ส่วนที่ 2 ฝันร้ายหมายเลขเก้า ตอนที่ 5 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (5)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

ฉีมู่ไม่ได้นอนหลับ ครั้นยามรุ่งอรุณมาเยือนดวงตาของเขาจึงมีเส้นเลือดปรากฏไปทั่ว เมื่อซูหว่านกับฟังเถียนเถียนตื่นขึ้นมา เขาก็ปิดกระเป๋าและหยิบอาหารกระป๋องออกมาสองกระป๋องและบิสกิตอีกถุงหนึ่งออกมา 

 

 

“ว้าว! พี่มีอาหารกระป๋องด้วย! พี่ใหญ่ฉี เตรียมตัวมารอบคอบเลยนะคะ พี่เดินป่าบ่อยเหรอคะ” 

 

 

แววตาฟังเถียนเถียนเป็นประกายเมื่อเห็นอาหารน่าลิ้มลอง 

 

 

ฉีมู่ทำได้เพียงระบายยิ้ม “ฉันเป็นเจ้าแห่งการเอาตัวรอดในป่าน่ะ เดี๋ยวเธอก็รู้เอง! ผู้ชายที่ไม่รู้จักการเอาชีวิตรอดในป่าไม่ใช่สามีที่ดีหรอกนะ!” 

 

 

ซูหว่าน : … 

 

 

ฟังเถียนเถียน : …  

 

 

ทั้งสามคนเร่งกินอาหารก่อนเริ่มหาทางออกไปจากที่แห่งนี้ ฉีมู่ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความฝันของเขา หากแต่ซูหว่านจดจำทุกอย่างได้แจ่มชัด ไม่รู้ว่าความคิดผุดมาจากที่ใด ซูหว่านพลันแนะเส้นทางขึ้นมา เส้นทางที่เธอเผชิญหน้ากับฉินลู่ 

 

 

ทั้งสองไม่ได้คัดค้าน ทั้งสามคนจึงเก็บสัมภาระของตัวเองและมุ่งหน้าไปตามเส้นทางนั้นอย่างแน่วแน่ 

 

 

มันเป็นราวกับความฝัน บรรยากาศทั้งเงียบและสงบหลังจากที่เดินมาทั้งวัน ทั้งสามคนไม่ได้เจอกับเรื่องอันตรายแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่พบเพื่อนคนอื่นๆ ที่หายตัวไปอีกด้วย 

 

 

ราวกับเธออยู่ในอาการตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์กำลังเคลื่อนลับหายไปอีกครั้ง ดวงตาของฟังเถียนเถียนขึ้นสีแดง จังหวะก้าวย่างผิดแผกแปลกไปเล็กน้อยอย่างกับต้องการออกไปให้เร็วที่สุดแต่กลับไม่มีทางไป ความหวาดหวั่นและสิ้นหวังเช่นนั้นพาให้ฟังเถียนเถียนหน้าถอดสี 

 

 

ตอนนี้เองที่มีแสงรางๆ ส่องมาจากอีกฟากของแนวป่าทึบ 

 

 

“อ๊ะ!” 

 

 

อยู่ๆ แสงนี้ก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันชวนให้ฟังเถียนเถียนที่ขวัญเสียอยู่แล้วกรีดร้องออกมา แสงนั้นวูบไหวน้อยๆ ตามเสียงของเธอ 

 

 

“ใคร! นั่นใครกัน ออกมาหาฉันนะ!” 

 

 

เด็กสาวตะเบ็งสุดเสียงอย่างกับนักเลงโต 

 

 

เสียงนี้มัน… 

 

 

“ไป๋เสี่ยวเย่ว์!” 

