บทที่ 25 ข่าวลือ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

สิ่งที่คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังกังวลมิใช่ว่าไร้เหตุผล 

 

 

ไม่นาน ก็มีข่าวลือออกมาว่า ‘บุตรสาวสกุลอวี้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อาศัยว่าตนเป็นโฉมงาม คิดจะหาบัณฑิตแต่งเข้าเป็นเขยชาย’ รอจนข่าวลือนี้ลอยมาถึงหูของคนสกุลเฉินกับอวี้ถัง ชาวเมืองหลินอันก็ลือกันเป็นคุ้งเป็นแควแล้ว น้อยคนนักที่จะไม่รู้เรื่อง 

 

 

คนสกุลเฉินเดือดดาลจนตัวสั่น พูดไม่ออกอยู่เป็นนาน 

 

 

อวี้ถังกลัวว่านางจะเป็นอะไรไป รีบให้อาเสาไปเชิญท่านหมอมา 

 

 

คนสกุลเฉินคว้าหมับที่มืออวี้ถัง กรอบตาพลันรื้นด้วยน้ำตาพลางเอ่ยว่า “อาถัง ไปเชิญท่านป้าสะใภ้เจ้ามาด้วย ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง” 

 

 

อวี้ถังได้ยินแล้วก็เริ่มครุ่นคิด 

 

 

หากว่านางยังแสร้งทำตัวเป็นแม่นางน้อยต่อไป ในเรือนมีปัญหาอะไรเกรงว่าคงไม่มีใครหารือกับนางแน่ ทว่านางกลับเป็นคนที่รู้ตอนจบของเรื่องราวทั้งหมด และถ้าอยากให้บิดามารดาเชื่อมั่นในตัวนาง นางก็ต้องหาวิธีมาทำให้พวกเขาเชื่อว่านางมีความสามารถ มีความรู้ สามารถช่วยเหลือสกุลให้รอดพ้นจากสถานการณ์ลำบากได้ 

 

 

“ท่านแม่!” อวี้ถังตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่เพียงไม่ไปเชิญป้าสะใภ้มา ทั้งยังนั่งลงที่หัวเตียงของคนสกุลเฉิน เอ่ยออกไปตรงๆ ว่า “เพราะเรื่องข่าวลือที่แพร่อยู่ด้านนอกหรือเจ้าคะ?” 

 

 

คนสกุลเฉินไม่ต้องการให้บุตรสาวกังวลใจจึงเอ่ยว่า “เรื่องของผู้ใหญ่เจ้าไม่ต้องยุ่ง บอกให้เจ้าไปเชิญป้าสะใภ้มาก็ไปเชิญเสีย เด็กดี” 

 

 

อวี้ถังยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าโตแล้วเจ้าค่ะ ปัญหาบางอย่าง ท่านลองคุยกับข้าก่อนก็ได้ หากข้าพูดไม่ถูกต้องอย่างไร ท่านค่อยให้ข้าไปเชิญป้าสะใภ้ก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ” 

 

 

คนสกุลเฉินรู้สึกฉงน 

 

 

อวี้ถังจึงรีบพูดว่า “ถ้าหากท่านจะหาป้าสะใภ้ด้วยเรื่องอื่น ข้าจะไปเชิญป้าสะใภ้มาเดี๋ยวนี้ หากเพราะเรื่องข่าวลือข้างนอกเกี่ยวกับงานหมั้นหมายของข้า ข้ากลับมีความคิดอยู่บ้าง ท่านแม่ลองฟังดูไหมเจ้าคะ” 

 

 

คนสกุลเฉินมองบุตรสาวที่ทำท่าเหมือนเตรียมความพร้อมมาอย่างดี ก็อดจะลังเลมิได้ 

 

 

อวี้ถังยิ้มแล้วเอ่ยว่า “จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ยากเลย ท่านแค่เชิญแม่สื่อจากทางการมา จากนั้นมอบเงินให้นางก้อนหนึ่ง แล้วบอกนางไปว่าสกุลเราต้องการเขยชายแบบไหนก็สิ้นเรื่องแล้ว!” 

