ตอนที่ 19 จิตใจมั่นคง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะลั่นไม่หยุด กล่าวว่า “รอให้ผ่านไปสักสองสามปีจนเจ้าโตขึ้นอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับมา!” 

 

 

นี่จะเป็นไปได้อย่างไร! 

 

 

โจวเสาจิ่นจำต้องดึงแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอาไว้อย่างออดอ้อน “ข้าไม่อยากติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัว ข้าอยากติดตามท่านยายเจ้าค่ะ” 

 

 

“เด็กโง่!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนทั้งดีใจและพอใจ แต่ก็ยังกล่าวว่า “รอให้เจ้าโตขึ้นอีกหน่อยก็จะเข้าใจ ที่ยายทำเช่นนี้ก็เป็นการดีสำหรับตัวเจ้า เจ้าจงเชื่อฟัง ข้าจะให้ป้าใหญ่ของเจ้าตัดชุดใหม่ให้เจ้าสักสองสามชุด เจ้าเพียงไปรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหานปี้ซานอย่างมีความสุขก็พอ” 

 

 

ถ้าหากว่าบังเอิญเจอเฉิงสวี่ขึ้นมาจะทำอย่างไร 

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นใบหน้าของท่านยายเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก็ไม่อาจทำใจสาดน้ำเย็นใส่ท่านยายทำให้นางหดหู่ลงได้ จำต้องเดินกลับเรือนหว่านเซียงไปอย่างขุ่นมัว 

 

 

โจวชูจิ่นกลับมา เห็นนางกำลังนั่งคัดลอกไตรปิฎกอยู่ที่โต๊ะ อดไม่ได้ถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เวลากระชั้นชิดมากนักหรือ” 

 

 

นางเองก็เคยคัดลอกไตรปิฎกมาก่อน ตามความเห็นของนางแล้ว ไตรปิฎกเพียงหนึ่งบท ก่อนวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าก็น่าจะสามารถคัดจนแล้วเสร็จได้ 

 

 

“เปล่าเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้น “ท่านยายให้ข้าช่วยคัดลอกไตรปิฎกสักสองสามหน้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

“อา!” โจวชูจิ่นทั้งประหลาดใจทั้งยินดี เดินไปถึงหน้าโต๊ะเขียนหนังสืออย่างปิติยินดี “จริงหรือ ท่านยายให้เจ้าช่วยคัดลอกไตรปิฎกสักสองสามหน้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยเช่นกันจริงหรือ ทำไมอยู่ๆ ท่านยายถึงได้คิดให้เจ้าคัดลอกไตรปิฎกให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย” 

 

 

โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้พี่สาวฟัง 

 

 

“อมิตาภพุทธ!” โจวชูจิ่นอดไม่ได้พนมมือทั้งสองข้างขึ้น หันไปทางทิศตะวันตกไหว้แล้วไหว้อีก พลางกล่าว “ข้าว่าแล้ว ท่านยายเป็นผู้ที่มีวาสนาดีผู้หนึ่ง เจ้าติดตามอยู่ข้างกายท่านยาย ย่อมต้องสามารถเปลี่ยนจากโชคร้ายกลายเป็นดีได้ นี่ไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป ก็ได้พบกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ถึงแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่ใช่คนประเภทที่ดูแคลนผู้ที่ต่ำกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครๆ จะสามารถเข้าไปอยู่ในสายตาของนางได้ อย่างที่ท่านยายได้กล่าวเอาไว้ นี่ถือเป็นวาสนาของเจ้า เจ้าต้องเชื่อฟัง ดูแลรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ดี ไม่แน่ว่า…” 

 

 

ด้วยเหตุนี้ยังสามารถช่วยให้เจ้าหาตระกูลดีๆ สำหรับเรื่องแต่งงานได้ 

 

 

เพียงแต่ว่าคำพูดนี้ไม่สมควรพูดต่อหน้าน้องสาว นางกลืนคำพูดนี้ลงไปด้วยรอยยิ้ม 

 

 

