ภาคที่ 1 บทที่ 26 ฝัน

มู่หนานจือ

หลี่เชียนรู้สึกว่าเซี่ยหยวนซีกับเขาคิดไปในทางเดียวกันแล้ว

แต่เขาคิดวกไปวนมาก็คิดไม่ออกว่าในนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน จึงเอ่ยไปว่า “งั้นก็ให้อวิ๋นหลินตามหวังจ้าน ห่านป่าบินผ่านไปจะต้องทิ้งร่องรอยไว้ เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว อย่างไรก็จะต้องทิ้งช่องโหว่ไว้ แค่ดูว่าคนๆ นี้จะมองช่องโหว่ออกหรือไม่ก็เท่านั้น”

อวิ๋นหลินเป็นองครักษ์ประจำตัวหลี่เชียน ลูกศิษย์ฆราวาสของสำนักบู๊ตึ๊ง วิชาตัวเบาโดดเด่นมากทีเดียว

เซี่ยหยวนซีได้ยินแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จะส่งคนไปตามหลิวชิงหมิงหรือไม่ขอรับ?”

“ไม่ต้อง” หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “หากเขารู้ความจริงของเรื่องราว หวังจ้านก็จะไม่สวมเครื่องแบบของขันทีไปฝ่ายซักล้างแล้ว เรื่องนี้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านหญิงเจียหนานมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร?”

เซี่ยหยวนซีเอ่ยว่า “แล้วทางใต้เท้านั้น?”

“หลายวันนี้ก็ทำงานพอเป็นพิธีไปก่อน” หลี่เชียนเอ่ย “ท่านพ่อได้รับอิทธิพลจากท่านฝูอวี้มากเกินไป ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีนัก การมาเมืองหลวงก็ย่อมมีข้อดีที่มาอย่างแน่นอน แต่ตระกูลหลี่ของข้ามาจากตระกูลโจร ต่อให้จับล้างน้ำคนทั้งสามรุ่น ก็เป็นตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจไม่ได้อยู่ดี แทนที่จะแข่งข้อดีข้อเสียกับลูกหลานตระกูลขุนนางพวกนั้น สู้ตั้งมั่นรักษาชายแดนและสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยความดีความชอบทางการรบดีกว่า”

เรื่องนี้เซี่ยหยวนซีกับหลี่เชียนคิดเหมือนกัน

เขาอดที่จะโล่งอกไม่ได้

หลี่เชียนสนิทกับหลี่ฉางชิงผู้เป็นบิดามาก เขากลัวว่าหลี่เชียนจะเชื่อฟังคำสั่งของหลี่ฉางชิงทุกอย่าง

ตอนนี้ดูเหมือนหลี่เชียนจะดูเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตามและว่าง่าย ทว่าเขากลับมีความคิดเป็นของตนเอง

หลี่เชียนรู้ว่าเซี่ยหยวนซีกังวลอะไร จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มราวกับปลอบใจเขาว่า “ท่านพ่อแค่ติดอยู่ที่ฝูเจี้ยนมาหลายปี จึงรู้สึกร้อนใจเล็กน้อยเท่านั้น สุดท้ายแล้วควรจะทำอย่างไร เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ยิ่งกว่านั้นยังมีข้าคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ไม่ว่าอย่างไรตระกูลหลี่ก็จะไม่อยู่เมืองหลวงต่อ”

เซี่ยหยวนซีพยักหน้ายิ้ม นึกถึงครั้งแรกที่เจอหลี่เชียน หลี่เชียนกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่บนพื้นใต้ต้นฉัตรต้นใหญ่อย่างมีความสุขกับจ้าวเซี่ยวซื่อจื่อจิ้งไห่โหว ดูเหมือนนักแสดงศิลปะอย่างพวกศิลปะพื้นบ้านหรือกายกรรม เขาคิดว่าหลี่เชียนเป็นแค่คุณชายตระกูลร่ำรวยที่มีนิสัยร่าเริง จริงใจและตรงไปตรงมาเท่านั้น พอค่อยๆ รู้จักกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดเหล่านั้นที่หลี่เชียนเอ่ยกับเขาตอนที่หลี่เชียนอยากให้เขาทำงานติดตามหลี่เชียน โดยเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของหลี่เชียน และสังเกตเห็นว่าหลายปีนี้หลี่เชียนซ่อนตัวอยู่หลังหลี่ฉางชิงและส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของหลี่ฉางชิงอย่างลับๆ ก็รู้ว่าหลี่เชียนเป็นคนที่ติดตามได้

“อย่างนั้นข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” เซี่ยหยวนซีกับหลี่เชียนปรึกษาสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้กันอย่างละเอียด

