บทที่ 13 สั่งสอน

“เขาคือคนรักของฉัน!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้อู๋เส้าฮัวแทบจะไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง อันที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้ชอบหลี่หรงจริง ๆ เขาแค่เห็นว่าเธอเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจดีก็เท่านั้น และยิ่งเฉพาะเมื่อเห็นว่าเธอเล่นตัวกับเขามากมันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอยากพิชิตใจเธอให้ได้ก็เท่านั้น

แต่แล้วจู่ ๆ เป้าหมายของเขากลับถูกไอ้ขยะผู้นี้คว้าไปครองซะอย่างนั้น?

ก่อนหน้านี้หลี่เม่ยคนที่เขาหลงจนหัวปักหัวปำก็เลือกไอ้ขยะผู้นี้ แล้วมาตอนนี้คนที่เขาเล็งไว้ก็ถูกแย่งไปอีก แบบนี้เขาจะยอมรับมันอีกได้ยังไง?

“นังผู้หญิงโสโครก! แกนี่มันไม่ต่างอะไรกับพี่สาวของแกเลยที่ชอบเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับขยะเหม็น ๆ แบบนี้ แม่งเอ๊ย ไม่ว่ายังไงวันนี้ฉันต้องได้ตัวแกมาให้ได้!” อู๋เส้าฮัวตะโกนขึ้นพลางชี้นิ้วไปที่อวี้ฮ่าวหราน และหลี่หรงด้วยสีหน้าเดือดดาล

“เฮ้ พวกแก 2 คนยืนมองเฉย ๆ ทำบ้าอะไรกัน ฉันสั่งให้พวกแกจัดการกับมันไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้วทำไมพวกแกยังนิ่งกันอยู่อีก!?” หลังจากด่าหลี่หรง และอวี้ฮ่าวหรานไปแล้วอู๋เส้าฮัวก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปด่าบอดี้การ์ด 2 คนที่เขาพามาด้วย

บอดี้การ์ด 2 คนเมื่อโดนด่าแบบนี้ก็รู้สึกไม่พอใจนัก แต่พวกเขาก็ตอบโต้อะไรไม่ได้เพราะฝั่งตรงข้ามเป็นถึงนายน้อยของตระกูลอู๋ พวกเขาทำได้แต่พยักหน้า และวิ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

แต่แล้วก่อนที่บอดี้การ์ด 2 คนจะทันได้ออกหมัด อวี้ฮ่าวหรานก็พุ่งตัวสวน และปล่อยหมัดสองหมัดเข้ากลางอกของบอดี้การ์ดทั้งสองภายในพริบตา

“ปัง ปัง!”

บอดี้การ์ดร่างยักษ์ทั้งสองเมื่อโดนหมัดของอวี้ฮ่าวหรานอัดเข้ากลางอกอย่างจังร่างของพวกเขาก็ลอยละลิ่วไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรง และร่วงลงมานอนร้องครวญครางอยู่ที่พื้นด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสจนลุกมาอีกไม่ไหว

การต่อสู้จบลงในพริบตา

อู๋เส้าฮัวเมื่อเห็นภาพนี้เขาแทบจะเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้น

รอบที่แล้วที่เขาโดนอัดไปเขายังไม่คิดว่าอวี้ฮ่าวหรานจะเก่งกาจอะไรมากมาย แต่รอบนี้เมื่อเห็นว่าบอดี้การ์ดที่เป็นอดีตหน่วยรบพิเศษทั้งสองคนถูกอัดจนลุกไม่ไหวภายในพริบตา เขาก็ได้รู้แล้วว่าอวี้ฮ่าวหรานนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง

ตอนนี้อู๋เส้าฮัวไม่หลงเหลือความมั่นใจใด ๆ อีกแล้ว

“กะ กะ แก แกอย่าเข้ามานะ!” อู๋เส้าฮัวตะโกนลั่นด้วยสีหน้าหวาดกลัวพลางก้าวถอยหลังไปเรื่อย ๆ