หากเป็นโจวเสาจิ่นในชาติที่แล้ว คงไม่อาจให้ความสนใจถึงรายละเอียดเหล่านี้ ยิ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่าพี่สาวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าโจวเสาจิ่นในชาตินี้ ด้วยความตั้งใจ สามารถมองเห็นความคิดของพี่สาวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง 

 

 

ที่นางต้องหวาดกลัวจนตัวสั่น ต้องคอยระมัดระวังด้วยเรื่องเล็กน้อย ก็เพื่อให้ได้แต่งงานอย่างนั้นหรือ 

 

 

แต่งงานแล้วจะรับประกันได้ว่าตลอดชีวิตของนางจะราบรื่น สงบสุขและปลอดภัยอย่างนั้นหรือ 

 

 

นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย กล่าวกับพี่สาวอย่างเกี่ยงงอนว่า “ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ!” 

 

 

โจวชูจิ่นเห็นนางขุ่นมัว เข้าใจว่านางกลัวไปเห็นสายตาของคนที่จวนหลัก ครุ่นคิดแล้ว กล่าวว่า “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ท่านป้าอี๋คิดจะนำน้องสาวเจียให้ไปได้รับการสั่งสอนอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาโดยตลอด ขนาดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนรองออกหน้าพูดให้ก็ยังไม่สำเร็จ ส่วนเจ้าได้รับทุกอย่างมาโดยที่ไม่ต้องลงแรงอะไรเลย ต้องเห็นค่าถึงจะถูก” 

 

 

โจวเสาจิ่นทำหูทวนลม 

 

 

ในชาติที่แล้วนางกับเฉิงเจียตัวติดกันตลอด กลับไม่เคยรู้ว่าเจียงซื่อ มารดาของเฉิงเจียวางแผนไว้เช่นนี้ 

 

 

โจวชูจิ่นยิ้ม 

 

 

ดูแล้วน้องสาวก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความทะเยอทะยาน เพียงแต่ว่าบ่าวรับใช้ตระกูลเฉิงเห็นว่าจวนสามนั้นร่ำรวยและโอ่อ่า จึงมักจะประจบเอาใจเฉิงเจีย เวลาผ่านไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มันทำให้น้องสาวค่อนข้างไม่มีความมั่นใจ เวลาพูดจาจึงไม่มีความมั่นใจ บ่าวรับใช้พวกนั้นเลยยิ่งชอบเฉิงเจียมากกว่า 

 

 

ตอนนี้นางยกเอาเฉิงเจียมากระตุ้นน้องสาว ผลปรากฏว่ายิ่งพูดก็ยิ่งแน่ใจในสิ่งที่ตนคาดคะเน 

 

 

นางกล่าวเรียกขวัญโจวเสาจิ่นต่อไปว่า “นอกจากนี้ พี่สาวเจิง และพี่สาวเซียวของจวนหลักล้วนแล้วแต่แต่งงานออกเรือนกันไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่าน้องสาวเซิงของท่านลุงรองเว่ยจะเติบโตขึ้นมาจากในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่หลังจากที่นางหมั้นหมายแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ส่งนางไปอยู่กับท่านลุงรองเว่ยที่จิงเฉิง จวนหลักจึงเหลือเพียงน้องชายสวี่คอยดูแลเท่านั้น น้องชายสวี่เป็นชายหนุ่มที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ถึงแม้ว่าอายุยังน้อย แต่เมื่อเดินไปข้างนอกผู้คนล้วนเรียกขานเขาว่า ‘นายท่าน’ นอกจากการไปคารวะยามเช้าและเย็นแล้ว ก็ไม่อาจเข้าไปในเรือนชั้นในได้ เจ้าเพียงแต่ต้องรับมือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้เดียวเท่านั้น กฎระเบียบของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้มงวดนัก ใครจะกล้าดูเบาเจ้าได้” 

 

 

โจวเสาจิ่นราวกับตกผลึกได้ในทันใด 

 

 

ที่ตนเองไม่ยินยอมไปคัดลอกไตรปิฎกให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น สาเหตุทั้งหมดมาจากเรื่องราวในปีนั้น 

 

 

ทว่าตอนนี้เรื่องเหล่านั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นเสียหน่อย 

 

 

