ซูฉิงหันกลับมามอง และเห็นว่าฮ่อหยุนเฉิงกำลังเดินเข้ามาหาเธอ เห็นได้ชัดว่าเขาตามเธอออกมา
“ใครบอกว่าฉันต้องรายงานนายเมื่อฉันแยกจากนาย? ฮ่อหยุนเฉิง ตอนนี้มันเวลาเลิกงานแล้ว เราไม่ใช่เจ้านายลูกน้องกันแล้ว ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน”
ซูฉิงรู้สึกว่าฮ่อหยุนเฉิงแปลกมาก
ในขณะนั้นก็มีรถคันหนึ่งมาจอดอยู่ข้างหน้าทั้งสองคน และคนขับก็ลงจากที่นั่งคนขับ มาเปิดประตูให้ทั้งสองคน
ซูฉิงรู้ว่าเป็นรถของฮ่อหยุนเฉิง และฮ่อหยุนเฉิงก็เหลือบไปมองทางอื่นแล้วพูดว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว มันไม่ปลอดภัยถ้าเธอจะนั่งแท็กซี่กลับเอง กลับด้วยกันเถอะ ถ้าการเกิดเรื่องอะไรขึ้นตระกูลฮ่อของฉันก็ต้องรับผิดชอบอีก”
ซูฉิงขมวดคิ้ว “ในเมื่อกลัวว่าจะเสียเงิน งั้นก็ไม่จำเป็นหรอก ฉันไม่รับเงินจากตระกูลฮ่อของนายอยู่แล้ว”
เมื่อพูดอย่างนั้นแล้ว ซูฉิงก็กำลังจะเดินจากไป ฮ่อหยุนเฉิงเอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือของเธอไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว “ขึ้นรถ!”
เมื่อเห็นสายตาที่โกรธจัดของซูฉิง ฮ่อหยุนเฉิงก็กล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “ในเมื่อฉันสัญญากับคุณปู่ว่าจะใช้เวลาสามเดือนกับเธอ ช่วงนี้ก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเธอด้วยสิ”
ความหมายของเขาก็คือเขาไม่ต้องการรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุใดๆ ที่จะเกิดขึ้นจึงต้องกลับพร้อมกับซูฉิงอย่างไม่เต็มใจ
ซูฉิงดึงแขนของเธอกลับมา และขึ้นรถ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
ก่อนที่เธอจะมา เธอคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความก้าวหน้าใดๆ กับฮ่อหยุนเฉิงในช่วงสามเดือนนี้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ชายผู้นี้ไม่เพียงแต่มีนิสัยไม่ดี อารมณ์ร้าย แล้วยังพูดจาไม่ดีอีกด้วย
คุณปู่ก็ออกจะเป็นคนฉลาด ทำไมเลือกลูกเขยได้แย่อย่างนี้นะ!
สวีหว่านเอ๋อร์เห็นว่าฮ่อหยุนเฉิงออกมาแล้ว เธอจึงตามออกมา เธอยืนอยู่หลังเสาประตูมองฮ่อหยุนเฉิงและซูฉิงเข้าไปในรถคันเดียวกัน แล้วรถก็ขับออกไป เธอกระทืบเท้าด้วยความอิจฉา
ถ้าคนที่หมั้นหมายกับฮ่อหยุนเฉิงคือเธอ ตอนนี้เธอกับฮ่อหยุนเฉิงก็คงกำลังนั่งอยู่ในรถคันนั้น ซูฉิงแกเป็นใครกันแน่!
สวีหว่านเอ๋อร์หยิบมือถือของเธอออกจากกระเป๋าแล้วกดโทรออก “ฉันจำได้ว่าครั้งที่แล้ว เธอบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับฉันใช่ไหม? ในเมื่อจะเป็นเพื่อนกัน ก็แสดงความจริงใจของเธอหน่อยสิ เธอควรจะให้ของขวัญฉันหน่อยสิ”
เซี่ยซิงซิงเป็นหัวหน้าเลขาของฮ่อหยุนเฉิง เธอโชคดีที่ได้พบกับสวีหว่านเอ๋อร์ในงานเลี้ยง เธอต้องการเข้าสู่แวดวงคนดัง แต่เธอก็ถูกกีดกัน
ตอนนี้สวีหว่านเอ๋อร์กลับเป็นคนเริ่มโทรหาเซี่ยซิงซิงก่อน เธอจึงรีบตอบตกลงอย่างรวดเร็ว “แน่นอนค่ะ คุณสวีต้องการให้ฉันทำอะไรคะ?”
