บทที่ 20 โรงน้ำชาจาง

คู่ชะตาบันดาลรัก

บทที่ 20 โรงน้ำชาจาง Ink Stone_Romance

ทั้งสองคนได้แอบพวกสาวใช้หลบออกจากสวนอวี๋ฟางเพื่อไปพบหมิงฮ่าวที่ประตูหลัง

หมิงฮ่าวอ้าปากค้างจนคางแทบหลุดเมื่อเห็นหมิงเวย เขาถามหมิงเซียง “ท่านพาพี่เจ็ดออกมาด้วยได้อย่างไรกัน ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร”

หมิงเซียงไม่สนใจ “พี่เจ็ดหายแล้วจะมีปัญหาได้อย่างไรกัน”

“แต่ว่า…”

“เอาล่ะๆ! เจ้าอย่าบ่นนักเลย หากเกิดอะไรขึ้นมาข้ารับผิดชอบเอง!” หมิงเซียงตบอกตนเอง

หมิงฮ่าวพูดอย่างไม่เต็มใจ “ท่านพูดแล้วนะ!”

“ข้าพูดเอง!”

“…ได้!” หมิงฮ่าวตอบรับด้วยความลังเล

หมิงเวยเดินตามพวกเขาข้ามผ่านสวน ข้ามผ่านทางเดินที่มีกำแพงขนาบสองข้าง จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้ากำแพงเตี้ย

หมิงฮ่าวไม่รู้ว่าควรดึงอิฐจากรูกำแพงส่วนไหนออกมาดี เขาเลยดึงออกมาทีละชิ้นๆ

เขากำลังจะปีนขึ้นไป แต่ถูกหมิงเซียงฉุดเอาไว้ “เจ้าให้พี่เจ็ดไปก่อน พวกเราคอยช่วยกันดันอยู่ข้างล่าง”

“โอ้…”

หมิงฮ่าวกำลังจะลงมาแต่หมิงเวยก็ขัดไว้ก่อน “ไม่ต้องหรอก พวกเจ้าไปก่อนเลย ข้าปีนขึ้นเองได้”

“พี่เจ็ด มันต้องปีนข้ามไปนะเจ้าคะ!” หมิงเซียงมองนางด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

“เจ้าวางใจเถอะ” เมื่อเห็นนางยืนยันอย่างหนักแน่น เด็กน้อยทั้งสองจึงไม่ทักท้วงอะไรอีก

พวกเขาคงชินกับการปีนกำแพงแล้ว หมิงฮ่าวปีนขึ้นไปก่อนจากนั้นก็ช่วยดึงหมิงเซียงขึ้นไปตาม ทั้งสองปีนขึ้นไปบนกำแพงได้อย่างราบรื่นแล้วหันมามองหมิงเวยพร้อมกัน

หมิงเวยประมาณความสูงของกำแพงแล้วเหยียบอิฐอีกครั้ง

“พวกเจ้าสองคนหลบไปก่อน” เด็กทั้งสองที่โน้มตัวเตรียมที่จะช่วยดึงนางมองหน้ากัน จากนั้นก็ย้ายตัวเองไปอยู่ด้านข้างด้วยความลังเล

แล้วพวกเขาก็เห็นนางเหยียบอิฐ ในระหว่างที่กระโดดขึ้นนางใช้ฝ่ามือยันกำแพงแล้วพาตัวขึ้นไปนั่งบนนั้นเรียบร้อย

หมิงฮ่าวกับหมิงเซียงได้แต่มองนางตาปริบๆ

“ไปกันเถอะ” หมิงเวยหันหลังให้กำแพงแล้วกระโดดลงจากอีกด้าน ตั้งแต่ต้นจนจบกระโปรงนางไม่ปลิวเลยด้วยซ้ำ

หมิงฮ่าวโน้มตัวไปถามพี่สาวด้วยเสียงเบา “ทำไมพี่เจ็ดถึงได้ปีนคล่องกว่าพวกเราล่ะ”

หมิงเซียงจะไปรู้ได้อย่างไร นางสับสนยิ่งกว่าหมิงฮ่าวเสียอีก!