 

 

คนสกุลเฉินรีบพูดว่า “ได้อย่างไรกัน? แม่สื่อของทางการพึ่งพาไม่ค่อยจะได้” 

 

 

อวี้ถังหัวเราะ “พวกเราก็ไม่ได้ต้องการให้แม่สื่อหาคู่ให้สำเร็จจริงๆ เสียหน่อย จะพึ่งพาได้หรือไม่สำคัญตรงไหนเจ้าคะ?” 

 

 

คนสกุลเฉินยืดตัวนั่งตรงอย่างตื่นตะลึงรีบพูดว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” 

 

 

อวี้ถังจึงได้ค่อยๆ อธิบายให้มารดาฟังอย่างละเอียด “ลองคิดดูสิเจ้าคะ ข่าวลือด้านนอกนั่นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มมาจากตรงไหน พวกเราสืบไปก็คงสืบไม่เจออะไรหรอก ต่อให้พวกเราบังเอิญสืบเจอขึ้นมา แค่ผู้อื่นตอบว่า ‘ก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย’ เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี จะรับมือกับเรื่องนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือเราต้องปล่อยข่าวออกไปเช่นกัน คนพวกนั้นมิใช่บอกว่าข้าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดจะหาบัณฑิตมาแต่งเข้าเป็นเขยชายหรือ? พวกเราก็ประกาศคุณสมบัติของเขยชายออกไปเสียเลย ให้ข่าวลือนั้นมันเงียบหายไปเองโดยไม่ต้องชี้แจงใดๆ เพียงเท่านี้เราก็แก้ปัญหาได้แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?” 

 

 

คนสกุลเฉินเหมือนว่ายังคิดตามเรื่องราวที่บุตรสาวพูดไม่ทัน “หรือว่าเราจะหาเขยชายที่เป็นใครก็ได้อย่างนั้นรึ? คนที่เคยเรียนหนังสือกับไม่เคยเรียนหนังสือนั้นต่างกัน ก่อนจะสอนให้คนรู้จักจารีตและความละอาย ควรให้เขาได้กินอิ่มนุ่งอุ่นเสียก่อน หากว่าครอบครัวยากจนเกินไป ข้าวยังกินไม่อิ่ม แล้วจะไปพิถีพิถันเรื่องอื่นได้อีกหรือ? ถึงเวลานั้นต่อให้แต่งเข้าเรือนเรามา วันนี้เขาคงอยากได้สิ่งนี้ พรุ่งนี้วางแผนเอาสิ่งโน้น ไม่มีอะไรก็คงก่อเรื่องขึ้นมาได้ หากว่าลูกๆ ได้รับผลกระทบจากบิดาขึ้นมา…เจ้าคิดว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อยู่หรือ?” 

 

 

“จะเป็นใครก็ได้ได้อย่างไรเจ้าคะ?” อวี้ถังหัวเราะ “ท่านคิดมากเกินไปแล้ว” 

 

 

คนสกุลเฉินขมวดคิ้ว 

 

 

อวี้ถังจึงค่อยๆ อธิบายต่อ “บัณฑิตใช่ว่าจะมียศศักดิ์ทุกคนนะเจ้าคะ!” 

 

 

คนสกุลเฉินพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง พลิกมือมาบีบมือบุตรสาวเอาไว้ เอ่ยทันทีว่า “เหตุใดข้าเลอะเลือนเช่นนี้ เหตุใดข้าเลอะเลือนเช่นนี้!” 

