บทที่ 18 หนึ่งประโยคสะเทือนกลุ่มคนทราม Ink Stone_Fantasy
“สหาย ฉันไม่ใช่คนนอก ฉันเป็นประธานกรรมการที่เพิ่งจะเข้าดำรงตำแหน่งของเครือหวังไห่” เย่เทียนเฉินกล่าวกับยามคนนั้นด้วยรอยยิ้ม
“ถ้านายเป็นประธานกรรมการคนใหม่ของเครือไห่หวัง งั้นฉันก็เป็นผู้ก่อตั้งเครือไห่หวังแล้ว”
ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่หวานฉ่ำเสียงหนึ่ง เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง พบเพียงสาวงามร่างสูงคนหนึ่ง ใส่แว่นกันแดดสีดำขนาดใหญ่อันหนึ่ง สวมกระโปรงลายดอกไม้สวยงาม โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นที่สวมอยู่บนเท้า มองแล้วให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายของผู้หญิงเต็มที่ มือซ้ายลากกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง มือขวากำลังกดโทรศัพท์อยู่
ตอนนี้เอง พอยามที่ยืนอยู่ตรงประตูเห็นสาวงามร่างสูงคนนี้ก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูกลับมาแล้วเหรอครับ ให้ผมช่วยถือกระเป๋านะครับ เชิญด้านในเลยครับ”
สาวงามร่างสูงคนนั้นถอดแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ออก ดวงหน้ารูปไข่อันงดงาม ดวงตาโตสวย ปากเล็กๆ ทรงดอกซากุระที่มีสีแดงเปล่งปรั่ง รวมกับรูปร่างอันน่าภาคภูมิใจที่เต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้ง นับได้ว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง
“พี่ชายฉันมาถึงหรือยัง?” สาวงามร่างสูงมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง สายตาเจือความโกรธแค้นอยู่เล็กน้อย กล่าวกับยามที่ยืนเฝ้ายามอยู่
“นายน้อยยังมาไม่ถึงครับ แต่ก็น่าจะใกล้แล้ว คุณหนูเชิญด้านในเถอะครับ!”
“ยังไม่ถึงอีกเหรอ? พี่ฉันนี่จริงๆ เลย เอาแต่เร่งคนอื่น ตอนนี้ดันมาสายซะได้ นี่ฉันลงจากเครื่องก็รีบมาเลยนะ”
เย่เทียนเฉินเห็นสาวงามร่างสูงคนนั้นเดินเข้าไปในตึกใหญ่กับยาม ดูเวลาก็ใกล้จะถึงเวลาที่นัดกับตระกูลฉีไว้แล้ว เดิมทีเย่เทียนเฉินไม่ได้อยากมาที่เครือไห่หวัง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้มีความสนใจจะเป็นประธานกรรมการอะไรนี่เลย แต่คำกล่าวของแม่ก็กล่าวได้ถูกต้อง ตอนนี้มีหุ้นของเครือไห่หวังอยู่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ กลายเป็นประธานกรรมการที่แท้จริง หากว่าไม่ไปที่บริษัทเลย เกรงว่าบริษัทจะถูกผู้ไม่ประสงค์ดีฮุบไป ถึงอย่างไรหุ้นมากกว่าครึ่งของเครือไห่หวังเมื่อก่อนก็เคยเป็นของตระกูลฉี
ตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้ามาในตึกใหญ่ของเครือไห่หวัง ก็พบว่าภายในตกแต่งได้อย่างหรูหราพอสมควร ทั้งยังสะอาดและเรียบร้อยเป็นพิเศษ ไม่มีของตกแต่งอะไรที่เกินความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา หญิงสาวสวมชุดทำงานคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้ารับแขก กล่าวถามยิ้มๆ ว่า “คุณผู้ชาย มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”
“อ่า ผมนัดกับฉีย่ากวงไว้ครับ บอกว่าจะประชุมกันที่ห้องประชุมใหญ่ ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“เอ๊ะ? คุณนัดกับประธารกรรมการฉีไว้เหรอคะ?”
เห็นได้ชัดว่าสาวสวยพนักงานต้อนรับคนนี้ ไม่เชื่อคำพูดของเย่เทียนเฉิน เครือไห่หวังมีตระกูลฉีครอบครองหุ้นอยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต์ ตลอดมาก็มีฉีย่ากวงผู้เป็นหลานคนโตและนายน้อยแห่งตระกูลฉีคอยดูแลจัดการ เป็นประธานกรรมการของเครือไห่หวัง รวมกับชื่อเสียงของจระกูลฉีในเมืองหลวง มีน้อยคนที่จะกล้าเรียกชื่อฉีย่ากวงตรงๆ อีกทั้งชายตรงหน้าที่สวมชุดธรรมดาๆคนนี้ แม้ว่าจะมีความหล่ออยู่หลายส่วน ก็คงจะไม่สามารถนัดหมายกับฉีย่ากวงได้หรอก พอดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่อยู่ระดับเดียว ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนไม่ค่อยเชื่อ
“ใช่แล้ว ผมคิดว่าตอนนี้หคงมีคนมาถึงหลายคนแล้ว ผมขึ้นไปก่อนนะ!”
