ตอนที่ 20 หลิงหลานเป็นราชาพุงโต

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

หลานลั่วเฟิ่งและหลิงหนานอีที่อยู่ข้างกายหลิงหลานต่างมองดูสภาพร่างกายและสีหน้าของหลิงหลานด้วยความตึงเครียด น้ำยานี้ต้องแช่ให้เสร็จสิ้นทุกขั้นตอนในขณะที่มีสติอยู่ถึงจะได้รับประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ถ้าหากหมดสติลง ประสิทธิภาพก็เปลี่ยนเป็นด้อยลงมาก นอกจากนี้การแช่น้ำยาครั้งแรกจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ถึงแม้ว่าหลิงหนานอีจะเห็นหลิงหลานขมวดคิ้วน้อยๆ เป็นปม แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าดุดันเหมือนกับเวลาเด็กคนอื่นๆ แช่น้ำ เธออดลอบผงกศีรษะไม่ได้ สมกับที่เป็นลูกของนายท่านพวกเขาจริงๆ ความอดทนนี้เหนือกว่าผู้ใดโดยสิ้นเชิง ถ้าหากนายท่านยังอยู่จะต้องปลื้มใจกับผู้สืบทอดของตัวเองมากๆ แน่นอน

ทุกครั้งที่หลิงหลานทำหน้าบิดเบี้ยว มือของหลานลั่วเฟิ่งก็อยากจะไปอุ้มหลิงหลานกลับมาตามจิตใต้สำนึก ความเจ็บปวดในแววตาของเธอยังจะมากกว่าความเจ็บปวดที่ร่างกายของหลิงหลานทนรับไว้ เธอไม่อยากให้ลูกของตัวเองแบกรับความทรมานที่ยากจะทานทนแบบนี้เลยจริงๆ เธอไม่ได้ลืมคำพูดที่หลิงเซียวเคยบอกไว้ว่า น้ำยาของตระกูลหลิงมีประสิทธิภาพดีมากจริงๆ แต่ในทางตรงกันข้าม มันก็มอบความเจ็บปวดทางกายที่คนทั่วไปไม่อาจทนไหว

ดวงตาทั้งสองข้างของหลานลั่วเฟิ่งดูโศกเศร้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด น้ำตาส่องประกายวาบที่ขอบตาของเธอ

หลิงหนานอีสัมผัสได้ถึงความไม่เต็มใจของหลานลั่วเฟิ่ง เธออดกล่าวปลอบโยนไม่ได้ว่า “คุณนายคะ ถึงจะไม่เต็มใจก็ต้องอดทนให้ได้ ถ้าสร้างรากฐานให้ดีถึงจะทำให้คุณชายน้อยใช้ชีวิตที่ดีขึ้นได้ โลกนี้ยังเป็นโลกที่เคารพผู้แข็งแกร่ง ถ้าหากไม่มีความสามารถก็ปกป้องของที่นายท่านทิ้งไว้ไม่ได้หรอกนะคะ”

หลานลั่วเฟิ่งเงยหน้าเอ่ยว่า “ฉันรู้ วางใจเถอะ ฉันฝืนทนต่อไปได้ ฉันเชื่อว่าหลิงหลานเองก็ฝืนทนต่อไปได้เหมือนกัน” ก็เหมือนกับที่หลิงหนานอีว่าไว้ มีเพียงช่วงเวลาในตอนเด็กเท่านั้นที่จะสร้างรากฐานที่ดีได้ ลูกของเธอถึงจะใช้ชีวิตตามใจชอบได้ในอนาคต

………..