 

 

อวี้ถังเม้มปากกลั้นยิ้ม 

 

 

คนสกุลเฉินพูดอย่างตื่นเต้น “พวกมียศศักดิ์ย่อมไม่ยินยอมแต่งเข้าแน่ อีกอย่างต่อให้แต่งเข้ามา ภายภาคหน้าก็ต้องยุ่งยาก พวกเราควรจะหาครอบครัวที่ใกล้เคียงกัน เคยเล่าเรียนเขียนอ่าน เป็นคนดีมีคุณธรรม อ่านออกเขียนได้ จะได้ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในเรือน ต่อไปหากมีหลาน สายเลือดทางบิดาก็นับว่าไม่เลว แล้วค่อยส่งให้บิดาเจ้าชี้แนะสั่งสอน ไม่แน่สกุลเราอาจจะมีจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อบ้างก็ได้?” นางยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าเข้าท่า “คนเช่นนี้ บิดามารดาย่อมไม่ใช่ประเภทเจอปัญหาแล้วนิ่งเฉย ต่อไปถ้าพวกเราไปมาหาสู่บ่อยเข้า ก็นับว่ามีญาติพี่น้องเพิ่มขึ้น พวกเจ้าหากประสบเรื่องราวอันใด ทางนั้นก็นับว่าช่วยเหลือส่งเสริมได้ พวกเรายังสามารถรับปากพวกเขาได้ด้วยว่า สามรุ่นคืนสกุล[1]ถึงเวลานั้นบ้านเล็กก็ยังกลับไปใช้สกุลของเขา” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ ความกลัดกลุ้มของคนสกุลเฉินพลันหายวับ กลายเป็นตื่นเต้นจนแทบจะนั่งไม่ติด 

 

 

นางเรียกป้าเฉินเข้ามา กำเงินเหรียญจำนวนหนึ่งส่งให้ป้าเฉิน บอกให้นางไปเชิญแม่สื่อจากทางการมาที่เรือน ทั้งสั่งว่า “เชิญมาหลายคนหน่อย อย่างไรก็ต้องแพร่ข่าวออกไปให้ไกล ยิ่งคนรู้มากยิ่งดี” 

 

 

ป้าเฉินเห็นว่าเรื่องของอวี้ถังมีทางออกแล้ว ในใจก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เดินจากไปด้วยความเบิกบาน 

 

 

คนสกุลเฉินหัวเราะฮ่าๆ หมุนกายมาจับมือบุตรสาวไว้แล้วมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ 

 

 

อวี้ถังคิดว่าที่แท้นางมีตรงไหนต่างออกไปจากเมื่อก่อนหรือไม่ ในใจอดจะรู้สึกกลัวไม่ได้ จึงถามออกไปอย่างประหม่าว่า “ท่านแม่ ท่านทำอะไรหรือเจ้าคะ?” 

 

 

“ข้ากำลังมองว่าอาถังของข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ” ดวงหน้าของคนสกุลเฉินเปี่ยมด้วยความอิ่มเอม “เมื่อก่อนเป็นข้ากับบิดาเจ้าที่ไม่รู้ มักคิดแต่ว่าเจ้าชอบก่อเรื่อง แต่เจ้าดูสิ่งที่เจ้าทำตลอดหลายวันนี้ แม้จะบอกว่าแก่นแก้วเกินไป แต่ก็มีหลักมีการ ถูกต้องเหมาะสมยิ่งนัก” พูดแล้ว นางก็ถอนหายใจเฮือกทีหนึ่ง เอ่ยอย่างภูมิใจว่า “แต่ก่อนพวกเราไม่แน่ว่าจะให้เจ้าอยู่กับเรือนไปตลอด กลัวว่าเจ้าจะดูแลเรือนนี้ไม่ไหว แต่วันนี้มองแล้ว มารดากับบิดาเจ้าน่าจะกังวลเกินเหตุ ไม่เคยรู้ว่าอาถังของเราเป็นแม่นางที่มีความคิดและมีความรับผิดชอบเช่นนี้!” 

 

 

พวกท่านมองคนไม่ผิดเลย! 

 

 

เป็นสวรรค์ที่ให้โอกาสข้าอีกครั้งหนึ่ง ข้าถึงได้มาแบกภาระหนักหนานี้ไว้ในยามที่ครอบครัวควรมีใครสักคนมาช่วยเหลือ 

 

 

หางตาอวี้ถังแดงเรื่อ นางบีบมือมารดาแน่น แล้วพึมพำด้วยความรู้สึกผิดและเจ็บปวดว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าพูดเช่นนี้ เป็นข้า เป็นข้าที่ผิด…” 

 

 

“ดูเจ้าสิ พูดจาเหลวไหลอีกแล้ว” คนสกุลเฉินมีหรือจะเดาออกว่าอวี้ถังคิดอะไรอยู่ นึกไปว่าบุตรสาวไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงหัวเราะแล้วดันตัวนางออก เห็นว่าอวี้ถังมีน้ำตานองเต็มหน้า ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าเป็นอะไรไปอีกเล่า?” 

