวซื่อ ๆ เหล่านั้นหวาดกลัวจนหัวหด

ก่อนหน้านี้ ชายชราถึงกับตบอกสาบานด้วยความภาคภูมิ ว่าหากใครจะเข้ามามีเรื่องกับเขาแล้วละก็ จะยอมเป็นคนโดนรุมบาทาแทนหลินเป่ยเฉินเอง

แล้วตอนนี้ล่ะ

หายหัวไปไหนแล้ว!

ไม่ได้มีความรับผิดชอบใด ๆ เลยสักนิด

หลินเป่ยเฉินถึงกับยืนเคว้งคว้างอ้างว้างอยู่ตรงนั้น

“บ้าเอ๊ย! ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย”

“ต้องชักกระบี่สู้จริง ๆ งั้นเหรอ”

ถึงแม้เมื่อคืน เด็กหนุ่มจะได้ทำการฝึกฝนกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตมาอย่างดีแล้วด้วยเจ้าโทรศัพท์เครื่องนั้น แต่สุดท้าย เขาก็ยังเป็นเพียงไอ้ลูกแหง่ติดเกมจากโลกมนุษย์ ไม่เคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้ใด ๆ เลย ว่ากันตามตรงในฐานะของพลเมืองที่อยู่ภายใต้กฎหมายมาตลอด ร่างกายเขาไม่พร้อมที่จะสู้กับใครด้วยกระบี่เลยสักนิด

เหล่าศิษย์รอบ ๆ ต่างโห่ฮาและพากันขำกลิ้ง

“เอาเลย คลานลอดใต้ขาเขาเลย”

“คลานและเลียฝุ่นที่รองเท้าเขาให้เกลี้ยงซะด้วยนะ”

“มัวยืนมองอยู่ทำไม เอาเลยซี่”

“เจ้าลูกหมา เร็วเข้า”

“นี่เจ้าคิดว่าตัวเองยังเป็นลูกชายของขุนนางนักรบสวรรค์อยู่หรือไง”

บรรดาคนที่มากับเฝิงหลุนนั้น ได้ถูกบอกบทไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเขาโห่ร้องและด่าทอหลินเป่ยเฉินออกมาเสียงดังด้วยบรรดาคำพูดที่เจ็บแสบที่สุด

เฝิงหลุนสุดแสนจะภาคภูมิใจกับสิ่งที่เห็น

เขาตัดสินใจยกระดับการยั่วโมโหขึ้นอีกสักหน่อย ท่ามกลางเสียงกู่ก้อง เด็กหนุ่มชักกระบี่ของตนออกมา ชี้ไปที่หน้าของหลินเป่ยเฉิน “เจ้าลูกเต่า” เขาเอ่ย “บิดาเจ้าน่ะมันเป็นทรราชละทิ้งหน้าที่ และเจ้าก็เป็นลูกเต่าตาขาว ถ้าหากสถานศึกษานี้ไม่มีกฎว่าห้ามฆ่ากัน วันนี้เจ้าคงโดน…”

ก่อนที่เขาจะพูดอะไรจบ บางสิ่งก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

“ซู่ววว…”

รอยวิถีโค้งของกระบี่ปรากฏขึ้น

“แกร๊ง!”

มีบางอย่างทำให้เฝิงหลุนตกใจขึ้นมา ก่อนที่ข้อมือของเขาจะสั่นระรัว และทำให้จู่ ๆ กระบี่ก็ร่วงหลุดออกไปจากมือโดยไม่รู้ตัว

“ซู่ววว…”

รอยวิถีโค้งของกระบี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เด็กหนุ่มถึงกับอกสั่นขวัญแขวนแล้ว

เฝิงหลุนก้มหน้ามองหน้าอกตนเอง

ปลายกระบี่สีเงินนั่นเจาะทะลุเสื้อผ้าของเขาและจรดอยู่ที่หน้าอก รอยหยดเลือดไหลลงมาตามกระบี่ กระจายเป็นดวงกว้างราวกับสีชาดของบุปผาเปรอะไปตามเสื้อผ้าของเขา

และผู้ที่ถือกระบี่จรดอกเขาอยู่นั่นก็คือ…หลินเป่ยเฉิน!

“น…นะ…นั่นมัน…”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“นี่ข้า…”

“ต้องพ่ายแพ้ให้กับ…”

“หลินเป่ยเฉินงั้นรึ?”

“เขามันก็แค่เศษขยะประจำเมือง เขามัน…”

“เขาแข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง!”

หัวใจของเฝิงหลุนถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ

สองตามองไปยังหลินเป่ยเฉินด้วยความพิศวงงงงวย

หลินเป่ยเฉินเองก็ตกใจเช่นกัน

“นี่มันบ้าอะไรกันนี่!”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินไม่ปรากฏภาพสะท้อนของสิ่งใดเลย

แต่จากมุมมองของเฝิงหลุนผู้ที่กำลังอกสั่นขวัญแขวน แววตาว่างเปล่าของหลินเป่ยเฉินนั่นดูต่างออกไปมาก

หลินเป่ยเฉินดูเย็นชาและต่างไปจากเดิมราวกับเป็นมือสังหารเลือดเย็นไม่มีผิด โดยเฉพาะเมื่อแววตาของเขาไม่ได้จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษ ช่างเป็นแววตาราวกับไม่ได้มองผู้อื่นเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อด้วยซ้ำ

น่ากลัวอะไรอย่างนี้

ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินในตอนนี้ ดูราวกับมือสังหารผู้โหดเหี้ยมที่ฆ่าคนมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน

“นี่ข้า…กำลังสู้อยู่กับใครกันแน่นะ”

“ละ…หลินเป่ยเฉิน จะ…ใจเย็นก่อน เรามาคุยกัน…ฉันมิตรดีกว่า”

ในที่สุดจิตใจของเฝิงหลุนก็ทนไม่ไหว

แล้วเทพธิดาประจำใจเขาล่ะ? เฝิงหลุนต้องทำตามความปรารถนาของนางไม่ใช่หรือ

ช่างปะไร ลืมเรื่องนั้นไปก่อน

ตอนนี้ การมีชีวิตรอดสำคัญที่สุด

เฝิงหลุนเย็บวาบไปทั้งตัวจนแทบจะต้องคุกเข่าลงร้องขอชีวิต

เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ

เพราะปลายกระบี่นั้นจรดอยู่ที่หน้าอกตลอดเวลา

เด็กหนุ่มกลัวว่าการเคลื่อนไหวแม้เพียงนิดเดียวของเขานั้น จะทำให้หลินเป่ยเฉินเข้าใจผิด และอาจแทงกระบี่เข้ามาอีกนิ้ว เจาะไปกลางหัวใจและฆ่าเขาทิ้งเสีย

ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างยืนนิ่งด้วยความคาดไม่ถึง

ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันนิ่งอึ้ง

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน

เฝิงหลุนเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์

ถึงแม้จะเป็นเพียงขั้นแรก แต่ก็ถือว่ามีความเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว

แต่ใครจะไปคาดคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์เช่นเขา จะถูกเอาชนะจากคนโหลยโท่ยผู้เป็นที่โหล่ของห้อง 9 ไม่สิ…ของทั้งชั้นที่ปี 2 เสียด้วยซ้ำ!

ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าวิชาที่หลินเป่ยเฉินใช้นั้นคืออะไร

เพราะเด็กหนุ่มชักกระบี่ออกมารวดเร็วเกินไป

เขาขยับตัวเร็วเกินไป

ราวกับสายฟ้าฟาด

ศิษย์โดยรอบทุกคนต่างงุนงงกับความว่องไวนั้น และเมื่อรู้ตัวอีกที คมกระบี่ของหลินเป่ยเฉินก็ได้ไปจรดอยู่ที่หน้าอกของเฝิงหลุนแล้ว

เขาช่างแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้

“ละ…หลินเป่ยเฉิน จะ…เจ้าอย่าวู่วามไปเลย”

“การฆ่ากันน่ะ มะ…มันผิดกฎของสถาบันเรานะ”

“หยุดเถอะ หลินเป่ยเฉิน เรามาคุยกันดี ๆ ดีกว่า”

บรรดาลื่วล้อของเฝิงหลุนต่างก็หวาดกลัวและไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปจัดการกับหลินเป่ยเฉินหรือพูดอะไรออกมาเลยสักคน พวกเขากลัวว่าหากหลินเป่ยเฉินหุนหันฆ่าเฝิงหลุนตายเสีย พวกเขาจะต้องถูกกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุแน่ ๆ

เดี๋ยวก่อนนะ?

นี่พวกเขากำลังพนันกันว่าหลินเป่ยเฉินกล้าพอที่จะฆ่าเฝิงหลุนได้หรือไม่งั้นหรือ

ให้ตายเถอะ!

บัดนี้ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

ยิ่งมีข่าวลือว่าหลินเป่ยเฉินป่วยเป็นโรคประสาทด้วยแล้ว ไม่แน่เขาอาจทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดก็ได้!

หัวใจของบรรดาผู้เฝ้ามองแต่ละคนนั้น แทบจะหลุดออกมาจากอก

และในที่สุด หลินเป่ยเฉินผู้เป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด ก็ได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง

เอ๋?