“ฉันต้องไปศึกษาสูตรลับนี้ มันน่ามหัศจรรย์เกินไปแล้ว ถ้าหากทำความเข้าใจเรื่องเภสัชศาสตร์ได้แล้ว บางทีฉันอาจจะบุกเบิกยาชนิดใหม่ออกมาก็ได้ นายท่าน ฉันไปแล้วนะ เธอก็ค่อยๆ อดทนล่ะ…” เสี่ยวซื่อทิ้งหลิงหลานอย่างไร้มโนธรรมมาก และเข้าไปในห้องวิจัยของตัวเองด้วยความร่าเริงเพื่อศึกษาสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ของเขา

ให้ตายสิ ไอ้เด็กไร้มโนธรรม! หลิงหลานที่คาดหวังว่าจะสามารถคุยเล่นเพื่อเบนความสนใจจากความเจ็บปวดก็ได้ดูถูกการกระทำอันเห็นแก่ตัวของเสี่ยวซื่อ เธอตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจะต้องอบรมสั่งสองเสี่ยวซื่อให้ดี ทำให้เขารู้ว่าไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่านายท่านของเขา

ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ร่างกายของหลิงหลานชักเกร็งอย่างอดทนไม่ไหว ในปากก็แค่นเสียงต่ำขึ้นมา เธอพลันนึกถึงเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายที่สามารถผ่อนคลายความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแบบนี้ได้ จากนั้นเธอก็รีบเริ่มโคจรลมปราณบำรุงร่างกาย มันมีประสิทธิภาพจริงๆ ความรู้สึกเจ็บปวดลดลงไปมาก เธอรู้สึกว่าสามารถทนรับไหวได้แล้ว

อาการเกร็งกระตุกอย่างรุนแรงของร่างกายหลิงหลานทำให้หลานลั่วเฟิ่งกับหลิงหนานอีเครียดเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการเจ็บปวดใจล้วนๆ ของหลานลั่วเฟิ่งที่มีต่อความทรมานที่หลิงหลานได้รับ หลิงหนานอียิ่งกังวลใจกับสถานการณ์ต่อไปมากยิ่งขึ้น เธอรู้ดีว่าอีกครึ่งชั่วโมงก็จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการแช่น้ำยา และก็เป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดยากจะทนทานมากที่สุด มีเด็กทารกมากมายที่สลบไปในช่วงเวลานี้ ต่อให้เป็นนายท่านที่ถึงแม้จะไม่ได้หมดสติไปเมื่ออดทนต่อครึ่งชั่วโมงนี้ แต่เขาก็เจ็บปวดจนถึงขั้นจิตใจเหม่อลอย ผ่านไปครึ่งวันถึงจะได้สติกลับมา

บางทีวิธีการโคจรลมปราณบำรุงร่างกายอาจจะฝังลึกอยู่ในความทรงจำของร่างกายหลิงหลาน ถึงอย่างไรเธอก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาลมปราณนี้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หลิงหลานเข้าสู่สมาธิในระดับลึกอย่างรวดเร็ว เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงบนร่างกายอีกต่อไป และรู้สึกได้ว่าร่างกายอยู่ท่ามกลางความร้อนรุ่ม

เมื่อเห็นสีหน้าสงบนิ่งของหลิงหลาน หลานลั่วเฟิ่งก็โล่งอก ดูท่าหลิงหลานจะอดทนผ่านอีกด่านไปได้

มีเพียงหลิงหนานอีที่รู้เรื่องคุณสมบัติของยาดีเท่านั้นที่รู้สึกมึนงง หรือว่าฤทธิ์ของน้ำยาจะถูกดูดซับหมดแล้ว? เธอมองดูน้ำยาที่ยังคงเป็นสีเขียวเข้มจนเกือบดำ รู้ว่าฤทธิยายังคงเต็มเปี่ยม

ในเมื่อฤทธิ์ยายังอยู่ ความเจ็บปวดย่อมต้องเพิ่มขึ้นสิ เช่นนี้ดูแล้ว ถ้าคุณชายน้อยหลิงหลานของพวกเขาไม่ได้เป็นเด็กที่อดทนต่อความเจ็บปวดในระดับสุดยอด เช่นนั้นเส้นประสาทกับรับรู้ความเจ็บปวดก็บกพร่องค่อนข้างเชื่องช้าแล้ว