นางอยากรู้เคล็ดลับการปีนข้ามกำแพงของหมิงเวย หรือนางจะฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเล็ก แต่พี่เจ็ดคนนี้ไม่ใช่ว่านางถูกขังอยู่แต่ในจวนจนไม่เห็นแม้แต่แสงตะวันหรอกหรือ ไม่นึกเลยว่านางจะปีนกำแพงได้

“ทำไมหรือ” หมิงเวยหันกลับไปถามพวกเขา

“ไม่มีอะไร…” ทั้งสองคนลงจากกำแพงอย่างเงียบๆ

“ที่ที่พวกเจ้าพูดถึงไกลจากเรือนมากหรือไม่ มีรถม้าหรือไม่ หรือว่าต้องเดินเท้า”

หมิงฮ่าวเกาหัว “ไม่ไกล พ้นซอยนี้ไปจะมีกิจการเช่ารถลา ทุกครั้งที่พวกเราออกไปข้างนอกก็จะเช่ารถลาของที่นี่ไป”

“….” อันที่จริงสำหรับพวกเขาสองคนดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ไปแล้ว

“งั้นรีบไปกันเถอะ รีบไปรีบกลับก่อนที่จะถูกพบเข้าเสียก่อน”

……..

รถลาโอนเอนไปมาพาทายาทตระกูลหมิงทั้งสามคนออกจากตัวเมือง

ห่างจากตัวเมืองประมาณสามลี้มีศาลาที่พักริมทาง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวตงหนิงจะมาส่งและอำลาญาติของพวกเขา

ในเวลานี้ มีชนชั้นสูงหลายคนมารวมตัวกันที่ศาลาพัก ทุกคนต่างแต่งตัวสีสันสดใส

หมิงเซียงเห็นท่านลุงสอง และท่านพ่อของนางยืนอยู่ในฝูงชนกับพี่ชายของนางจากระยะไกลจึงสะกิดหมิงฮ่าว “พวกเราอย่าเข้าไปเลย ยืนพักข้างทางดีกว่า”

หมิงฮ่าวเองก็กลัวที่จะถูกท่านพ่อของตนเองเห็นแล้วหนีไม่ทันจนถูกตี เขาจึงขอให้รถลาแวะจอดที่โรงน้ำชา

“พี่เจ็ด พวกเราเข้าไปดื่มชากันเถอะ” หมิงเซียงบอก

หมิงเวยเดินตามนางเข้าไปในโรงน้ำชา แล้วก็เห็นนางขอห้องส่วนตัวอย่างคุ้นเคยที่ทาง

โรงน้ำชาแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เหล่าผู้คนที่เดินทางมาส่งหรือต้อนรับญาติสนิทมิตรสหายได้มาแวะพักผ่อน สถานที่นี้มีขนาดใหญ่แต่ไม่หรูหรามากนัก ที่นั่งถูกคั่นด้วยม่านไม้ไผ่ซึ่งดูเรียบง่ายมาก

นั่งไปได้ไม่นานที่นั่งข้างๆ ก็มีคนมานั่ง เป็นบัณฑิตสองสามคนที่มาเดินเล่นที่ชานเมือง

“วันนี้ทำไมผู้คนถึงได้เยอะขนาดนี้ ที่นั่งเต็มเร็วนัก” บัณฑิตร่างท้วมบ่นพลางเช็ดเหงื่อออกจากศีรษะ

เพื่อนคนหนึ่งของเขาเยาะเย้ย “พี่จ้าว พี่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย แค่เห็นทางด้านนั้นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องปกติ”

บัณฑิตจ้าวยืดคอมองตามไปที่ที่เขาชี้ แล้วทำเสียงประหลาดใจ “นั่นมันท่านเจ้าเมืองนี่ แล้วยังมีพวกชนชั้นสูงอีก พวกเขามารวมตัวกันที่นี่เพื่อต้อนรับใครกันนะ”

“ฮ่าๆ!” บัณฑิตอีกคนหัวเราะ “พี่จ้าวเพิ่งรู้หรือ พวกเรามาที่นี่โดยมีจุดประสงค์เพื่อสิ่งนี้! เมื่อครู่พวกเราก็พูดไปแล้ว ท่านไม่ได้ยินงั้นรึ”