“กลับไปซะ อย่ามาให้ฉันหน้าแกอีก ส่วนพวกแกสองคนก็รีบออกไปเดี๋ยวนี้ แล้ววันหลังก่อนจะรับงานใครพวกแกช่วยดูด้วยว่าเป้าหมายมันเป็นฉันหรือเปล่า เพราะไม่อย่างนั้นเจอกันคราวหน้าฉันไม่ใจดีกับพวกแกแบบนี้แน่นอน ไปซะ!” อวี้ฮ่าวหรานโบกมือไล่อู๋เส้าฮัว และบอดี้การ์ดทั้งสองด้วยสีหน้ารังเกียจ

เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามปล่อยให้เขาไป อู๋เส้าฮัวและบอดี้การ์ดทั้งสองก็รีบวิ่งหนีออกไปจากออฟฟิศของหลี่หรงทันที

จากนั้นในทันทีที่อู๋เส้าฮัววิ่งกลับเข้าไปใน BMW Z4 ของตัวเองที่จอดอยู่หน้าบริษัทของหลี่หรงได้สำเร็จ เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวขึ้นมาและกดปุ่มโทรออกด้วยสีหน้าอาฆาต

“เฮ้ ฉัน อู๋เส้าฮัว สั่งการลงไปให้ใช้ทรัพยากรทั้งหมดของบริษัทเราทำลายบริษัทในเครือของตระกูลหลี่ให้ราบคาบให้หมดให้ได้!”

เมื่อพูดจบประโยคอู๋เส้าฮัวก็วางสายอย่างรุนแรงทันที และโยนโทรศัพท์ไปที่เบาะข้างคนขับ

เขากัดฟันกรอด และหันกลับไปมองทางบริษัทของหลี่หรงอีกรอบอย่างอาฆาตแค้น “ก็ได้! ในเมื่อฉันไม่ได้ คนอื่นก็อย่าคิดที่จะสมหวัง ฉันจะทำลายมันซะให้หมด!”

เมื่อสาปแช่งจบเขาก็สตาร์ทรถ และขับออกไปในทันที

ตัดกลับมาที่ในออฟฟิศของหลี่หรง

ขณะนี้หลี่หรงยืนมองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าตกตะลึง “นะ..นี่..นายคืออวี้ฮ่าวหรานจริง ๆ งั้นเหรอ?”

หลี่หรงมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเธอก็เห็นว่ารูปลักษณ์ภายนอกของชายตรงหน้านั้นก็คืออวี้ฮ่าวหรานที่เธอเคยรู้จัก แต่ท่าทีของเขานั้นมันกลับเหมือนคนละคนกับที่เธอเคยรู้จักเมื่อในอดีต

อวี้ฮ่าวหรานในตอนนี้ดูสงบเงียบมาก เขาดูเหมือนทะเลสาบที่เงียบสงบแต่มันมีความลึกที่ยากจะหยั่งถึงแถมเขายังดูมีเสน่ห์มาก ๆ เลย…

“เธอจ้องพี่พอหรือยัง?” อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเมื่อเห็นว่าหลี่หรงจ้องเขาเขม็งแบบนี้ สายตาของหลี่หรงตอนนี้มันมีทั้งความตกตะลึงและชื่นชมจนเกือบจะหลงใหลในเวลาเดียวกัน

“หวา! ขอโทษ ๆ” เมื่อได้ยินคำทักของอวี้ฮ่าวหราน หลี่หรงก็ได้สติว่าเธอจ้องฝั่งตรงข้ามนานเกินไปแล้ว เธอรีบก้มหน้าปกปิดอาการหน้าแดงของเธอทันที

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ เขาไม่ได้คิดอะไรมากมายเกี่ยวกับท่าทีของน้องภรรยาของเขา จากนั้นเมื่อเขาเห็นว่าเรื่องทุกอย่างมันคลี่คลายแล้วเขาจึงหันหลัง และเดินออกไปจากห้อง

