บทที่ 24 ประกาศแต่งงาน

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 24

ประกาศแต่งงาน

ท่ามกลางสายตาของผู้คน เทพสงครามนั้นมาในชุดสีจันทร์เสี้ยวและถูกเข็นมาโดยอันอี้ ถึงแม้ว่าเขาจะสวมหน้ากากหยกขาวบนใบหน้า แต่ก็ยังเป็นที่สนใจของใครต่อใคร

ถึงแม้ว่าเหล่าสาวๆจะเคยชื่นชอบเทพสงครามมาก่อน แต่เมื่อคิดถึงใบหน้าภายใต้หน้ากากแล้วต่างก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมา จากที่เคยเป็นชายหนุ่มที่เป็นที่หมายปองของใครต่อใคร แต่เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นคนพิการไปแล้ว

หลินซีเหยียนที่กำลังจูงมือเทียนเอ๋ออยู่นั้น ก็ได้กลายเป็นที่อิจฉาและสนใจของใครต่อใครผ่านแสงสว่างของเทพสงคราม นางนั้นอยากจะกรีดร้องในใจ นางไม่นึกเลยว่าองค์ชายพิการนี้จะเป็นที่ดึงดูดสายตามากขนาดนี้

ในเวลานี้ทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันที่หน้าทางเข้า ท่ามกลางแสงอาทิตย์ หญิงงามที่ไร้จุดบกพร่องใดๆกับหนุ่มหล่อที่ยากจะมีใครเทียบ เมื่อทั้งสองคนอยู่เคียงข้างกันแล้วก็เหมือนกับเป็นภาพวาดที่สมบูรณ์แบบ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน? ทำไมนางถึงไปยืนอยู่ข้างๆองค์ชายได้?” เฉิงซินหรุ่ยเป็นผู้ที่มีอาการมากที่สุดในบรรดาหญิงสาวมากมายในงานนี้ ซึ่งเรื่องที่นางชื่นชอบเทพสงครามนั้นเป็นที่รู้กันดี

หลินหัวเยว่ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างคาดไม่ถึง ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนนั้นจะไม่ได้ใช้เครื่องสำอางอะไร แต่หลินซีเหยียนก็เป็นสาวงามคนหนึ่งในเมืองหลวงอยู่ดี นางจึงกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วพูดขึ้น “นางคือหลินซีเหยียน”

“หลินซีเหยียน?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูโยวอวิ๋นก็ได้มองไปที่คนที่อยู่ข้างๆองค์ชายเย่ แล้วนางก็พบเจ้าลูกชิ้นที่อยู่ข้างๆ หลินซีเหยียน “แล้วเด็กคนนั้นล่ะ?”

“ไม่ต้องตกใจหรอก นั่นน่ะคือลูกชนชั้นต่ำของนางยังไงล่ะ” หลินหัวเยว่พูดราวกับลืมเรื่องข่าวฉาวของนางไปเสียสนิท

นางนั้นพูดด้วยเสียงอันดัง ทำให้ใครหลายคนแถวๆนั้นได้ยิน และหลินซีเหยียนเองก็ได้ยินเช่นกัน นางก็ได้หลับตาลงเล็กน้อยเพื่อเก็บซ่อนความโกรธในใจของนาง

หลังจากที่เข้ามาในงาน หลินซีเหยียนก็คิดจะไปหาโต๊ะของบ้านมหาเสนาบดีเพื่อไปหาที่นั่ง แต่กลับถูกเจียงหวายเย่คว้าเอวนางเอาไว้

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เขาอย่างสงสัย แล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยแล้วชี้ไปที่โต๊ะของมหาเสนาบดีนั่งอยู่แล้วกล่าว “แม่นางหลินนั่งกับข้าก็ได้!”

หลินซีเหยียนนั้นไม่อยาก แต่พอนางเห็นโต๊ะที่ดูเล็กของบ้านมหาเสนาบดีแล้วนางก็ยอมนั่งด้วย นางนั้นไม่อยากที่จะเบียดเสียดนั่งกับคนเหล่านั้น

หลังจากที่นั่งลงแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจออกมา “ทำไมโต๊ะขององค์ชายกับโต๊ะของเหล่าขุนนางถึงได้ช่างต่างกันขนาดนี้นะ ไม่เพียงแต่โต๊ะจะใหญ่กว่าแล้ว ทิวทัศน์ที่นี่ก็ยังดีกว่าอีกด้วย”

ถึงแม้ว่านางจะพูดถึงแต่การจัดงานที่ขององค์ชายเหนือกว่าคนอื่นก็ตามที แต่เจียงหวายเย่ที่ฟังอยู่ก็ยิ้มขึ้นมา

ทุกคนโดยรอบต่างก็ซุบซิบฮือฮากัน บรรยากาศเช่นนี้ทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

