พอครุ่นคิดถึงนามของซูอวี้เหิงและตัวนางเอง ล้วนไล่เรียงลงมาจากนามของบุตรีภรรยาเอก บุตรีภรรยาเอกและบุตรีอนุภรรยาของจวนติ้งโหว ล้วนเขียนขึ้นต้นด้วยหมวดนำอักษรจีนว่า หญ้า ทว่านามของนางเยี่ยนอวี่ และน้องสามเชวี่ยหวา ต่างมีตัวอักษรคำว่า ปักษา เพียงแต่ว่าการตั้งนามนั้นมีความหมายโดยนัยแฝง บุตรีภรรยาเอกคือหงส์ ส่วนบุตรีอนุภรรยาคือนกนางแอ่นและนกกระจอก
ดูเหมือนกฎระเบียบขององค์หญิงใหญ่จะดีกว่าจริงๆ เมื่อเทียบกับจวนติ้งโหวและจวนข้าหลวงใหญ่ ด้วยเหตุนี้เหยาเยี่ยนอวี่จึงแน่ใจอย่างยิ่งว่านางควรระมัดระวังตัวให้ดี ตอนที่อยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกง นางไม่อาจเดินผิดแม้เพียงก้าวเดียว เพราะอาจถูกคนจับผิดได้ หลังจากนี้ทุกย่างก้าวของนางล้วนลำบากแน่นอน
หันหมิงชั่น เป็นเหมือนที่เหยาเฟิ่งเกอกล่าวเอาไว้ เป็นสตรีที่อ่อนโยนและใจกว้าง ลักษณะนิสัยของนางมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกับซูอวี้เหิง ทั้งสองล้วนเป็นคนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อย
เพียงแต่รูปโฉมของหันหมิงชั่นด้อยกว่าเล็กน้อย นางไม่ได้มีเสน่ห์ดึงดูดใจเหมือนกับซูอวี้เหิง อีกทั้งคางด้านซ้ายของนางมีรอยแผลเป็น แม้ว่ารอยแผลเป็นนั้นจะไม่เห็นชัดเจน ทว่ากลับบั่นทอนความงดงามของนาง
เป็นเพราะเหตุนี้ ความใจกว้างและการวางตัวที่รู้มารยาทของนางทำให้นางดูสูงส่งมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่พูดคุยกับนางไปครู่หนึ่ง ก็ครุ่นคิดในใจว่านางสมกับที่เป็นบุตรีของท่านกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่ บุตรีในตระกูลทั่วไปไม่อาจเทียบได้กับนิสัยใจคอของนาง
งานในครั้งนี้มีผู้มาเข้าร่วมไม่น้อย มีบุตรีภรรยาเอกของเฉิงอ๋อง บุตรีภรรยาเอกและบุตรีอนุภรรยาเยี่ยนอ๋อง บุตรีภรรยาเอกคนโตและคนรองของจิ้งโหว บุตรีภรรยาเอกคนรองและบุตรีอนุภรรยาแห่งจวนอันกั๋วกง บุตรีภรรยาเอกเฝินหยางปั๋ว บุตรีภรรยาเอกคนรองและบุตรีอนุภรรยาแห่งจวนอัครเสนาบดีล้วนมากันทั้งหมด พวกนางรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงฮ่วงเย่ว์ขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในสวนหย่อมด้านหลังจวนเจิ้นกั๋วกง สตรีทั้งหลายหัวเราะและพูดคุยกันอย่างร่าเริงและครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง
ซูอวี้เหิงพาเหยาเยี่ยนอวี่ไปแนะนำให้คุณหนูแต่ละจวน ในกลุ่มของพวกนางมีทั้งคนที่อาวุโสกว่าและคนที่อายุอ่อนกว่า
เหยาเยี่ยนอวี่ดมกลิ่นเครื่องประทินผิวทั้งหลายจนทำให้รู้สึกเวียนหัวและลายตา นางอยากจะวิ่งออกไปจากที่แห่งนี้ เพื่อหาที่เงียบๆ แล้วสูดอากาศบริสุทธิ์ แต่นางกลับทำได้เพียงอดทน ทำได้เพียงยิ้มแล้วกล่าวทักทายบรรดาคุณหนูที่ซูอวี้เหิงแนะนำให้รู้จัก