หากนางไม่สามารถเอาชนะจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้ได้ จะกล่าวถึงเรื่องช่วยเหลือตระกูลเฉิง ปกป้องญาติพี่น้องที่รักตนเองเหล่านี้ได้อย่างไร 

 

 

ตนเองเพียงต้องผ่านเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในชาติที่แล้วไปอย่างระมัดระวัง ไม่เช่นนั้น ตนเองก็ไม่อาจจะสร้างอนาคตที่สดใสให้ตัวเองได้ 

 

 

จิตใจที่ล่องลอยเคว้งคว้างไปมาของโจวเสาจิ่นตั้งแต่ที่นางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งนั้นราวกับได้หยั่งรากลงแล้ว ทันใดก็รู้สึกสงบนิ่งขึ้นมา 

 

 

นางยิ้มขณะที่ดึงมือของพี่สาวเอาไว้ กล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านก็เห็นว่าข้ายุ่งขนาดนี้ ข้าไม่ไปเรียนที่ห้องศึกษาจิ้งอันได้หรือไม่เจ้าคะ” 

 

 

นี่ถือเป็นการตอบรับแล้ว! 

 

 

โจวชูจิ่นหัวเราะเบาๆ ดีดหน้าผากของน้องสาว “ฝันไปเถอะ! อย่าคิดว่ามีท่านยายปกป้องเจ้าแล้วเจ้าจะสามารถแอบขี้เกียจได้หรอกนะ ในอนาคตเจ้าอยากถูกผู้คนเรียกว่าเป็นคน ‘ไม่รู้หนังสือ’ อย่างนั้นหรือ” 

 

 

“ไม่รู้หนังสือก็ไม่รู้หนังสือสิเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวโวยวาย “ข้าไม่ใช่ว่าจะดูสมุดบัญชีไม่เป็นเสียหน่อย” 

 

 

อย่างเช่นท่านยายที่ถึงแม้ว่าจะรู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว แต่ก็เข้มแข็งและมีจิตใจกว้างขวาง ไม่เพียงรักษาจวนสี่ให้คงอยู่ต่อไป ยังเลี้ยงดูคนรุ่นถัดไปออกมาให้เป็นคนมีจิตใจดี ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างซื่อตรงและจริงใจเช่นท่านลุงใหญ่เหมี่ยนและพี่ชายเก้า เห็นได้ชัดว่าการเป็นคนอย่างไรนั้นสำคัญที่สุด 

 

 

“เจ้ายังกล้าพูดอีก!” โจวชูจิ่นดีดหน้าผากของน้องสาวอีกครั้ง “ท่านยายยังคงเสียดายในโชคชะตาที่ตอนเป็นเด็กไม่ได้เรียนหนังสือมากกว่านี้อีกหน่อย เจ้าอยากเป็นเหมือนท่านยายที่แก่ตัวลงแล้วต้องมาเสียใจภายหลังอย่างนั้นหรือ เรื่องนี้เจ้าอย่าแม้แต่จะคิดอีกเลย!” 

 

 

นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้! 

 

 

โจวเสาจิ่นบ่นอยู่ในใจ แล้วก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา รีบเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ ฉีเอ๋อร์ของฝานมามาไม่มีคนดูแล ข้าให้ฝานมามาไปรับฉีเอ๋อร์มา จะหางานให้เขาสักอย่างหนึ่งเจ้าค่ะ” 

 

 

โจวชูจิ่นเคยได้ยินฉือเซียงกล่าวถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว นางเห็นว่าโจวเสาจิ่นก็ใกล้จะถึงวัยต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว ยามที่แต่งงานออกเรือนไปนั้น หากว่าข้างกายสามารถมีคนที่ซื่อสัตย์สักคนติดตามไปที่บ้านของสามีด้วย ต่อไปก็จะได้มีคนให้พึ่งพาได้ นางเองเห็นด้วยกับการให้ฉีเอ๋อร์เข้ามาเป็นบ่าวในบ้านเช่นเดียวกัน 

 

 

“เช่นนั้นก็ให้เขาติดตามหม่าฟู่ซานไปก่อนก็แล้วกัน!” นางหัวเราะ “รอให้ปรับตัว อบรมเรียบร้อยแล้ว ค่อยดึงมาเป็นบ่าวข้างกายของเจ้าก็ยังไม่สาย” 