 

 

น้ำเสียงฟังเถียนเถียนแฝงรอยสะอื้น ทว่าเธอก็ลนลานสุดขีดด้วยจำเสียงนี้ได้ในจังหวะนั้น มันเป็นเสียงของไป๋เสี่ยวเย่ว์ เพื่อนร่วมห้องของเธอ 

 

 

ซูหว่านอึ้งไปเล็กน้อยเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงของไป๋เสี่ยวเย่ว์ เธอเพียงต้องการเสี่ยงดวงดูตอนที่เลือกเส้นทางนี้ 

 

 

นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเพื่อนที่นี่จริงๆ 

 

 

ไม่นานหลังจากนั้นไป๋เสี่ยวเย่ว์ก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าทั้งสาม ผมยาวของเธอถูกย้อมเป็นสีม่วงเข้มและเธอกำลังอยู่ในชุดพอดีตัวสีดำ เส้นสายเครื่องประดับระเกะระกะพันห้อยอยู่ที่ข้อมือของเธอ 

 

 

เครื่องแต่งกายหัวจรดเท้าของเธอแสดงรสนิยมล้ำๆ ด้านแฟชั่นของเธอได้เป็นอย่างดี มันทำให้ซูหว่านไม่กล้ามองอีกฝ่ายตรงๆ 

 

 

ไป๋เสี่ยวเย่ว์เกิดในกลุ่มผู้มีอิทธิพล พ่อของเธอเป็นหัวหน้าองค์กรกว้างขวางนี้ ทุกคนต่างเรียกเขาว่าท่านไป๋ และลูกสาวที่เขามีตอนที่อายุมากแล้ว ลูกคนเดียวที่เขามีในชีวิตนี้ก็คือเด็กสาวอันเป็นที่รักของเขา ไป๋เสี่ยวเย่ว์ จินตนาการออกได้เลยว่าตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่เธอโตมากับการถูกท่านไป๋ประคบประหงมเต็มที่ อย่างไรก็ตามก็เห็นกันอยู่ว่าเด็กสาวเอวบางร่างน้อยแสนน่ารักคนนี้เติบโตมาเป็นคนที่หยิ่งยโส ตอนนี้เธอตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ซูหว่านเกรงว่าท่านไป๋คงต้องเป็นคนที่หัวเสียที่สุดเป็นแน่ 

 

 

“พวกเธอสามคนมาอยู่ด้วยกันได้ยังไงล่ะ” 

 

 

ไป๋เสี่ยวเย่ว์เห็นคนทั้งสาม เธอเพ่งสำรวจฉีมู่จากนั้นจึงเปิดปากซักถามพวกเขา 

 

 

“เจอกันระหว่างทางน่ะ” 

 

 

ซูหว่านตอบออกมาเป็นคนแรก “ไป๋เสี่ยวเย่ว์ เธออยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ” 

 

 

พอได้ยินคำถามของซูหว่าน ไป๋เสี่ยวเย่ว์มองหน้าฉีมู่อย่างไม่รู้ตัว หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเธอก็ตอบกลับเสียงเบา “มีแต่ฉันเนี่ยแหละ” 

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ต่อจากนี้เราสี่คนเดินทางไปตามหาพวกเขาด้วยกันนะ!” 

 

 

ฟังเถียนเถียนที่ได้สติกลับมาแล้วก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เธอว่าขึ้นพลางยกมือตบบ่าไป๋เสี่ยวเย่ว์ ชั่วขณะที่มือของฟังเถียนเถียนแตะโดนไหล่ของไป๋เสี่ยวเย่ว์ เลือดเนื้อของมือเธอก็หลอมละลายเหลือเพียงกระดูกขาวแหลมคมที่แทงเข้าที่ไหล่ของไป๋เสี่ยวเย่ว์ไม่ยั้ง 

 

 

ทันใดนั้นเลือดสีดำดึงดูดสายตาก็ผุดขึ้นมาและหยดลงบนพื้นทำให้ต้นหญ้าและดอกไม้ป่าบนพื้นเ**่ยวเฉาลงในฉับพลัน 

 

 

“วิ่งเร็วเข้า!” 