โบราณว่าเอาไว้ พันคนพันสันดาน หมื่นคนหมื่นนิสัย
หันหมิงชั่นเป็นสตรีที่มีความใจกว้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณหนูจากจวนต่างๆ จะใจกว้างเช่นเดียวกับนาง เมื่อตอนที่ซูอวี้เหิงแนะนำเหยาเยี่ยนอวี่ให้กับบุตรีภรรยาเอกของเฉิงอ๋องนามอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ อวิ๋นเหยาทำเพียงยิ้มอย่างเย็นชา ทว่าไม่เหลียวมองเหยาเยี่ยนอวี่แม้เพียงน้อย
ซูอวี้เหิงขมวดคิ้วเป็นปม ทว่าไม่ได้เรียกร้องอะไร เพียงดึงตัวเหยาเยี่ยนอวี่เดินหมุนตัวหันหลังไปอีกทาง จากนั้นบีบมือของเงียบๆ
เหยาเยี่ยนอวี่มองไปที่นาง จากนั้นยกยิ้มเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก ไม่จำเป็นต้องโมโหเพราะเรื่องแค่นี้’
ซูอวี้เหิงคลี่ยิ้ม แล้วจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่เดินไปที่ใต้ต้นกล้วยที่ปลูกรวมกันเป็นกลุ่มภายในสวน จากนั้นพูดด้วยเสียงเบา “นางมีฐานันดรศักดิ์เป็นถึงจวิ้นจู่ จึงมีความทะนงตัวเล็กน้อย”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “ข้ารู้ ไม่เป็นอะไรหรอก” เป็นจวิ้นจู่แล้วอย่างไรเล่า? ข้าไม่ได้หาเรื่องนาง และยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ไม่ได้ขอร้องอะไรนาง ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขก็เพียงพอแล้ว
ขณะที่เหยาเยี่ยนอวี่กำลังเดินเล่นรอบจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่นั้น นางกลับไม่รู้เลยว่าบุตรชายและบุตรีของภรรยาเอกคู่หนึ่งกำลังพูดถึงนางอยู่ในเรือนฉีเสียง
เหยาเหยียนอี้นั่งเงียบและฟังเหยาเฟิ่งเกอเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ เขาทำเพียงลูบจับฝาถ้วยน้ำชาเล่นแล้วไม่พูดไม่จาอยู่นาน
เหยาเฟิ่งเกอเอ่ยถามด้วยเสียงเบา “สิ่งที่น้องสาวไม่อาจตัดสินใจในเวลานี้ก็คือ ควรให้นางออกไปจากจวนโหวหรือจะเก็บนางเอาไว้ในจวนดี แต่หากให้นางออกไปจากจวน น้องคงรู้สึกไม่สบายใจ นางเป็นผู้ช่วยชีวิตน้องเอาไว้ แต่คล้ายว่าที่แห่งนี้ของน้องไม่สะดวกให้นางอาศัยอยู่ต่อ ทว่าในทางกลับกัน หากไม่ให้นางออกจากจวน ความรู้สึกที่คุณชายสามมีต่อนางนั้น น้องเกรงว่าคงจะมีเรื่องบัดสีเกิดในไม่ช้าก็เร็วแน่นอน”
มองดูเหยาเหยียนอี้ครุ่นคิดแต่ไม่ว่ากล่าวสิ่งใด เหยาเฟิ่งเกอจึงพูดต่อ “การที่นางกลายเป็นอนุภรรยาของคุณชายสาม สำหรับน้องนั้นเป็นเพียงการเพิ่มคนขึ้นมาอีกคนเท่านั้น ถึงอย่างไรเสียในเรือนของน้องก็มีทั้งอนุทั้งเมียบ่าวอยู่ไม่น้อย หากจะมีเพิ่มอีกสักคนก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งนี้จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตระกูลพวกเรา วันข้างหน้าน้องสามจะออกเรือนได้อย่างไร หลังจากที่ออกเรือนไปแล้ว นางมีพี่สาวที่เป็นอนุภรรยาของผู้อื่น วันข้างหน้านางจะไปมาหาสู่กับฮูหยินคนอื่นอย่างไรเจ้าคะ”