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้าไม่หยุด หัวเราะพลางกล่าว “เช่นนั้นเบี้ยรายเดือนของเขา ข้าจะเป็นคนออกให้เจ้าค่ะ” 

 

 

“ก็ได้!” โจวชูจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวว่า “เพราะว่าเขารับเบี้ยรายเดือนจากเจ้า ฉะนั้นจึงถือเป็นคนของเจ้า เจ้ามีเรื่องอะไรต้องการใช้งานเขา เขาจะได้เร่งรีบทำให้เจ้าเร็วขึ้นอีกสักหน่อย” 

 

 

นี่แหละคือเหตุผลของเรื่องนี้! 

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มหวาน 

 

 

พี่สาวเย้านางว่า “ตอนนี้เจ้าคงจะพอใจแล้วสินะ” กล่าวอีกว่า “เจ้าไปเรียนจากใครมา เสนอความต้องการขึ้นมาสามข้อ รู้อยู่แล้วว่าสองข้อนั้นข้าจะต้องไม่รับปาก ก็รอจนข้ายอมตกลงให้กับความต้องการข้อที่สาม” 

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก 

 

 

เดิมทีนางไม่ได้คิดเช่นนี้…แต่เมื่อความคิดวาบผ่าน นางก็ราวกับตกอยู่ในภวังค์ 

 

 

ภายในใจของตนเองนั้น ไม่ได้คิดเช่นนี้มาก่อนจริงๆ หรือ 

 

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางเริ่มใช้กลวิธีเพื่อพิชิตเป้าหมายของตัวเอง 

 

 

ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการใช้มันกับพี่สาวอีก 

 

 

สีหน้าของโจวเสาจิ่นแดงเรื่อขึ้น 

 

 

โจวชูจิ่นไม่เพียงไม่ใส่ใจ ยังสอนนางอีกว่า “ต่อไปหากเจ้าจะพูดหรือทำอะไรก็ให้ใช้สมองคิดเยอะๆ เหมือนเช่นครั้งนี้ถึงจะดี” 

 

 

ใบหน้าแดงของโจวเสาจิ่นยิ่งแดงมากขึ้น 

 

 

ซือเซียงเดินเข้ามารายงานว่า “ฝานมามาพาฝานฉีกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

รวดเร็วยิ่งนัก! 

 

 

โจวเสาจิ่นมองพี่สาวทีหนึ่ง 

 

 

โจวชูจิ่นหัวเราะพลางกล่าว “ให้พวกเขาเข้ามาพูดคุยเถอะ!” 

 

 

ซือเซียงตอบรับแล้วออกไป ครู่หนึ่งก็พาฝานหลิวซื่อและฝานฉีเข้ามา 

 

 

ฝานฉีนั้นทั้งตัวดำและผอมแห้ง ความสูงยังไม่เท่ากับโจวเสาจิ่น สวมชุดต่วนเฮ่อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำตาลตัวหนึ่ง รอยยับย่นบนเสื้อผ้ายังใหม่อยู่ เห็นได้ชัดว่าฝานหลิวซื่อไปซื้อชุดใหม่มาจากร้านตัดเสื้อให้เขาสำหรับพาเขาเข้ามาที่จวน 

 

 

ไม่แปลกใจว่าทำไมฝานหลิวซื่อถึงได้กล่าวว่าเขาทำอะไรไม่ได้เลย 

 

 

ด้วยสภาพร่างกายนี้ เกรงว่าอยู่ที่บ้านเดิมก็คงจะทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ 

 

 

อย่างไรก็ตาม ดวงตาของฝานฉีดำขลับแวววาว ขยับไปมาอย่างรวดเร็ว เพียงมองก็รู้ว่าเป็นเด็กที่มีไหวพริบผู้หนึ่ง ให้เป็นบ่าวอยู่ในจวนนั้นกำลังดี 

 

 

โจวชูจิ่นให้ก้อนเงินสองสามก้อนแก่เขาเป็นของขวัญพบหน้ากัน แจ้งเรื่องที่เตรียมการเอาไว้สำหรับเขา จากนั้นให้ซือเซียงพาเขาไปคารวะหม่าฟู่ซาน รั้งให้ฝานหลิ้วซื่ออยู่คุยกันต่อ “นี่เป็นความกรุณาของคุณหนูรอง ต่อไปเจ้าต้องคอยดูแลคุณหนูรองให้ดี” 