“ง่ายมาก ตอนนี้ซูฉิงกำลังทำงานอันเดอร์เธอ เธอก็แอบใส่ร้ายเธอ และทำให้เธอต้องทุกข์ทรมานสักหน่อย ไม่น่าจะยากใช่มั้ย?”
หลังจากเงียบไปสักพัก สวีหว่านเอ๋อร์ก็พูดขึ้นอีกครั้ง “หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ ถ้าเธอทำได้ดี เธอสามารถเลือกกระเป๋ารุ่นใหม่ล่าสุดได้เลยไม่ว่าจะราคาเท่าไร”
เซี่ยซิงซิงลังเลเล็กน้อยในตอนแรก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “สมแล้วที่เป็นคุณสวี ไม่ต้องกังวลนะคะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน”
“มั่นใจขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“แน่นอนค่ะ ซูฉิงเป็นแค่เลขาตำแหน่งเล็กๆ เท่านั้น ประธานฮ่อไม่เคยสนใจเธอเลย และพนักงานในบริษัทก็ไม่ค่อยชอบเธอ ถ้าฉันจะทำให้เธอทนทุกข์ทรมาน มันก็ง่ายมาก”
เมื่อได้ยินเซี่ยซิงซิงพูดว่าที่บริษัทฮ่อหยุนเฉิงไม่สนใจซูฉิง เธอก็อารมณ์ดีขึ้นในทันที
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนั้นนะ ตราบใดที่เธอทำได้ดี ฉันไม่ลืมรางวัลเธอแน่!”
……..
ภายในรถ ฮ่อหยุนเฉิงและซูฉิงนั่งที่เบาะหลังโดยเว้นช่องว่างระหว่างพวกเขาไว้เยอะมาก
ฮ่อหยุนเฉิงไปมองและเห็นว่าซูฉิงยังคงมีท่าทางเหมือนเดิม เธอกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เธอเล่นเปียโนเก่งจัง เริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?”
ซูฉิงมองไปที่เขาและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คิดว่าเขาจะแปลกใจ แต่เธอไม่คิดว่าเขาจะเริ่มถามเธอก่อน “เก่งเหรอ? ฉันเพิ่งเรียน”
ฮ่อหยุนเฉิง “…….”
เมื่อเห็นท่าทางที่พูดไม่ออกของฮ่อหยุนเฉิง ซูฉิงก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เห็นสวีหว่านเอ๋อร์เล่นครั้งเดียว ฉันก็จำได้แล้ว เป็นไง ฉลาดใช่ไหม?”
ฮ่อหยุนเฉิงหงุดหงิดในใจ “ผู้หญิงอย่างเธอควจะคุยด้วยไม่ได้จริงๆ สินะ”
“งั้นก็ไม่ต้องคุยสิ นายเป็นคนคุยกับฉันก่อนเองนะ โอเค๊?” ซู่ฉิงไม่หันไปมองเขา
“…”
ฮ่อหยุนเฉิงยกมือขึ้นและคลายเนคไท ความโกรธของเริ่มรุนแรงขึ้นในใจเขา เขาโกรธตัวเองมากกว่า เขาไม่ควรพูดกับเธอก่อน
ตอนนี้เขาก็นึกไม่ออกว่าทำไมเมื่อกี้เขาถึงรู้สึกว่าในรถมันเงียบเกินไปเลยต้องหาเรื่องมาคุยกับเธอ ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น
จนกระทั่งกลับถึงบ้าน ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ
ทันทีที่รถจอดที่หน้าประตู ฮ่อหยุนเฉิงก็รีบลงจากรถอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซูฉิงทำตัวเอื่อยเฉื่อยราวกับว่าเธอไม่ได้รับผลกระทบอะไร เธอค่อยๆ ลงจากรถแล้วเดินเข้ามาช้าๆ
ฮ่อหยุนเฉิงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ถือแก้วน้ำอยู่ในมือ ตอนที่ซูฉิงเดินผ่านเขาไม่ได้มองไปที่เธอ เธอเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างช้าๆ
ฮ่อหยุนเฉิงวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างแรง
เมื่อซูฉิงได้ยินเสียงนี้ เธอก็ทำเหมือนไม่สะทกสะท้าน และยังคงขึ้นไปชั้นบนอย่างช้าๆ
แค่ล้อเล่นนิดเดียวก็โกรธขนาดนี้เลยเหรอ? ดูเหมือนการแสดงออกทางอารมณ์ของผู้ชายคนนี้จะไม่ได้เรื่องเท่าไหร่นะ!