เหยาเหยียนอี้พยักหน้า “สิ่งที่น้องสาวกล่าวมานั้นเป็นจริงแน่นอน ท่านพ่อเองก็เคยพูดเช่นเดียวกัน บุตรีตระกูลเหยาของพวกเรา แม้นจะเป็นบุตรีของอนุภรรยา ทว่าไม่อาจเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นได้ ในวันข้างหน้า ยามที่เจ้าไปคุยเล่นจิบชากับเหล่าสตรีสูงศักดิ์ หากในเรือนมีน้องสาวที่เป็นอนุภรรยาของผู้อื่น น้องพี่ยังจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด? อย่าได้พูดถึงเรื่องที่จะให้นางอยู่ที่นี่เพื่อเพิ่มปัญหาให้กับเจ้าเลย”
“แต่ว่า การที่ให้นางออกไปอยู่ในบ้านสวน…” เหตุผลแรกคือเหยาเฟิ่งเกอไม่อาจทำใจได้ และเหตุผลที่สอง นางกังวลเกี่ยวกับโรคของตน
“เรื่องไปบ้านสวนนั้นไม่มีความจำเป็น” เหยาเหยียนอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามด้วยความไม่เชื่อถืออีกครั้ง “ความสามารถด้านการแพทย์ของนางยอดเยี่ยมเช่นนี้เชียวหรือ”
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มอย่างเศร้าใจ “พี่ชายรองยังไม่เชื่อถือน้องอีกหรือ มิใช่ว่าพี่ชายก็เข้าใจสถานการณ์ของน้องในยามนั้นดีหรอกหรือ คราวก่อนตอนที่พี่ชายใหญ่ส่งเหยาเยี่ยนอวี่มา อาการของน้องเป็นเช่นไรเล่า ตั้งแต่ตอนนั้นเวลาก็ผ่านไปไม่นานเองไม่ใช่หรือ? ความจริงน้องเองก็คิดไม่ถึง ตั้งแต่เล็กจนโต นางเป็นเด็กที่ไม่ก่อปัญหา อีกทั้งยังไม่เคยมากความ ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่เคยทำสิ่งใดให้ตนเองโดดเด่น น้องเองก็ไม่รู้ว่านางไปร่ำเรียนวิชาแพทย์ที่เก่งกาจนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
“แม้ว่าเรื่องนี้จะน่าสงสัย ทว่าก็ไม่ถือว่าแปลกพิลึก เจ้าบอกว่านางใช้วิธีการฝังเข็มในการรักษาเจ้า ข้าเพิ่งนึกได้ว่าผัวจื่อคนหนึ่งในเรือนเคยพูดขึ้นว่า…ในเรือนของคุณหนูรองเลี้ยงแมว สุนัข ไก่และกระต่ายเอาไว้มากมาย พวกมันมักจะถูกคุณหนูรองเอาเข็มเงินทิ่มแทงอยู่บ่อยครั้ง”
นิ้วมือของเหยาเหยียนอี้เคาะโต๊ะเบาๆ โดยไม่ตั้งใจ ก่อนหน้านี้พวกตนไม่เคยให้ความสำคัญกับน้องสาวที่เป็นบุตรีอนุภรรยาแม้แต่น้อย ทว่าวันนี้คงไม่อาจดูแคลนนางอีก หากรู้ว่านางมีความสามารถเช่นนี้ เกรงว่าท่านพ่อคงไม่มีวันส่งตัวนางมายังจวนติ้งโหวแน่นอน เพียงแต่ว่า หากนางไม่ได้เข้ามายังจวนติ้งโหว เกรงว่าน้องสาวของตนคงสิ้นใจไปแล้ว
เมื่อคิดถึงเช่นนี้ เหยาเหยียนอี้อดถอนหายใจไม่ได้ สรรพสิ่งบนผืนแผ่นดินนี้ ล้วนถูกกำหนดมาแล้ว
ทว่าเหยาเฟิ่งเกอกลับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง หรือว่าน้องรองของตนจะนำทักษะความรู้ที่ได้จากการฝึกฝนในการฝังเข็มพวกแมว สุนัข ไก่และกระต่ายมาฝังเข็มรักษาตนเอง?