 

 

ฝานหลิวซื่อรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะให้กับพี่น้องตระกูลโจว 

 

 

โจวเสาจิ่นรีบให้ชุนหว่านประคองฝานหลิวซื่อขึ้นมา 

 

 

โจวชูจิ่นยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาเป่าใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ กล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าไปเถอะ! จำเอาไว้ว่าต้องตั้งใจเป็นบ่าวที่ดี” 

 

 

ฝานหลิวซื่อกล่าวเสียงนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็มีท่าทีเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด 

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะ “มามามีเรื่องอะไรอยากพูดหรือไม่” 

 

 

ฝานหลิวซื่อหน้าแดง กล่าว “เรื่องที่บ้านของข้ายังจัดการไม่เรียบร้อย…อยากขอลาต่ออีกสักสองสามวันเจ้าค่ะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ 

 

 

ฝานหลิวซื่อพึมพำกล่าวว่า “ลุงใหญ่ของลู่เอ๋อร์…ไม่ยอมคืนที่ดินให้พวกข้าเจ้าค่ะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วขึ้นพลางกล่าว “เช่นนั้นเจ้าเตรียมการไว้ว่าจะทำอย่างไร” 

 

 

ฝานหลิวซื่อก้มศีรษะลงอย่างอับอาย กล่าวว่า “ข้าได้เชิญผู้นำตระกูลให้ช่วยออกหน้าให้ อย่างมากที่สุดคงจะล่าช้าไปอีกสักสองสามวันเจ้าค่ะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าว “เช่นนั้นก็ไปฟ้องศาลก็แล้วกัน!” 

 

 

“ฟ้อง…ฟ้องศาลหรือเจ้าคะ!” ดวงตาของฝานหลิวซื่อเบิกกว้างราวกับระฆังทองแดง 

 

 

พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา จะไปมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลกับคนอื่นเขาได้อย่างไร 

 

 

“ใช่ ฟ้องศาล!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างเฉียบขาด “ในเมื่อพวกเขาไม่กล่าวด้วยเหตุผล เช่นนั้นก็ต้องให้ทางการมาช่วยตัดสินแล้ว” 

 

 

“แต่ตามที่เขาได้กล่าวกันเอาไว้ว่า ประตูหยาเหมินนั้นเปิดกว้างดังตัวอักษรแปด ต่อให้มีเหตุเผลทว่าหากไร้ซึ่งเงินทองก็ไม่มีผู้ใดเข้าไปได้นะเจ้าคะ” ฝานหลิวซื่อรีบกล่าวอีกว่า “กลัวแต่ว่า ต่อให้ขายที่ดินของพวกข้าที่มีอยู่ไม่กี่ฉื่อนั้นจนหมด ก็ยังไม่พอสำหรับเป็นค่าฟ้องศาลเลยเจ้าค่ะ!” 

 

 

โจวเสาจิ่นขุ่นเคือง กล่าวขึ้นว่า “ลุงใหญ่ของลู่เอ๋อร์ผู้นั้นก็เป็นเพียงคนทั่วไป เจ้าดีร้ายยังไงก็เป็นบ่าวของตระกูลพวกข้า จะยังไม่สามารถต่อรองกับเขาได้อีกอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“ไม่ได้เจ้าค่ะ!” ฝานหลิวซื่อส่ายศีรษะ “หากว่าเรื่องนี้แพร่ออกไป นายท่านต้องถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้ที่’ ปล่อยให้บ่าวกลายเป็นคนชั่วร้าย’ ได้ ข้าไม่อาจทำลายชื่อเสียงของตระกูลโจวและตระกูลเฉิงได้เจ้าค่ะ” 

 

 

“ไอ้หยา!” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างขัดใจ “ไม่ได้ให้เจ้าไปฟ้องศาลจริงๆ เป็นเพียงการข่มขู่พวกเขาเท่านั้น แค่นี้เจ้าก็ยังทำไม่ได้หรือ” 