หลิงหนานอีโน้มเอียงไปทางการคาดเดาว่าประสาทการรับรู้ความเจ็บปวดบกพร่อง ลองคิดดูนะ เด็กทารกอายุหนึ่งขวบครึ่งสามารถมีความอดทนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้เหรอ และเนื่องจากการคาดการณ์ด้วยความเข้าใจผิดของหลิงหนานอี ทำให้หลิงหลานได้รับความยากลำบากจากการอบรมสั่งสอนในเวลาต่อมามากยิ่งขึ้น เนื่องจากตระกูลหลิงคิดว่าในเมื่อหลิงหลานมีข้อบกพร่องทางด้านการรับรู้ความเจ็บปวด เช่นนั้นก็ต้องฝึกให้โหดมากขึ้น ทำให้เธอรับรู้ว่าความเจ็บปวดคืออะไรกันแน่

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลิงหลานที่อยู่ในอาการใจลอยก็รู้สึกได้ว่าเธอถูกอุ้มขึ้นมาจากในถัง แล้วก็ถูกวางไว้บนเตียง มีคนเริ่มนวดเธอเบาๆ ความผ่อนคลายทำให้หลิงหลานฝืนต่อไปไม่ไหวอีก หลังจากนั้น…เธอก็ผล็อยหลับไป

………..

หลิงฉินส่งคนของหน่วยกองทัพจากไปแล้วก็คุ้มกันอยู่ด้านนอกมาโดยตลอด เมื่อเขาเห็นพวกเธอเดินออกมาก็รีบเอ่ยถามว่า “ผลเป็นยังไงบ้าง”

หลิงหนานอีทำหน้าตื่นเต้น เธอพยักหน้าอย่างรุนแรงและเอ่ยว่า “ผลออกมาดีมากเป็นพิเศษ ทุกด้านเพิ่มสูงขึ้นสามสิบจนถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์”

คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของหลิงฉินกระตุกอย่างรุนแรง “นี่เป็นความจริงเหรอ” จำเป็นต้องทราบว่าการแช่ยาในแต่ละยุคของตระกูลหลิง เจ้าบ้านหลิงเซียวได้รับประสิทธิผลที่ดีที่สุด เวลานั้นดัชนีทุกอย่างต่างเพิ่มขึ้นสิบถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์

เมื่อเห็นหลิงหนานอีพยักหน้าอย่างหนักแน่น หลิงฉินก็น้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจและอดกล่าวไม่ได้ว่า “สวรรค์คุ้มครองตระกูลหลิงของฉัน สวรรค์คุ้มครองตระกูลหลิงของฉันแล้ว”

หลิงหนานอีกุมมือของสามีตัวเองอย่างเงียบเชียบ เธอย่อมรู้ว่าสำหรับสามีแล้ว ข่าวนี้คือการปลอบใจอย่างมาก ถึงแม้ว่าท่านเจ้าบ้านหลิงเซียวจะเป็นเจ้าบ้านของตระกูลหลิง ทว่าก็เป็นเด็กที่เลี้ยงดูมากับมือ เขารักหลิงเซียวเหมือนกับเป็นบุตรชายของตัวเอง การจากไปของเขาทำร้ายสามีของเธอไม่น้อยไปกว่าคุณนายเท่าไรเลย

“ดูเหมือนว่า ศักยภาพของร่างกายคุณชายน้อยจะได้รับสืบทอดมาจากนายท่านหลิงเซียว การดูดซับยากระตุ้นยีนสิบหลอดทุกครั้งทำให้ได้รับประสิทธิผลของการแช่น้ำยาเยอะมากเหมือนกัน…” หลิงหนานอีกล่าวพลางถอนหายใจ

หลิงฉินยังคงสะกดกลั้นความรู้สึกตื่นเต้นได้ยาก เขาทำได้เพียงผงกศีรษะทั้งน้ำตาอย่างสุดความสามารถ สามีภรรยาคู่นี้ได้แต่เข้าใจเช่นนี้เท่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าสาเหตุที่ประสิทธิผลของการแช่น้ำยาของหลิงหลานดีขนาดนี้เป็นเพราะการฝึกปรือเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายทั้งสิ้น มันกระตุ้นความสามารถในการดูดซับยาของร่างกายอย่างมหาศาล ทำให้ฤทธิ์ยาเข้าไปบำรุงร่างกายได้ดีมากขึ้น และปรากฏระดับการพัฒนาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