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเห็นป้ายตึกที่อยู่ในห้องโถง จึงทราบว่าที่ชั้นยี่สิบสองซึ่งเป็นชั้นบนสุด เป็นสถานที่ที่ผู้ถือหุ้นประชุมกัน จึงเดินไปที่ลิฟท์ สาวงามที่เป็นพนักงานต้อนรับคนนั้นได้สติกลับมา อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ครึ่งวันก็พูดไม่ออก เนื่องจากเธอดูเหมือนจะมีความรู้สึกว่าสิ่งที่ผู้ชายธรรมดาๆ คนนี้พูดเป็นความจริง วันนี้ตอนเช้าผู้ถือหุ้นทั้งหมดของเครือไห่หวังก็ค่อยๆ ทยอยมาถึงกันแล้ว
เย่เทียนเฉินขึ้นลิฟท์ไปจนถึงชั้นยี่สิบสอง ในส่วนลึกสุกของชั้นยี่สิบสอง มีประตูขนาดใหญ่ที่แกะสลักรูปดอกไม้ขนาดใหญ่อยู่บานหนึ่ง คิดว่าที่นี่คงเป็นสถานที่ที่ผู้ถือหุ้นของเครือไห่หวังประชุมกัน
เมื่อเดินไปถึงประตูใหญ่ของห้องประชุม เย่เทียนเฉินยังไม่ได้ผลักประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียโวยวายจากข้างใน
“ประธานฉี ตระกูลฉีของคุณให้หุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์แก่ตระกูลเย่ ให้เจ้าเศษสวะเย่เทียนเฉินมารับช่วงต่อ เตรียมตัวจะทิ้งแล้วใช่ไหม?”
“ใครก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นตัวตลกของเมืองหลวง ตระกูลฉีของคุณคิดหาวิธีทางไม่น้อยเพื่อจะได้ถอนหมั้นกับตระกูลเย่ ขนาดหุ้นของเครือไห่หวังก็ยังให้ไปครึ่งหนึ่ง หรือว่าจะให้เศษสวะนั่นมาเป็นประธานกรรมการที่นี่จริงๆ?”
“ฉันไม่ยอมรับหรอกนะ ให้เศษสวะคนหนึ่งมาเป็นประธานกรรมการของพวกเรา ควบคุมเครือไห่หวัง ฆ่าฉันซะยังจะดีกว่า”
เมื่อฉีย่ากวงเห็นเหล่าผู้ถือหุ้นรายเล็กต่างก็โวยวายออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มอยู่ในใจ เขาต้องการให้คนกลุ่มนี้โวยวาย ถ้าคนกลุ่มนี้โวยวายขึ้นมา เขาถึงจะสามารถหาวิธีร่วมมือกับคนเหล่านี้ เพื่อทำให้เย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่ไม่ได้และยอมถอยออกไปเอง ถึงตอนนั้นการควบคุมเครือไห่หวังก็จะตกอยู่ในมือของตนเอง
“ผู้ถือหุ้นทุกท่าน เรื่องนี้ผมก็เพิ่งทราบเช่นกัน เป็นสิ่งที่พ่อของผมตัดสินใจกระทันหัน ผมทำงานร่วมกับทุกท่านมาหลายปี ย่อมไม่อยากจะทำเช่นนี้แน่นอน พวกคุณก็ทราบว่าเจ้าเศษสวะเย่เทียนเฉินเป็นตัวตลกของเมืองหลวง หากให้คนแบบนี้มาเป็นประธานกรรมการของพวกเรา กระทั่งพวกเราก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะไปด้วยไม่ใช่เหรอ?” ฉีย่ากวงแสร้งกล่าวด้วยท่าทางจนใจเป็นอย่างยิ่ง
“ใช่แล้ว คุณบอกมาเถอะว่าจะทำยังไง?”