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เดินออกไปพ้นประตู หลี่หรงก็รีบวิ่งเข้ามาขวางเขาไว้ และพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “ดะ..ดะ..เดี๋ยวก่อน! นะ นาย พี่..เขย พี่อย่าเพิ่งไปได้ไหม ฉันขอเลี้ยงข้าวพี่สักหน่อยเพื่อเป็นการตอบแทนที่พี่ช่วยฉันเอาไว้…”

อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ เพราะนี่มันเป็นครั้งแรกที่หลี่หรงเรียกเขาว่าพี่เขย ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเธอมันจะยังดูกระอักกระอ่วนแต่มันก็แฝงไปด้วยความเต็มใจ จนทำให้อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจที่ในที่สุดน้องภรรยาของเขาก็ยอมรับในตัวเขาแล้ว

ในห้อง VIP ของภัตตาคารแห่งหนึ่ง

“พี่เขย พี่ช่วยบอกฉันหน่อยจะได้ไหมว่าทำไมตอนนี้พี่ถึงได้เก่งกาจขนาดนี้? ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนพี่ไม่กล้าสู้กับคนธรรมดาด้วยซ้ำ?”

ในขณะที่หลี่หรงถามคำถามแนว ๆ นี้ไปเรื่อย ๆ ในทางกลับกันอวี้ฮ่าวหรานกลับตอบแค่คำว่า

“อืม”

“อ้อ”

“ใช่”

“เปล่า”

ถึงแม้ว่าคำตอบแบบนี้ของอวี้ฮ่าวหรานมันจะทำให้เธอรำคาญอยู่บ้างแต่เธอก็ยังถามต่อไปอย่างไม่ลดละ และที่สำคัญเธอถามในระหว่างที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ด้วยซ้ำ!

อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นภาพนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างระอาใจ และทำให้นึกถึงภาพที่เขา หลี่เม่ย และหลี่หรงออกไปกินข้าวด้วยกันเมื่อในอดีต

แต่ก่อนตอนนั้นหลี่หรงก็มักจะทำตัวตามสบายแบบนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา และภรรยา

“นี่เธอยังไม่เลิกนิสัยกินไปคุยไปแบบนี้อีกหรือไง?” อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น

“ใช่!” หลี่หรงตอบกลับด้วยท่าทางสบาย ๆ พร้อมกับหยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดปากเช็ดคางที่เลอะเทอะของเธอ

อันที่จริงคำตอบนี้มันไม่ถูกต้องนัก เพราะตามปกติแล้วหากกินข้าวร่วมกับคนอื่น หลี่หรงจะไม่แสดงมารยาทบนโต๊ะอาหารแบบนี้แน่นอน แต่การแสดงความสามารถของอวี้ฮ่าวหรานเมื่อครู่ที่ปกป้องเธอเอาไว้มันล้างความขุ่นเคืองที่เธอรู้สึกกับเขาตอนที่เขาหายไปจนเบาบางลง และแทนที่ด้วยความรู้สึกสบายใจที่เธอเองก็บอกไม่ถูกจนเธออยากทำตัวตามสบายเหมือนที่เคยทำมา

“หลายปีที่ผ่านมาเธอคงลำบากมามากเลยสินะ” จู่ ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอนสิ! ก็ตั้งแต่ที่พวกพี่หายไปฉันก็เป็นคนที่ต้องทั้งทำงานและดูแลความเป็นอยู่ของถวนถวน พี่รู้หรือเปล่าว่าฉันแทบจะไม่มีเวลาทำอะไรให้ตัวเองเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และชีวิตของถวนถวนเองก็…”

หลี่หรงหยุดคำพูดของตัวเธอเองเอาไว้ตรงนี้ เมื่อเธอเห็นสีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานที่กลายเป็นมีความสุขเมื่อได้ยินชื่อของถวนถวน เธอไม่อยากให้เรื่องความลำบากของถวนถวนมารบกวนจิตใจของอวี้ฮ่าวหรานในตอนนี้