 

 

มารดาไม่รู้เรื่องนางกลับชาติมาเกิด แต่กลับทำให้อวี้ถังรู้สึกถึงความหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น 

 

 

นางเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้า ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ก็แค่นานแล้วที่ท่านแม่ไม่ได้เอ่ยปากชมข้าเช่นนี้!” 

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้!” คนสกุลเฉินทำหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ให้เจ้าทำรองเท้าเจ้าปักเสร็จแล้วหรือยัง? ถ้าหาคนที่เหมาะสมได้จริงๆ ขึ้นมา ก็ต้องจัดงานแต่งให้เจ้าในเร็วๆ นี้แล้ว เจ้าพอถึงเวลาอย่าได้ต้องไปหาซื้อรองเท้าที่ร้านเชียวนะ” 

 

 

ตามประเพณีของเจียงหนาน วันที่สองที่หญิงแต่งงานใหม่ต้องไปคารวะญาติอีกฝ่าย จะต้องมอบถุงเท้ารองเท้าที่ปักด้วยตนเองให้ญาติๆ อย่างพ่อสามีและแม่สามีด้วย 

 

 

อวี้ถังแต่เด็กก็ไม่ชอบนั่งอยู่นิ่งๆ ทั้งบิดามารดาก็ตามใจ ฝีมืองานเย็บปักจึงแค่พอถูไถ ภายหลังแต่งให้สกุลหลี่ เห็นว่าคนสกุลหลินปฏิบัติต่อนางไม่ดี นางยิ่งไม่อยากจะเย็บปักอะไรให้ใคร กระทั่งดอกไม้ใบไม้ยังปักให้งามไม่ได้ด้วยซ้ำ 

 

 

คนสกุลเฉินจ้องนางไม่ยอมหยุด นางมีหรือจะกล้าพูดมาก จึงได้แต่เผ่นแน่บหนีไป 

 

 

คนสกุลเฉินมองตามแผ่นหลังของบุตรสาว หัวเราะจนเอวไม่อาจตั้งตรงได้ ทว่ากลับถูกอวี้เหวินที่รีบร้อนกลับมาจากถนนฉางซิ่งเห็นเข้าพอดี 

 

 

เขาถอนหายใจเฮือก เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องอะไรทำให้เบิกบานเพียงนี้? เมื่อครู่เจอกับอาเสา บอกว่าร่างกายเจ้าไม่ดี ต้องไปเชิญท่านหมอมา…” 

 

 

คนสกุลเฉินหัวเราะพลางเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้อวี้เหวินฟัง ทั้งบอกว่า “ได้ความคิดนี้ของอาถัง อาการป่วยของข้าย่อมหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว” 

 

 

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?!” อวี้เหวินตื่นตกใจ “ไม่เจอกันสามวัน ผู้อื่นก้าวไปข้างหน้าแล้ว ไม่อาจมองด้วยสายตาแบบเดิมได้อีก คิดไม่ถึงจริงๆ เลย” 

 

 

“ก็ใช่น่ะสิเจ้าค่ะ!” 