“ใช่ พวกเราจะทำตามคุณ”
“สรุปก็คือจะให้เศษสวะมาเป็นประธาน ของพวกเราไม่ได้เด็ดขาด”
เมื่อเห็นเห็นว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านี้ติดเบ็ดแล้ว มุมปากของฉีย่ากวงพลันปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย เมื่อคืนนี้เขาพิจารณาดีแล้ว เพื่อที่จะยกเลิกการหมั้นหมายกับตระกูลเย่ พ่อจำเป็นต้องโอนหุ้นของเครือไห่หวังออกไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ เมื่อก่อนตระกูลฉีมีหุ้นอยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต์ โอนให้เย่เทียนเฉินไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ ทำให้เหลือหุ้นอยู่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ต์ ส่วนที่เหลืออีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ต์ก็กระจายอยู่ในมือของผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านี้ หากต้องการต่อกรกับเย่เทียนเฉิน เพื่อบีบบังคับให้เขาออกไป ก็จำเป็นต้องร่วมมือกับผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านี้ ใช้หุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์สู้กับหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถึงจะมีอำนาจในการพูดที่เด็ดขาด ดังนั้นหลังจากที่ฉีย่ากวงมาถึงที่นี่แล้ว ก็เริ่มยุยงให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านี้ต่อต้านเย่เทียนเฉิน
“ตอนนี้ในมือของเจ้าเศษสวะนั่นมีหุ้นอยู่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต์ ตระกูลฉีของผมมียี่สิบเปอร์เซ็นต์ ในมือของพวกคุณมีอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ ขอแค่พวกเราร่วมมือกันขัดขวางเจ้าเศษสวะนั่น เมื่อมันรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ก็ต้องถอนตัวไปเอง ถึงตอนนั้นตระกูลฉีของผมจะสามารถซื้อหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเจ้าเศษสวะนั่นกลับมาได้อีกครั้ง ผมสัญญาว่าจะนำซองแดงซองใหญ่ๆ มาให้ทุกท่านแน่นอน”
“ดี เอาแบบนี้แล้วกัน”
“ผมเอาตามที่คุณว่า ด้วยอิทธิพลของตระกูลฉี เศษสวะตระกูลเย่ย่อมไม่ใช่คู่มือแน่”
“เจ้าเศษสวะนั้นอย่างไรเสียก็ไม่เข้าใจเรื่องการจัดการเครือข่ายอยู่แล้ว น้องฉีต่างหากล่ะที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
เหล่าคนที่ดูถูกเย่เทียนเฉิน เหล่าคนที่ต้องการประจบเอาใจตระกูลฉี ต่างก็พูดถึงเรื่องที่จะทำกับเย่เทียนเฉิน ส่วนฉีเย่กวงก็ดีใจเป็นที่สุด กล่าวด้วยรอยยิ้มดุร้ายในใจว่า ‘เย่เทียนเฉิน แกมันก็แค่เศษสวะคนหนึ่ง พ่อให้ฉันระวังแกไว้ ฉันจะดูสิว่าครั้งนี้แกจะทำยังไง ยังไม่ส่งหุ้นคืนมาให้ฉันดีๆ อีก’
เย่เทียนเฉินผลักประตูห้องประชุมเปิดดังแอ๊ด เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า หลายคนมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่พอใจ ตรงจุดนี้เย่เทียนเฉินไม่แปลกใจ เนื่องจากเขาได้ยินคำยุยงที่ฉีย่ากวงพูดกับคนพวกนี้จากข้างนอกแล้ว
“โอว ประธาน เย่มาแล้วนี่เอง ประธานเย่รีบมานั่งเร็ว คุณทำให้ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ รอนานแล้ว!” ฉีย่ากวงจงใจกล่าวเสียงดังด้วยรอยยิ้ม
“เฮอะ ก็แค่เด็กไม่เอาไหน ตอนที่ฉันสู้รบอยู่ในโลกธุรกิจ แกยังไม่เกิดด้วยซ้ำ”
“ประชุมวันแรกก็อวดเบ่งมาสาย ไม่ดูฐานะตัวเองบ้างเลย”
“ตระกูลเย่ตกต่ำไปนานแล้ว แน่นอนว่าต้องหาโอกาสแบล็คเมล์ตระกูลฉี น่าสงสารจัง”
เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของคนพวกนี้ เขารู้ว่าคนเหล่านี้ได้รับการปลุกระดมมาจากฉีย่ากวง ขอเพียงจัดการเจ้าหมอนั่นอย่างยุติธรรมได้ คนอื่นๆ ก็ก่อเรื่องอะไรไม่ได้อีก แม้ว่าเขาจะไม่อยากเป็นประธานกรรมการเครือไห่หวัง แต่ก็ไม่ยอมให้ตระกูลฉีมากลั่นแกล้งตามใจ