ตอนนี้…

ตอนที่เฝิงหลุนชี้กระบี่ใส่หน้าเขา ร่างกายของหลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนถูกคุกคาม และสติสัมปชัญญะก็เหมือนจะดับวูบลงไปในพริบตานั้น ร่างกายพลันตอบสนองไปเอง ก่อนที่สมองจะออกคำสั่งเสียอีก

หลินเป่ยเฉินชักกระบี่ออกมาตอบโต้กลับไปโดยไม่รู้ตัว

ด้วยขั้นตอนการตวัด ฟันและแทง

ราวกับว่า…

นี่คือกระบวนท่าของวิชากระบี่สามพิฆาตอย่างไรอย่างนั้น

ตวัด หมายถึงการตวัดกระบี่ขึ้นมา แล้วพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ด้วยความรวดเร็ว

ฟัน หมายถึงการตัดสินใจอย่างว่องไวที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด และประหยัดพลังงานมากที่สุด ในการฟันกระบี่ใส่ฝ่ายตรงข้าม

แทง หมายถึงการประชิดโจมตีคู่ต่อสู้อย่างเฉียบขาด ตรงจุด และสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด

ขั้นตอนการตวัด ฟันและแทง เป็นหัวใจหลักของกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาต

มันเป็นท่าพื้นฐานที่สุด หากแต่เป็นกระบวนท่าที่ยากที่สุดเช่นกัน

และในความเป็นจริง หากผู้ใช้กระบวนท่านี้ไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอ ก็จะไม่สามารถควบคุมกระบวนท่าของตนได้ ส่งผลให้การโจมตีคู่ต่อสู้ก็จะล้มเหลว

ผู้ฝึกฝนจำเป็นต้องเข้าใจในกลวิธีการใช้กระบวนท่านี้อย่างถ่องแท้ อีกทั้งยังต้องผ่านการฝึกฝนเป็นร้อยหนพันหน จนกว่ากระบวนท่านี้จะถูกซึมซับเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับผู้ฝึกราวสัญชาตญาณที่อยู่ในจิตใต้สำนึก และเมื่อสามารถใช้กระบวนท่านี้ในการต่อสู้จริงได้อย่างยืดหยุ่น ถึงจะถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีสมบูรณ์แบบ

ขณะนี้ กระบวนท่าของหลินเป่ยเฉินสมบูรณ์แบบทุกกระเบียดนิ้ว

ซึ่งหมายความว่ากระบวนท่าเหล่านี้ ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณเขาเรียบร้อยแล้ว

เด็กหนุ่มสามารถใช้กระบี่ได้ดีกว่าที่ตนเองคิดไว้เสียอีก

“ให้ตายเถอะ ใช้โทรศัพท์ช่วยฝึกนี่โคตรโกงสุดยอด”

หลินเป่ยเฉินคิดในใจด้วยความปลื้มปีติ

ถ้าหากเมื่อคืนเขาได้ทำการบรรลุขั้นสุดยอดในการฝึกฝนกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตแล้วนั้น แปลว่าในตอนนี้ เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในกระบวนท่านี้แล้วน่ะสิ

พลังของกระบวนท่าทั้ง 3 แข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก

แม้แต่เฝิงหลุนผู้เป็นผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ ก็ยังดูกลายเป็นเด็กอ่อนหัดไปเลยเมื่อเทียบกับเขา

นี่หลินเป่ยเฉินประเมินพลังของกระบวนท่านี้ต่ำไป ไม่สิ…เขาประเมินพลังของโทรศัพท์นี่ต่ำไปหรือเปล่านะ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม…

ขณะนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกพอใจมาก!

“คุยกันฉันมิตรงั้นเหรอ?”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนตัวชั่วร้าย “ก็ตอนที่ข้าพยายามจะคุยแบบฉันมิตรกับเจ้า เจ้าก็ปฏิเสธแบบไม่มีเยื่อใย ตอนนี้กระบี่ของข้ากำลังโกรธแค้นถึงขีดสุด เจ้ากลับเพิ่งมาบอกว่าอยากจะรับข้อเสนอของข้าอย่างนั้นหรือ?”

“ชะ ใช่แล้ว ข้ายอมรับข้อเสนอนั่น”

เฝิงหลุนแค่นยิ้ม หากแต่ในใจนั้นคร่ำครวญไม่ได้หยุดว่า

“อย่าเพิ่งหัวเราะได้ไหม เจ้าบัดซบ”

“เวลาเจ้าหัวเราะ กระบี่ในมือเจ้ามันก็สั่นไปด้วย”

“อย่าลืมสิว่าปลายกระบี่ของเจ้ายังจ่ออยู่กับอกข้านะ”