ส่วนเจียงเซี่ยนนั้นหลังจากคนของจวนเจิ้นกั๋วกงจากไปแล้ว นางก็หลับไปอย่างงุนงง

นางเริ่มฝันอีกครั้ง

ในความฝัน นางยังคงเป็นไทเฮา และนั่งอนุมัติฎีกาอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างในห้องอุ่นตะวันออกของวังฉือหนิง จ้าวเซี่ยวจิ้งไห่โหวขอให้ราชสำนักดึงเงินออกมาสี่ล้านตำลึง เพื่อสร้างกองทัพเรือที่เมืองเฉวียน แถมยังบอกอีกว่าหากเวลานี้ท้องพระคลังของราชสำนักว่างเปล่า เขาสามารถคิดหาทางรวบรวมเงินเองสองล้านตำลึงได้ และขอให้นางดึงเงินออกมาสองล้านตำลึง แถมสามารถแบ่งรอบดึงเงินออกมาได้ด้วย

พูดตามตรงก็คือจะให้นางเห็นด้วยกับเขาเรื่องการสร้างกองทัพเรือที่เมืองเฉวียน

ตอนนั้นนางเป็นไทเฮามาหลายปีแล้ว จึงไม่ได้โกรธมากเหมือนตอนที่เพิ่งเริ่ม ทว่าถึงแม้จะไม่โกรธ แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

ฉิงเค่อถือตะกร้าไผ่ที่สานอย่างประณีตเข้ามา อาจจะเพราะเห็นว่านางอารมณ์เสีย จึงแกล้งทำท่าทางดีใจเล็กน้อย และเอ่ยด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ไทเฮา เมืองเหลียงส่งแตงหวาน[1]มาเพคะ”

นางไล่หลี่เชียนไปที่เมืองเหลียงแล้ว คนในวังต่างรู้ว่านางไม่ชอบหลี่เชียน จึงใช้ชื่อเมืองเหลียงแทนชื่อหลี่เชียน แต่นางก็ชอบกินแตงหวานของเมืองเหลียงมาก เมืองเหลียงก็ส่งบรรณาการแตงหวานเข้ามาในวังตลอดทั้งปี ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าแตงหวานเก็บเกี่ยวในฤดูร้อน เห็นว่าหลี่เชียนให้คนส่งบรรณาการมาตลอดทั้งปี แล้วก็ได้ยินว่าพื้นที่ทางแถบตะวันตกร้อนดั่งไฟตลอดทั้งปี แถมยังมีภูเขาที่ถูกเรียกว่า ‘ภูเขาเปลวเพลิง’ จึงคิดว่าเมืองเหลียงอยู่ใกล้พื้นที่ทางแถบตะวันตกถึงมีแตงหวานตลอดทั้งปี…

นางก็ไม่เกรงใจเช่นกัน กินติดต่อกันสองสามถ้วย จนกระทั่งในปากรู้สึกหวานจัด ถึงได้หยุดมือ และถามฉิงเค่อ “คนที่เข้าวังมาส่งของครั้งนี้เป็นใครหรือ?”

ทุกครั้งที่หลีเชียนส่งของให้นาง มักจะต้องให้คนที่ส่งของเข้ามาคำนับคารวะนาง ไม่งั้นก็คุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน

นางมักจะรู้สึกว่าหลี่เชียนต้องการใช้สถานการณ์แบบนี้บอกคนอื่นว่านางให้ความสำคัญกับเขา จะได้บรรลุเป้าหมายที่เขาอยากทำให้เหล่าขุนนางใหญ่หวาดกลัว มีช่วงหนึ่งที่นางเกลียดมาก ทว่าตอนหลังก็พบว่าอ๋องเหลียวกับจิ้งไห่โหวต่างว่านอนสอนง่ายขึ้นไม่น้อยด้วยเหตุนี้ นางจึงทำได้เพียงหลับตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้เรื่อง และปล่อยให้เขาทำไป

ฉิงเค่อยิ้มพลางบอกนางว่าเป็นเกาเมี่ยวหรง

เกาเมี่ยวหรงเป็นลูกสาวบุญธรรมของหลี่ฉางชิง นับเป็นพี่ชายกับน้องสาวกับหลี่เชียน และเพราะเรื่องนี้ นางยังแต่งตั้งให้เกาเมี่ยวหรงเป็นท่านหญิงด้วย

นางให้เกาเมี่ยวหรงเข้ามา

หลังจากเกาหมี่ยวหรงคำนับนางแล้วก็หยิบจดหมายฉบับหนึ่งจากในกระเป๋าเสื้อให้นาง บอกว่าหลี่เชียนให้นาง

นางโกรธจนหน้าแดง แล้วไล่เกาเมี่ยวหรงออกไปและอ่านจดหมาย

ทว่าหลี่เชียนกลับบอกในจดหมายว่า หากจ้าวเซี่ยวอยากสร้างกองทัพเรือก็ให้เขาสร้าง สร้างเสร็จแล้วก็ส่งซือเจียเหลียงผู้ว่าราชการมณฑลเจ้อเจียงไปเป็นผู้ตรวจการกองทัพเรือ เช่นนี้ราชสำนักทั้งประหยัดเงินได้สองล้านตำลึง และยังได้กองทัพเรือเพิ่มมาอีกกองทัพด้วย แล้วทำไมจะไม่ยินดีที่จะทำล่ะ?

นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้น

บิดาของซือเจียเหลียงเคยรับตำแหน่งข้าหลวงผานอวี๋ เพราะถูกโจรสลัดญี่ปุ่นทำลายเมืองจึงตายในหน้าที่

ในราชสำนักเล่าลือกันมาตลอดว่า ตอนนั้นผานอวี๋ถูกทำลายเมือง เพราะจิ้งไห่โหวกับบิดาของซือเจียเหลียงมีความแค้นส่วนตัว จึงเสริมกำลังไม่ทัน

ตอนที่นางอ่านฎีกาก็กำลังคิดอยู่ว่าให้ซือเจียเหลียงไปได้หรือไม่

ใครจะรู้ว่านางยังไม่ได้ตัดสินใจ หลี่เชียนกลับช่วยนางตัดสินใจแล้ว

ไม่มีทางที่นางจะคิดว่าเขาเป็นขุนนางซื่อสัตย์

ความโหดร้ายและความทะเยอทะยานของหลี่เชียนนั้นสมจริงจริงๆ

นางโมโหขึ้นมาแล้ว

เฉาเซวียนมาแล้ว

แล้วก็ให้นางส่งซือเจียเหลียงไปเป็นผู้ตรวจการกองทัพเรือเช่นกัน

นางก็ไม่ส่งซือเจียเหลียงไปสักที

ถ่วงเวลาไว้หลายวัน มองไปทั่วราชสำนักก็ไม่มีใครเหมาะกว่าสักคน นางจะเห็นเรื่องใหญ่ของแคว้นเป็นเรื่องเล่นๆ ก็ไม่ได้ จึงจำต้องให้ซือเจียเหลียงไปฝูเจี้ยน

แล้วเจียงเซี่ยนก็ตื่นในทันใด

ทั้งร่างนางเต็มไปด้วยเหงื่อ

นางเรียกฉิงเค่อมาเช็ดตัวให้นาง

แต่ในใจกลับอดที่จะคิดไม่ได้ ‘ฝันนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ทำไมนางฝันถึงหลี่เชียนอีกแล้ว…ไม่สิ ฝันถึงเรื่องในอดีตชาติ’

เจียงเซี่ยนหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

ดวงตะวันใกล้ลับฟ้า ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยเมฆหลากสี แวววาวราวกับผ้าดิ้น เปล่งประกายสว่างไสวระยิบระยับ

ทันใดนั้นนางก็คิดอะไรบางอย่างออก

ราวกับจุดประกายความคิดให้นาง

หากจริงๆ แล้วเซียวหรงเหนียงไม่ได้เป็นคนให้กำเนิดจ้าวสี่ หากซ่งเสียนอี๋เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากฮูหยินเฟิ่งเซิ่งแซ่ฟางในอนาคตก็ลงแรงในนั้นด้วยเล็กน้อย…

ใต้หล้านี้ก็ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบไร้ตำหนิ

และยิ่งสมบูรณ์แบบไร้ตำหนิ ของที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังก็ยิ่งร้ายแรง

เจียงเซี่ยนหันตัวไปเรียกฉิงเค่อเสียงดังว่า “เจ้าไปเชิญใต้เท้าเฉาเข้าวังมาให้ข้า…” ยังไม่ทันพูดจบก็กลืนลงคอไปอีก

นางพลั้งปากไป

เวลานี้นางยังไม่ใช่ไทเฮาในราชวงศ์ปัจจุบัน และเฉาเซวียนก็ไม่ใช่ขุนนางคนสนิทของนางเช่นกัน แล้วทั้งสองคนก็ไม่ได้ทำข้อตกลงลับสำหรับทำงานร่วมกันด้วย

เช่นนั้นเรื่องนี้มอบให้ใครไปทำดีเล่า?

แน่นอนว่าต้องเป็นเจียงลวี่ ลูกพี่ลูกน้องผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายคนโตของนาง

ทว่าเวลานี้เจียงลวี่อยู่ที่ฐานที่มั่นเทียนจิน และน่าจะเป็นการไปอย่างลับๆ นางช่วยเขาปิดบังยังไม่ทัน แล้วจะให้คนอื่นสังเกตเห็นเขาได้อย่างไร!

แน่นอนว่าหวังจ้านก็ได้เช่นกัน

แต่หากหวังจ้านรู้แล้วก็จะถูกลากเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ ไม่ว่าเฉาไทเฮาจะหมดอำนาจหรือไม่ ก็จะต้องล่วงเกินจ้าวอี้ และคนที่ล่วงเกินจ้าวอี้แล้ว ภายภาคหน้าก็จะไม่ได้ชีวิตอย่างปกติสุข

นอกเสียจากว่า…จ้าวอี้จะไม่ได้เป็นฮ่องเต้แล้ว!

หัวใจของเจียงเซี่ยนเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง

—————————————

[1] เมล่อน