“ทุกคนนั่งลงเถอะ ตอนนี้เริ่มประชุมได้แล้ว” เย่เทียนเฉินนั่งลงที่ตำแหน่งของประธานกรรมการ มองทุกคนที่นั่งอยู่พลางกล่าวออกมายิ้มๆ
“ไม่ประชุมแล้ว วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ พวกคุณค่อยๆ เล่นสนุกกันไปเถอะ ผมไปล่ะ!” ตอนนี้ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งอายุราวสี่สิบกว่าปีลุกขึ้นมาพูด
ชายวัยกลางคนคนนี้เป็นคนที่ฉีย่ากวงมอบหมายให้สร้างความลำบากใจให้แก่เย่เทียนเฉินโดยเฉพาะ เพื่อทำให้เขานั่งไม่ติด
“เหอฉี่ซาน คุณไม่อยากประชุมก็สามารถออกไปได้ ส่วนหุ้นหกเปอร์เซ็นต์ของคุณ ผมจะหาคนมาซื้อเอง จากนี้ไปก็ไม่ต้องมาแล้ว” เย่เทียนเฉินดื่มชาไปอึกหนึ่ง แล้วกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส
“แก….แกอาศัยสิทธิ์อะไรมาซื้อหุ้นหกเปอร์เซ็นต์ของฉัน แกไม่มีสิทธิ์…. เหอฉี่ซานอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ” คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะเด็ดขาดเช่นนี้ต้องการไล่ตนออกจากเครือหวังไห่ คนอื่นๆ ต่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ผมเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ผมมีเงินส่วนนี้ ในเมื่อคุณไม่พอใจผมที่เป็นประธานกรรมการ ผมก็ได้แต่ซื้อหุ้นของคุณ แล้วไล่คุณออกจากเครือไห่หวัง ตอนนี้คุณออกไปได้แล้ว หรือหากไม่โอเคล่ะก็ คุณควักเงินออกมาซื้อหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผม ผมจะยกตำแหน่งประธานกรรมการให้คุณ เป็นไง?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“แก….”
เหอฉี่ซานโกรธเสียจนเดี๋ยวหน้าแดงเดี๋ยวหน้าขาว เดิมทีคิดว่าหากตนเองทำเช่นนี้จะสามารถทำให้เย่เทียนเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และรับรู้ถึงความร้ายกาจของสถานที่นี้ ที่ไหนได้แค่เย่เทียนเฉินพูดขึ้น ก็ทำให้ตนเองไม่รู้จะทำอย่างไร ดูท่าแล้วตัวตลกแห่งเมืองหลวงจะไม่ง่ายเหมือนที่ทุกคนคิดเสียแล้ว
สุดท้ายเหอฉี่ซานก็ฝืนใจนั่งลงตรงตำแหน่งของตัวเองด้วยใบหน้าแดงก่ำ อย่างไรเสียหุ้นหกเปอร์เซ็นต์ของเครือไห่หวัง ในหนึ่งปีก็แบ่งออกมาก็เกือบร้อยล้าน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ไม่มีใครกล้าละทิ้งไปง่ายๆ
ฉีย่ากวงเองก็โมโหจนกัดฟันกรอด ถลึงมองเหอฉี่ซานอย่างดุร้าย ในใจก็ด่าเจ้าขยะไร้ประโยชน์นี่ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถบีบบังคับเย่เทียนเฉินได้ แถมยังทำให้ตัวเองต้องหน้าเสียอีก ทำให้ผู้ถือหุ้นอีกสามคนไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ยังมีใครจะพูดอีกไหม? ไม่มีแล้วสินะ งั้นผมขอพูดอะไรสักหน่อย….”
เย่เทียนเฉินกล่าวพลางยืนขึ้น มองผู้ถือหุ้นห้ารายในห้อง จากนั้นจึงพูดต่อ “พูดตามจริง ผมไม่ค่อยเข้าในเรื่องการพัฒนาเครือข่ายเท่าไรนัก แต่ผมเชื่อว่าหากมีทุกคนคอยช่วยเหลือ เครือไห่หวังจะต้องรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนพยายามด้วยกัน ได้เงินด้วยกัน มีอะไรไม่ดี? ถ้าหากว่ามีใครคิดจะเล่นแง่ ขัดแข้งขัดขาเย่เทียนเฉินคนนี้ ผมก็ทำได้แค่ให้เขาออกไป”
“เมื่อสักครู่นี้ประธานเย่ให้พี่เหอรับซื้อหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคุณ พี่เหอไม่ได้สนใจ แต่ตระกูลฉีของผมสนใจซื้อหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์กลับมา” ฉีย่ากวงลุกขึ้นพร้อมกับยิ่งชั่วร้าย จ้องมองเย่เทียนเฉินพลางกล่าวออกมา
“ไสหัวไป!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
คนถ่อยอย่างฉีย่ากวง เย่เทียนเฉินพูดเพียงแค่คำเดียวก็ทำให้ฉีย่ากวงโกรธจนเกือบจะลุกพรวดขึ้นมาแล้ว แต่ไหนแต่ไหนไม่เคยมีใครกล้ามาพูดคำนี้กับเขามาก่อน
………………………………………………