 

 

สองสามีภรรยาทอดถอนใจกันอยู่ครึ่งค่อนวัน 

 

 

— 

 

 

อวี้เหวินเรียกอวี้ถังไปที่ห้องหนังสือแล้วเอ่ยชมเชยนางรอบหนึ่ง ทั้งมอบแท่นฝนหมึกเฉิงหนีเยี่ยน[2]สีเขียวที่เป็นของตกทอดของสกุลอวี้ให้นาง 

 

 

อวี้ถังถือแท่นฝนหมึกไปฟ้องกับมารดาว่า “แท่นฝนหมึกที่สูงค่าเช่นนี้ ถ้าข้าใช้ไป ท่านพ่อต้องร้องโวยวายแน่ นี่จะนับเป็นรางวัลได้อย่างไร? ก็แค่เปลี่ยนสถานที่มาให้ข้าเป็นคนเก็บรักษาไว้ก็เท่านั้น” 

 

 

คนสกุลเฉินยิ้มแล้วจิ้มนิ้วบนหน้าผากอวี้ถัง เอ่ยว่า “ให้เป็นหนึ่งในสินเดิมของเจ้าไม่นับว่ามีหน้ามีตาพอหรือ?” 

 

 

อวี้ถังหัวเราะฮ่าๆ 

 

 

คนสกุลเฉินรักใคร่บุตรสาว ไม่ต้องการให้นางผิดหวัง จึงไปที่หอเครื่องเงินสั่งทำชุดปิ่นไข่มุกหนึ่งชุด กับเครื่องประดับศีรษะไข่มุกหนึ่งชุดไว้ให้อวี้ถัง “ตอนที่พี่สาวหม่าของเจ้าแต่งงาน เจ้าจะได้ใช้ตอนไปดื่มสุรามงคล” 

 

 

อวี้ถังถามอย่างแปลกใจว่า “วันแต่งงานของนางกำหนดแล้วหรือเจ้าคะ?” 

 

 

คนสกุลเฉินพยักหน้ายิ้มๆ “กำหนดไว้วันที่หกเดือนเก้า ของที่จะใส่กล่องของขวัญเจ้าเตรียมแล้วหรือไม่? หากว่ายังไม่มี ก็รีบไปสั่งทำที่ร้านเสีย ข้าจะออกเงินให้” 

 

 

งานเย็บปักของบุตรสาวนั้น นางไม่คาดหวังแล้ว 

 

 

อวี้ถังอยากจะมอบของให้หม่าซิ่วเหนียงหลายๆ ชิ้นหน่อย เงินนั้นได้มายิ่งมากก็ยิ่งดี 

 

 

นางออดอ้อนแล้วขอเงินจากมารดามาได้ห้าตำลึง เมื่อไปถึงหอเครื่องเงินก็สั่งทำกำไลเงินให้หม่าซิ่วเหนียงคู่หนึ่ง 

 

 

— 

 

 

ไม่นาน แม่สื่อของทางการก็ประกาศคุณสมบัติเขยชายที่สกุลอวี้ต้องการไปจนทั่ว ทั้งยังอธิบายว่า “มิใช่ว่าคุณชายของหลายสกุลนั้นไม่ดี แต่ไม่สอดคล้องกับคุณสมบัติที่สกุลอวี้ต้องการ นี่ก็เป็นเรื่องที่จนปัญญาเช่นกัน” 

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเหตุมีผล เกี่ยวกับข่าวลือที่อวี้ถัง ‘มักใหญ่ใฝ่สูงจะหาบัณฑิตมาแต่งเข้าเป็นเขยชายนั้น’ ก็ค่อยๆ จางหายไป 

 

 

ทว่า งานหมั้นหมายของอวี้ถังก็เป็นที่สนใจของคนหลายคน 

 

 

วันนี้หลังจากที่อวี้เหวินกลับมาจากการไปส่งขนมไหว้พระจันทร์ให้เถ้าแก่ถง เขาก็อารมณ์ดียิ่งขึ้น เอ่ยกับคนสกุลเฉินด้วยความมึนเมาเล็กน้อยว่า “เถ้าแก่ถงบอกว่าจะเป็นพ่อสื่อให้อาถังของเราล่ะ!” 