หลังจากที่ครุ่นคิดวกไปวนมาสักพัก ในที่สุดเหยาเหยียนอี้ก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา “ตระกูลของพวกเรามีจวนเก่าแก่ในเมืองหลวง เช่นนี้ไม่สู้สั่งให้คนเก็บกวาดจวนให้เรียบร้อยแล้วให้เยี่ยนอวี่ย้ายเข้าไปเถอะ ถึงอย่างไรตอนที่นางเข้ามาในจวนโหวนั้นก็ไม่ได้ป่าวประกาศให้คนนอกรู้ การที่ให้นางมาที่นี่เพียงเพราะคนในตระกูลเป็นห่วงเจ้า จึงให้นางมาดูแลเท่านั้น เวลานี้อาการป่วยของเจ้าก็ดีขึ้นแล้ว นางไม่ยินดีที่จะอยู่ในจวนแห่งนี้ จึงให้กลับจวนเหยาไปพร้อมกับสาวใช้ ข้าคิดว่าในเมืองหลวงแห่งนี้มีเจ้าคอยดูแล คงไม่เป็นปัญหาอะไร น้องลองคิดดู”
สิ่งที่เหยาเหยียนอี้กล่าวนั้นมีความหมายแอบแฝง เพียงแต่เขาไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น แต่เหยาเฟิ่งเกอล้วนรู้ดี เหยาหย่วนจือครองตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองติดต่อกันนานถึงแปดปี แม้นตำแหน่งนี้จะได้รับสินบนมากมายอย่างไม่ขาดสาย ทว่าอำนาจที่มีนั้นก็ห่างไกลจากอำนาจในเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางของอำนาจทั้งปวงยิ่งนัก มีหลายสิ่งที่ไม่อาจกระทำอย่างสะดวก
หากสามารถย้ายกลับมาอยู่ในเมืองหลวง และอาศัยคุณงามความดีที่ทำไว้ย่อมสามารถเข้าไปรับตำแหน่งในเน่ยเก๋อ[1]ได้แน่นอน ถึงเวลานั้น พวกเขาทั้งตระกูลจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันในเมืองหลวง เช่นนั้นไม่ดีกว่าหรือ
เหยาเยี่ยนอวี่กลับมาจากจวนเจิ้นกั๋วกง นางนั่งอยู่ในเรือนลู่ฮูหยินไปครู่หนึ่ง หลังจากที่พูดคุยกับลู่ฮูหยินไปสักพัก ก็กลับไปยังเรือนฉีเสียง แน่นอนว่าตอนที่เหยาเฟิ่งเกอเห็นนางก็ดีใจยิ่งนัก นางบอกให้เหยาเยี่ยนอวี่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนก่อน จากนั้นก็เตรียมชาหอมและผลไม้ต่างๆ แล้วไปหาเหยาเยี่ยนอวี่ถึงเรือนหลังด้วยตนเอง เพื่อพูดคุยเล่นกับนาง
การที่เหยาเฟิ่งเกอมาหาที่เรือนด้วยตนเอง เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรบุตรีภรรยาเอกและบุตรีอนุภรรยานั้นย่อมแตกต่างกัน หากเหยาเฟิ่งเกอมีเรื่องใดย่อมสามารถเรียกนางไปพบได้ การที่นางมาหาด้วยตนเองพร้อมทั้งนำน้ำชาและผลไม้มาเช่นนี้ ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ถึงกับพูดไม่ออกจริงๆ
ต้องมีเลศนัยอะไรบางอย่าง เหยาเยี่ยนอวี่ลอบคิดเช่นนี้ขึ้น
เกี่ยวกับวิธีการของพี่สาวที่เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกคนนี้ น้องสาวคนรองอย่างนางรู้สึกสับสนเล็กน้อยนางถามตนเองว่าความคิดของคนยุคปัจจุบันอย่างตนเอง หัวสมองของตนมีวัฒนธรรมต่างๆ สะสมกันมามากกว่าเหยาเฟิ่งเกอนับร้อยนับพันปี ทว่าเล่ห์กลอุบายต่างๆ นั้นกลับเทียบไม่ได้กับคนผู้นี้จริงๆ ต่อให้ตนเป็นคนยุคปัจจุบันก็ยังเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ
[1] เน่ยเก๋อ องค์กรสูงสุดในการปกครอง มีสถานะเหนือหกกระทรวง