คนอย่างนี้สามารถเป็นประธานของตระกูลฮ่อได้เหรอ? กลัวว่าในอนาคตจะทำลายธุรกิจครอบครัวเอาน่ะสิ
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่รับประทานอาหารเช้าอยู่นั้น ซูฉิงก็ต้องอยู่ภายใต้อารมณ์คุกรุ่นของแม่ฮ่อและฮ่อเฉียน
ซูฉิงก็ทำเหมือนพวกเขาเป็นอากาศ พวกเขาอยากจะพูดอะไรก็พูดไป ทำเป็นไม่สนใจพวกเขา
แม่ฮ่อ และฮ่อเฉียนไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ พวกเขาจึงโมโหมาก
ซูฉิงมองว่ามันเป็นเหมือนเรื่องตลก เธอจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอก็ออกไปทำงานทันที
ซูฉิงทำงานเก่งมาก งานของเลขาธรรมดาๆ จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ ดังนั้นในช่วงเช้าเธอจึงทำงานเสร็จอย่างรวดเร็ว หลังพักกลางวันเธอจึงมีเวลาพักผ่อน
บ่ายสามโมง เธอเดินไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อเธอกลับมาก็มีเอกสารกองโตวางอยู่บนโต๊ะ
เมื่อเห็นเซี่ยซิงซิงยืนอยู่ข้าง ๆ ซูฉิงจึงเดาว่านี่เป็นผลงานของเธอ
“นี่ทำอะไรน่ะ?”
เซี่ยซิงซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่งการ “เอกสารทั้งหมดนี้จะต้องถูกบันทึกลงในคอมพิวเตอร์ให้เสร็จจริงๆ แล้ววันนี้จะต้องมีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งแบ่งงานกับเธอ แต่เขามีธุระด่วนจึงลาหยุดไป ดังนั้นเธอจึงต้องทำเองแล้วล่ะ จำไว้นะ! จะต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้ และจัดเตรียมข้อมูลไว้ เพราะจะใช้ในวันพรุ่งนี้”
ซูฉิงเพียงเปิดดูเอกสาร จะต้องป้อนข้อมูลทั้งหมดลงในคอมพิวเตอร์ทีละน้อย มันเป็นงานที่ละเอียดอ่อน และต้องใช้เวลามาก ถ้าวันนี้เธอต้องทำสิ่งเหล่านี้แค่คนเดียว งั้นเธอก็คงจะต้องทำโอทีอย่างแน่นอน
“ถ้ารีบทำไมไม่เอามาให้ตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะ?”
เซี่ยซิงซิงกล่าวอย่างมั่นใจ “มีการเปลี่ยนแปลงแผนไง ฉันก็เพิ่งได้รับคำสั่งจากเบื้องบนมา เป็นเรื่องปกติที่การทำงานจะมีเหตุฉุกเฉินบ้าง ท่าทางอย่างนี้คืออะไร? หรือว่าเธอกำลังบ่น? ซูฉิง แม้ว่าเธอจะเป็นคู่หมั้นของประธานฮ่อ แต่เนื่องจากเธอมาทำงานในบริษัท ฉันคิดว่าเธอควรจะมีหน้าที่รับผิดชอบ และทำงานที่เธอต้องทำด้วยใช่ไหมล่ะ”
ซูฉิงไม่รู้แผนการของเซี่ยซิงซิง แต่เนื่องจากเธอเพิ่วมาที่นี่ แน่นอนว่าเธอต้องทำในสิ่งที่เธอต้องทำ
“แน่นอน”
เมื่อตอบอย่างนั้น ซูฉิงก็นั่งลงและพลิกดูเอกสาร