“ท่านแม่รู้สึกเหมือนมีคนกำลังซุบซิบนินทากันอยู่ข้างหลังข้าบ้างไหม?” จู่ๆเทียนเอ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆหลินซีเหยียนก็พูดขึ้นมา

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวตอบ

เทียนเอ๋อที่มีทีท่าเหมือนกะไว้อยู่แล้ว “ท่านแม่ สายตาเหล่านี้จะต้องมองมาที่ข้าแน่เลยใช่ไหม? ดูเหมือนการหล่อเหลาเกินไปก็เป็นบาปจริงๆ”

“……..” เป็นเพราะเจ้าหล่อเหลางั้นเหรอ? ในเวลานี้ หลินซีเหยียนรู้สึกอยากจะทุบหัวน้อยๆของเจ้าตัวแสบให้แตกเพื่อดูว่าข้างในมีแค่แป้งเปียกอยู่ข้างในรึยังไง?

“ไม่ใช่หรอกเหรอขอรับ?”

“เด็กดี กินเยอะๆแล้วพูดน้อยๆนะ” หลินซีเหยียนหยิบเอาตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบผักส่งให้เทียนเอ๋อ นางคิดที่จะอุดปากเขาด้วยอาหาร

เทียนเอ๋อเมื่อมีอะไรเข้าปาก เขาก็ได้ง่วนกับการกินอย่างเชื่อฟัง แต่หลินซีเหยียนเองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติรอบตัวนาง แล้วนางก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างสงสัย ซึ่งเขาได้ส่งสายตาปลอบนางกลับมา

ในที่สุดเฉิงซินหรุ่ยที่อดทนไม่ไหวก็ได้โผล่ออกมาแล้วกล่าว “หลินซีเหยียน เจ้าจะมากไปแล้วนะ เจ้ากล้าขยับตะเกียบก่อนองค์ฮ่องเต้ได้อย่างไร”

และแล้วตัวปัญหาก็โผล่มาจนได้ หลินซีเหยียนก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย แต่ว่านางยังคงนั่งอยู่นิ่งๆอย่างใจเย็นและไม่เคลื่อนไหวอะไร

ในขณะที่เฉิงซินหรุ่ยคิดที่จะสั่งสอนนางอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงดังมาจากผู้ประกาศแจ้งขึ้นมา “องค์ฮ่องเต้เสด็จแล้ว”

ในเวลานี้ผู้คนทั้งหมดต่างก็พากันลูกขึ้นยืนแล้วตะโกน “ขอแสดงความยินดีต่อองค์ฮ่องเต้ ขออายุมั่นขวัญยืนหมื่นปีหมื่นๆปี”

หลินซีเหยียนก็ได้ยืนข้างๆเจียงหวายเย่ และมองไปที่องค์ฮ่องเต้อย่างทั่วทุกมุม ซึ่งความประทับใจแรกของนางที่มีต่อองค์ฮ่องเต้คือสายตาที่ยากจะหยั่งถึงของเขา

และดูเหมือนองค์ฮ่องเต้นั้นจะไม่ชอบองค์ชายเย่ แต่นางจะพอเข้าใจได้ อย่างไรเสียบารมีขององค์ชายเย่นั้นกลับมีมากกว่าเขา

“ขอให้เหล่าขุนนางที่รักทุกท่านนั่งลงได้” พูดออกมาด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำและสง่างาม และทุกคนต่างก็ขอบคุณเขาแล้วพากันนั่งลง

ซึ่งหลังจากที่หลินซีเหยียนนั่งลงเก้าอี้ยังไม่ทันจะอุ่น ก็มีเรื่องให้ตาของนางแทบถลนออกมา “ฝ่าบาทเพคะ ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะรายงานเพคะ”

“อย่าเสียมารยาท วันนี้เป็นวันเกิดขององค์ฮ่องเต้ อย่ามาเพิ่มงานให้องค์ฝ่าบาท” แม่ทัพเว่ยหยวนได้เดินมาหาแล้วกล่าว

“ไม่เป็นไร” ฮ่องเต้หาได้ใส่ใจเรื่องที่เฉิงซินหรุ่ยเสียมารยาทไม่ และให้โอกาสนางได้รายงาน

เฉิงซินหรุ่ยผู้ได้รับการให้อภัย ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างยั่วโมโหแล้วกล่าวทันที “ฝ่าบาทผู้ที่อยู่จุดสูงสุดเหนือทุกคน มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะต้องขยับตะเกียบเป็นคนแรกในงานเลี้ยงนี้ นั่นคือกฎที่มีมาแต่ไหนแต่ไร แต่กลับมีผู้ที่ละเมิดกฎนั้นเพคะ”