 

 

คนสกุลเฉินทางหนึ่งก็ประคองน้ำแกงสร่างเมาให้อวี้เหวิน ทางหนึ่งก็ถามอย่างยินดี “เถ้าแก่ถงเป็นคนดี คู่หมั้นหมายที่หามาย่อมไม่มีชั่วแน่ ท่านนั่งลงเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดหน่อยสิเจ้าคะ” 

 

 

อวี้เหวินยกน้ำแกงสร่างเมาในมือดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะนั่งใต้แสงตะเกียงเอ่ยกับคนสกุลเฉินว่า “เถ้าแก่ถงบอกว่า เขามีสหายสนิทผู้หนึ่ง สกุลเว่ย สองสามีภรรยาล้วนเป็นคนสบายๆ ไม่เคร่งครัด ครอบครัวทำโรงงานคั้นน้ำมันพืช มีที่ดินสองร้อยกว่าหมู่ ทั้งยังมีภูเขาปลูกต้นดอกกุ้ยฮวาไว้สามร้อยกว่าต้น สกุลมีบุตรชายห้าคน ล้วนแต่เป็นผู้มีวิชาความรู้ เขาเองก็เห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต บุตรคนโตต้องเก็บไว้สืบสานกิจการของสกุลแน่แล้ว บุตรชายคนอื่นๆ น่าจะแต่งเข้าเป็นเขยชายได้ทั้งสิ้น หากเจ้าคิดว่าใช้ได้ เขาก็จะลองไปพูดคุยให้ก่อน แล้วนัดคนออกมาให้พวกเราได้พบ ถ้าสำเร็จ ก็ให้อาถังของเราปักรองเท้าให้เขาสักคู่ ถ้าไม่สำเร็จ ก็คิดเสียว่าข้านับเป็นลูกหลานแล้ว” 

 

 

“บุตรชายห้าคน?” คนสกุลเฉินหัวเราะ “เป็นเรื่องดีสิ หากว่างานหมั้นหมายนี้ลุล่วง พวกเราก็จะมีเครือญาติมารับมือต่อแล้ว ท่านดูซิ่วไฉอย่างท่านสิ ยังต้องมาจัดการเรื่องในร้านค้าด้วยตัวเองอยู่เลย ถ้าในเรือนมีเด็กๆ หลายคนหน่อย ท่านกับท่านลุงใหญ่ก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้” 

 

 

อวี้เหวินด้วยเพราะงานมงคลของอวี้ถังเริ่มมีเค้าราง ในใจก็ยินดีนัก จึงเอ่ยล้อเล่นว่า “จะว่าไปแล้ว ต้องโทษสกุลเผย ถ้ามิใช่สกุลเผยออกเงินช่วยเหลือเหล่าบัณฑิตทุกปี เมืองหลินอันมีหรือจะมีซิ่วไฉมากมายขนาดนี้ เจ้าลองมองดูที่อื่นสิ ซิ่วไฉมีหน้ามีตาเพียงใด แล้วกลับมามองหลินอันของพวกเรานี่ เทียบกันแล้ว ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!” 

 

 

“เอาล่ะ เอาล่ะ ท่านก็พูดให้น้อยลงหน่อย” คนสกุลเฉินหัวเราะ เอ่ยว่า “ดื่มเหล้าแล้วพูดจาเลอะเทอะ สกุลเผยทำความดี แล้วไปขัดขวางอะไรท่านเล่า? ข้ากลับคิดว่า ซิ่วไฉจังหวัดหลินอันของเรายิ่งไม่ต้องมีหน้ามีตายิ่งดี เดินออกไปไหนก็น่าฟังหน่อย! คนที่ทำมาค้าขายอยู่ข้างนอกนั้น ผู้อื่นจะได้ไม่กล้ารังแกตามอำเภอใจ” 

 

 

————————————————————- 

 

 

 

 

 

[1]สามรุ่นคืนสกุล หมายถึง เมื่อบุรุษแต่งเข้าเป็นเขยของสกุลฝ่ายหญิง จะต้องเปลี่ยนสกุลตามสกุลฝ่ายหญิงด้วย แต่ภายหลังเมื่อให้กำเนิดเด็กรุ่นที่สามออกมา ต้องกลับไปใช้สกุลเดิมของท่านปู่ 

 

 

[2]แท่นฝนหมึกเฉิงหนีเยี่ยน เป็นหนึ่งในสี่ของแท่นฝนหมึกที่เลื่องชื่อของจีน