 

 

ท่อนแขนและแม้แต่ร่างกายส่วนบนของฟังเถียนเถียนแปรสภาพต่อไปไม่หยุด เลือดเนื้อกำลังอันตรธานหายไปจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า 

 

 

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น โครงกระดูกสีขาวซึ่งสูญเสียเลือดเนื้อไปกลับหันศีรษะอย่างฝืดเคืองส่งเสียงบดเบียดเสียดหู สุ้มเสียงราบเรียบและแข็งกร้าวดังมาจากปากของเธอขณะที่ฟันกระทบกัน 

 

 

วิ่งเร็วเข้า! 

 

 

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงในชั่วพริบตาเดียว 

 

 

ซูหว่านมองฟังเถียนเถียนที่กลายเป็นโครงกระดูกและรอยเลือดสีดำบนตัวไป๋เสี่ยวเย่ว์อย่างจนปัญญา เส้นผมสีม่วงเข้มของอีกฝ่ายยาวสยายขึ้นเรื่อยๆ ยาวเกินไปจนกระทั่งบดบังใบหน้าจมมิด กระทั่งปกคลุมทั้งร่างของเธอ     

 

 

เรือนผมยาวนี้ปลิวไสวในอากาศพัวพันรัดโครงกระดูกของฟังเถียนเถียน ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาหาซูหว่านกับฉีมู่อย่างรวดเร็ว 

 

 

วิ่ง! 

 

 

ครั้งนี้ซูหว่านตอบสนองในทันควันและลากฉีมู่หันวิ่งหนี! 

 

 

ตามปกติแล้วฉีมู่ชื่นชอบการเอาชีวิตรอดในป่า ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาจึงดีเยี่ยม แต่เขาไม่คิดว่าร่างกายของซูหว่านจะอึดถึงขนาดนี้ด้วย ทั้งสองวิ่งสุดแรงเกิดไปตลอดทางและเธอก็สามารถตามฝีเท้าเขาทันอยู่เสมอ 

 

 

“แล้วเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันเนี่ย” 

 

 

ขณะที่วิ่งหนีฉีมู่อดคิดออกมาดังๆ ไม่ได้ “ฟังเถียนเถียนกับไป๋เสี่ยวเย่ว์ มันไม่เหมือนว่าพวกเธอถูกปีศาจสิงอยู่เหรอ” 

 

 

เมื่อคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ฉีมู่ก็ยังขนหัวลุกไม่หาย 

 

 

ซูหว่านเอาแต่เงียบและไม่ได้หันกลับไปมองเช่นกัน ด้วยเป็นเช่นนี้พวกเขาวิ่งไม่หยุดหย่อนกระทั่งเงาน่าสยดสยองขวางพวกเขาไม่ให้ไปข้างหน้าต่อ 

 

 

ไร้ซึ่งแสงจันทร์หรือแม้แต่ดวงดาวในป่าหนาทึบ มีเพียงเสียงหอบหายใจรุนแรงของซูหว่านกับฉีมู่ให้ได้ยินพร้อมความมืดมิดที่โอบล้อมพวกเขาไว้   

 

 

เงานั้นตระหง่านอยู่ใต้ต้นไม้ผสานเข้ากับแสงสลัว ชวนให้ยะเยือกในใจจนเจ็บ เส้นผมสีม่วงเข้มพริ้วไหวอย่าบ้าคลั่งในคืนที่มืดมิดทั้งคราบเลือดสีดำที่เปื้อนบนร่างของเธอ 

 

 

สิ่งมีชีวิตตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่ไป๋เสี่ยวเย่ว์อีกแล้ว หากแต่เป็นปีศาจสาวไร้หน้าผมปลิวไสวยุ่งเหยิง 

 

 

ปีศาจสาวยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างจากซูหว่านกับฉีมู่ เส้นผมน่าพิศวงเต้นเร่าๆ ราวกับมีกระแสลมรุนแรงกำลังเผชิญหน้าทั้งสองคนอยู่ 

 

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทว่าท่าทีของซูหว่านเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ในห้วงยามที่ชีวิตของใครคนหนึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย เธอผลักฉีมู่ซึ่งอยู่ข้างๆ เธอออกไป “ฉันไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนอื่น” 