แล้วองค์ฮ่องเต้ก็ได้มองไปตามทิศที่นางชี้ แล้วจากนั้นสายตาขององค์ฮ่องเต้ก็ได้รู้สึกดึงดูดขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าเขาจะมีนางสนมอยู่แล้วถึง 3,000 คนก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยเห็นใครที่น่าทึ่งเช่นนี้มาก่อน เป็นความงามที่ไร้ที่ติและน่าหลงใหลยิ่งนัก

แต่แล้วเขาก็คิ้วขมวดขึ้นมาเพราะว่าสาวงามคนนั้นกำลังนั่งอยู่ข้างๆเจียงหวายเย่ แต่ก็ยังมีโอกาสที่เขาจะคว้ามาได้เหมือนอย่างฮองเฮาของเขาในเวลานี้ จากนั้นเขาก็นึกถึงแผนการขึ้นมาได้ แล้วองค์ฮ่องเต้ก็ได้มีรอยยิ้มที่เห็นได้อย่างชัดเจน

เมื่อผู้คนคิดว่าองค์ฮ่องเต้คงคิดจะลงโทษหลินซีเหยียนแน่ แต่แล้วองค์ฮ่องเต้ก็ได้สะบัดแขนเสื้อ “ข้าคิดว่านางคงเป็นคนของขององค์ชายเย่ ดังนั้นข้าจะไม่ลงโทษนาง ข้าหวังว่าเมื่อองค์ชายเย่กลับไปจะสั่งสอนนางให้ดี”

คนขององค์ชายเย่? องค์ฮ่องเต้เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? แต่ทว่านั่นยังไม่สำคัญเท่าองค์ชายเย่ไม่ได้ออกมาโต้แย้งแต่อย่างใด……

ในขณะที่ผู้คนกำลังสงสัยกันอยู่นั้น องค์ฮ่องเต้ก็ได้กล่าวขึ้นมาต่อ “ในวันนี้จะไม่ใช่แค่ฉลองวันเกิดของข้า แต่ในตอนท้ายของงานเลี้ยงนี้ ข้าจัดงานแต่งให้องค์ชายเย่ด้วย”

ข่าวนี้ได้ทำให้ผู้คนในงานเลี้ยงฮือฮาขึ้นมาทันที ส่วน เฉิงซินหรุ่ยที่จากเดิมไม่พอใจก็ได้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“น้องเฉิง ไม่ใช่ว่าความรักของเจ้าที่มีต่อองค์ชายเย่จะส่งไปถึงฮ่องเต้แล้วหรอกเหรอ?” ซูโยวอวิ๋นก็หัวเราะคิกคักแล้วพูดหยอกเฉิงซินหรุ่ย ในความคิดของนางนั้นคงไม่มีใครอยากที่จะแต่งกับคนพิการอย่างองค์ชายเย่นอกจากเฉิงซินหรุ่ยแล้ว

เฉิงซินหรุ่ยก็หน้าแดงและแอบมองพ่อของนาง นางรู้ดีว่าพ่อของนางยังคงรักนางอยู่ แต่เขายังต้องโกรธเรื่องที่ไม่เห็นด้วยกันวันนั้นอยู่แน่ๆ

หลังจากที่องค์ฮ่องเต้กล่าวเปิดงานจบ งานเลี้ยงก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

งานเลี้ยงนี้หลินซีเหยียนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เพราะมีสายตารังเกียจจับจ้องมาที่นางตลอดเวลา

ในระหว่างงานเลี้ยงที่น่าเบื่อนี้ ก็ได้มีอีกเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ทำให้หลินซีเหยียนต้องเข้าไปพัวพันกับปัญหาใหญ่อีกแล้ว

“คนงาม ดูเหมือนพวกเราจะพบกันอีกแล้วนะ ช่างเป็นวาสนาจริงๆ” ซางกวนจิ่นที่ไม่เพียงแต่จะมางานเลี้ยงสายแล้ว แต่เขาก็มานั่งข้างๆหลินซีเหยียนอย่างเปิดเผย

โต๊ะขององค์ชายนั้นใหญ่มากซึ่งไม่ได้ทำให้รู้สึกแน่นเลยแม้ว่าจะมีคนเพิ่มมาอีกคน แต่เจียงหวายเย่กลับรู้สึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ที่นี่ไม่ใช่ที่นั่งของคุณชายซางกวนจิ่น”

หน้ากากหยกขาวนั้นได้ปิดบังสีหน้าที่บูดบึ้งของ เจียงหวายเย่เอาไว้อยู่ แต่ผู้คนที่มีวิสัยทัศน์แล้วจะมองออกเลยว่าองค์ชายนั้นไม่พอใจ แน่นอนว่าซางกวนจิ่นนั้นไม่รู้

“องค์ชาย ยิ่งมีคนเยอะก็ยิ่งคึกคักดีออก” ซางกวนจิ่น กล่าวยังหน้าหนาสุดๆ