หลิงหลานเริ่มต้นวิถีชีวิตในการแช่น้ำยาของเธอเช่นนี้เอง ไม่เพียงเท่านี้ เธอยังดัดตัวทำท่าทางต่างๆ ที่เกินขีดจำกัดของมนุษย์ทุกวัน แน่นอนว่า เธอจำเป็นต้องลอบฝึกฝน ไม่อย่างนั้นมารดาของเธอจะต้องบ้าตายแน่นอน

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า หลิงหลานค่อยๆ เติบโตขึ้น หลังจากนั้นเธอก็พบว่าเธอแม่งกลายเป็นราชาพุงโต[1]ไปแล้ว เธอสามารถจัดการปริมาณอาหารหนึ่งวันของมารดาได้ภายในมื้อเดียว

สวรรค์ เธอเพิ่งจะอายุสี่ขวบนะ! หรือว่าเธอจะเติบโตไปทางแนวขวางแล้วเหรอ

ไม่ได้นะ วันนี้เธอจะต้องควบคุมอาหารให้ได้ จำเป็นต้องรู้ว่าเธอเป็นเด็กทารกที่มี ‘หลักสี่ประการ’ นั่นก็คือมีความฝัน มีศีลธรรม มีความยับยั้งชั่งใจ มีเป้าหมาย เธอไม่สามารถพ่ายแพ้ให้กับท้องและกลายเป็นหมูตอนโดยเด็ดขาด

ในขณะที่หลิงหลานกำลังปลุกใจตัวเอง ทันใดนั้นก็พบว่าเธอจัดการหมี่ผัดจานใหญ่ยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าเมื่อสักครู่นี้ไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เธอทำหน้า囧 ดูถูกว่าหมี่ผัดไม่เอาไหนเกินไปแล้ว มันไม่เพิ่มระดับความอิ่มให้เธอเท่าไรเลย เธอลูบท้องที่ยังคงแบนราบอยู่บ้างและเตือนตัวเองในใจว่าทานไม่ได้เด็ดขาด…

หลิงหลานทำหน้าเด็ดเดี่ยว เธอตบโต๊ะแรงๆ ทีหนึ่งและตะโกนเสียงดังว่า “เอาสเต๊กชิ้นใหญ่สุดยอดมาให้ฉันอีก!”

ให้ตายเถอะ รสชาติของความหิวยากจะรับไหวมากเกินไปจริงๆ หลิงหลานพบว่านี่ลำบากมากกว่าการทนรับความเจ็บปวดอีก

ช่างเถอะ ถึงอย่างไรชีวิตนี้ก็ถูกกำหนดให้เป็นผู้ชายแล้ว ถ้าหากไม่ระวังกลายเป็นหนุ่มหล่อระดับสุดยอดที่โดดเด่นมีเสน่ห์ สง่างามมีมารยาท หล่อเหลาหาใดเปรียบ จนดึงดูดสาวสวยในใต้หล้านับไม่ถ้วนมาโค้งตัวให้หลงรักเธอที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายคนนี้ มันก็จะเป็นปัญหายุ่งยาก เพื่อช่วยเหลือสาวน้อยที่โง่เขลาและลดบาปกรรม ทำให้ผู้ชายที่น่าเวทนาพวกนั้นไม่ต้องเป็นโสดสามารถแต่งภรรยาได้ เธอก็ควรจะทานให้อ้วนขึ้นหน่อย!

แค่ก เธอเป็นคนที่ใจอ่อนจริงๆ นะ!

หลิงหลานถูกจิตวิญญาณการอุทิศตนของตัวเองทำให้รู้สึกตื้นตันใจ เธองับสเต๊กชิ้นโตเป็นพิเศษที่คนรับใช้เพิ่งจะส่งเข้ามาด้วยความเด็ดขาด

จำเป็นต้องพูดว่า หลิงหลานถนัดหาเหตุผลในการปรับตัวเก่งมาก และเธอก็หาข้ออ้างให้ความตะกละของเธอได้อีกครั้ง

………………………………………

[1] ราชาพุงโต นักกินที่กินได้เยอะมากๆ