 

 

ไม่ทันได้พูดจบเธอก็พลันเบิกตาขึ้น  

 

 

สายลมยามเช้าตรู่พาให้บรรยากาศหนาวเย็นเล็กน้อย ข้างกายเธอคือกองไฟที่มอดดับลงไปนานแล้ว 

 

 

อากาศทั้งเย็นและชื้น ซูหว่านขดตัวเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ฟังเถียนเถียนที่พิงเธออยู่อย่างสบายตัวตื่นขึ้นมาเพราะการเคลื่อนไหวของซูหว่าน 

 

 

“อรุณสวัสดิ์” 

 

 

ฟังเถียนเถียนยังคงง่วงงุน เธอเผลอแตะแขนและขาตัวเองข้างหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะโอดครวญ “หนาวจัง ถ้าเรามีเต็นท์ก็คงดี” 

 

 

พูดมาจนถึงตอนนี้ ท้องเธอก็ร้องประท้วงทำให้ฟังเถียนเถียนที่สดใสและคิดบวกอยู่เสมอหน้าขึ้นสี “เอ่อ ฉันหิวนิดหน่อยน่ะ ซูหว่าน เธออยากกินอะไรไหม ฉันยังมีบิสกิตอยู่ในกระเป๋านะ” 

 

 

“กินอาหารกระป๋องแล้วกัน” 

 

 

ซูหว่านลุกขึ้น เดินอ้อมกองไฟไปยืนข้างกายฉีมู่ เขายังคงหลับสนิทอยู่ ดวงตาปิดแน่นแม้ว่าสีหน้าจะดูไม่ดีนักก็ตาม 

 

 

เธอก้าวผ่านเขาไป เปิดกระเป๋าด้านหลังเขาและหยิบอาหารกระป๋องออกมาสองกระป๋อง 

 

 

อย่างที่คิดไว้ รสชาติและยี่ห้ออาหารกระป๋องไม่ผิดไปจากในความฝัน 

 

 

“ว้าว! ยังมีอาหารกระป๋องด้วยเหรอ” 

 

 

ฟังเถียนเถียนถึงกับพูดไม่ออก “พี่ใหญ่คนนี้เตรียมการทุกอย่างมาดีจริงๆ เขาถือว่าเป็นเจ้าแห่งการเอาชีวิตรอดในป่าได้เลยนะเนี่ย เอ๋ พูดแล้วก็…” 

 

 

ไม่รู้ว่าฟังเถียนเถียนคิดอะไรอยู่ เธอหันหน้าไปจ้องมองซูหว่านทันที “ซูหว่าน เธอรู้ได้ยังไงว่าเขามีอาหารกระป๋องอยู่ในกระเป๋าเป้” 

 

 

“ฉันบังเอิญเห็นมันน่ะ” 

 

 

ซูหว่านตอบกลับอย่างไม่อินังขังขอบ ฟังเถียนเถียนมองเธอก่อนเหลือบไปทางฉีมู่ซึ่งนอนหลับอยู่อย่างรวดเร็ว เธอพึมพำบางอย่างกับตัวเองและเริ่มพยายามเปิดอาหารกระป๋องที่ซูหว่านส่งให้อย่างทุลักทุเล 

 

 

ฉีมู่ลุกขึ้นมาในสภาพเหงื่อแตกพลั่กตอนที่ทั้งสองคนกินอาหารเกือบจะเสร็จแล้ว 

 

 

“ตื่นแล้วเหรอคะ” 

 

 

ซูหว่านที่ถูกเสียงฉีมู่ขยับตัวดึงดูดความสนใจไปถามขึ้นทันที 

 

 

เขายังตัวสั่นเทิ้ม สายตาฉายแววสับสนยามมองซูหว่านในทีแรก ก่อนชำเลืองมองฟังเถียนเถียนอย่างระแวง สายตาของเขายิ่งอ่านยากเกินบรรยายกว่าเดิมเสียอีก…