 

 

“อ่อๆๆ!” สติของฝานหลิวซื่อกลับมา รีบกล่าว “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะไปพูดต่อหน้าผู้นำตระกูล ถ้าหากว่าเขายังไม่คืนที่ดินมาให้พวกข้า ข้าจะเชิญคุณหนูช่วยออกหน้า ไปฟ้องพวกเขาที่ศาลเจ้าค่ะ” 

 

 

“ถูกต้องๆ!” โจวเสาจิ่นเห็นว่านางเข้าใจแล้ว ก็กล่าวอย่างยินดีว่า “ลุงใหญ่ของพวกเจ้าย่อมไม่อยากมีปัญหากับพวกเจ้าด้วยเรื่องที่ดินแค่ไม่กี่ฉื่อนี้หรอก” 

 

 

ฝานหลิวซื่อพยักหน้าไม่หยุด กล่าวอย่างดีอกดีใจว่า “เช่นนั้นข้าขอกลับไปก่อนนะเจ้าคะ!” 

 

 

โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านไปส่งฝานหลิวซื่อที่ประตู 

 

 

โจวชูจิ่นจิ้มจมูกของโจวเสาจิ่นเอาไว้กล่าวว่า “เป็นผู้ใดกันที่มอบความคิดนี้ให้แก่เจ้า เดี๋ยวนี้รู้จักเป็นหมาป่าที่ยืมอำนาจของเสือมาข่มขู่ผู้คนแล้วหรือ” 

 

 

โจวเสาจิ่นขยิบตาหัวเราะพลางกล่าว “เป็นท่านพี่ที่บอกข้าเจ้าค่ะ!” 

 

 

“ข้าบอกเจ้าตอนไหนกัน” โจวชูจิ่นไล่ต้อนถามต่อ โจวเสาจิ่นเพียงหัวเราะ 

 

 

เป็นพี่สาวที่เป็นคนบอกนางจริงๆ 

 

 

ชาติที่แล้ว นางแต่งเข้าตระกูลหลินด้วยความช่วยเหลือจากพี่สาวและพี่เขย 

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าในระหว่างที่หัวเราะนั้นมีน้ำตาอยู่ด้วย 

 

 

ฝานฉีนั้นเป็นผู้ที่เหมาะสมกับการเป็นบ่าวรับใช้อยู่ในจวนอย่างที่คิดไม่มีผิด ทำงานผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เขาก็คุ้นเคยและเข้ากันได้ดีกับบ่าวชายหญิงทุกคนในเรือน 

 

 

ซือเซียงเล่าให้โจวเสาจิ่นฟังว่า “ก็ไม่รู้ว่าไปได้จากใครมา ปากนั้นหวานราวกับน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น หว่านล้อมจนป้าฉินผู้เฝ้าอยู่ที่ประตูชั้นในต้องการรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะพลางกล่าว “แล้วฝานฉีได้ตอบรับไปแล้วหรือยัง” 

 

 

“เจ้าเด็กคนนั้น ลื่นไหลยิ่งนักเจ้าค่ะ” ชุนหว่านหัวเราะ “ตอบรับที่ไหนกันเจ้าคะ บอกว่าท่านหมอดูเคยทำนายชีวิตของเขาเอาไว้ ไม่สามารถกราบไหว้แม่บุญธรรมพ่อบุญธรรมได้ ต้องรอจนกระทั่งเขาอายุสามสิบปีก่อนถึงจะทำได้เจ้าค่ะ” 

 

 

“รอจนเขาอายุสามสิบปี เกรงกว่าป้าฉินคงไปหาลุงฉินแล้วกระมัง” 

 

 

นายบ่าวสองสามคนพูดคุยหัวเราะกันครึ่งค่อนวัน โจวเสาจิ่นจึงเปลี่ยนเป็นชุดเพ่ยจื่อสีเขียวมรกตลายเถาวัลย์องุ่นเรียบง่ายตัวหนึ่ง สวมสร้อยข้อมือลูกประคำหินสีแดงเส้นหนึ่ง ให้ชุนหว่านถือไตรปิฎกที่คัดเสร็จแล้วเอาไว้ แล้วเดินไปที่เรือนเจียซู่