“พี่จ้าวจะได้ยินได้อย่างไรกัน” คนก่อนหน้าพูดเสียงยั่วเย้า “เขาน่ะ หลายวันมานี้อดหลับอดนอนอ่านตำราเพื่อการสอบประเมินผลประจำปี ขยันหมั่นเพียรทุ่มเทแรงกายแรงใจ ถ้าพวกเราไม่ดึงดันพาพี่จ้าวออกมา เกรงว่าเขาคงยังนั่งอ่านตำราอยู่”

พวกเขาหัวเราะสักพักและในที่สุดก็กลับเข้าประเด็น

บัณฑิตจ้าวถาม “ท่านเจ้าเมืองมาต้อนรับด้วยตัวเองแบบนี้ เขาผู้นั้นจะเป็นคนแบบใดกันนะ”

สหายของเขาสะบัดพัดและพูดด้วยรอยยิ้ม “เขาผู้นั้นเป็นคนที่เกินความคาดหมายมาก ได้ขี่ม้าร่วมเดินขบวนตอนอายุสิบแปด ถูกวางตัวให้รับตำแหน่งนายอำเภอตอนอายุยี่สิบเอ็ด สามารถคลี่คลายคดีแปลกประหลาดได้หลายคดี จนได้รับขนานนามว่าชิงเทียน[1] ได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองตอนอายุยี่สิบเจ็ด ตอนอายุยี่สิบแปด…”

“ไม่ต้องเล่าแล้ว!” บัณฑิตจ้าวกล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้น “ท่านเจี่ยงเหวินเฟิงใช่หรือไม่ ผู้ตรวจการเจี่ยงเหวินเฟิงใช่หรือไม่! ใต้เท้าเจี่ยงเดินทางมาตงหนิงงั้นรึ ทำไมพวกเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้เล่า!”

หมิงเวยที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ รู้สึกประหลาดใจ เจี่ยงเหวินเฟิงงั้นหรือ เขาเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงที่ถูกเล่าต่อๆ กันมา

ใต้เท้าเจี่ยงผู้นี้ในยุคสมัยของนางนั้น เนื่องจากสิ่งต่างๆ ที่เขาเคยทำมาได้ถูกนักเล่านิทานนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือทำให้เขามีชื่อเสียงมากกว่าฮ่องเต้และขุนนางในยุคนั้นเสียอีก

คดีส่วนใหญ่ถูกเรียบเรียงขึ้นโดยนักเล่านิทานมักจะไม่เป็นเรื่องจริง แต่ตัวเขานั้นเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง

ตอนอายุสิบแปดในการสอบจอหงวนเขาสอบได้อันดับที่สามจนได้รับตำแหน่งทั่นฮวา และถูกส่งไปรับราชการในพื้นที่นอกเมืองหลวงตอนอายุยี่สิบเอ็ด เนื่องจากเขามีชื่อเสียงจากการไขคดีจึงถูกเรียกตัวกลับไปที่ศาลต้าหลี่ หลังจากนั้นเขาก็ได้รับตำแหน่งสูงขึ้น

ศักราชหย่งเจียปีที่สิบแปด เขาได้รับหน้าที่ผู้ตรวจการ ทำหน้าที่ตระเวนตรวจตามเมืองต่างๆ หลังจากนั้นก็เกิดความวุ่นวายในราชสำนัก แต่เขาไม่ได้รับผลกระทบอะไร และทำหน้าที่ของตนเองจนอายุหกสิบปีถึงเกษียณตัวเองออกมา

ตลอดชีวิตของเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานด้านการเมืองมากนัก ปกติเขาจะทำหน้าที่ในส่วนศาลต้าหลี่ กรมอาญา และสำนักตรวจการหมุนเวียนไป ไขดคีเต็มเวลาทำงานได้ ‘สะอาด’ มาก

ปีนี้เป็นศักราชหย่งเจียปีที่สิบแปดพอดี เจี่ยงเหวินเฟิงจะได้รับตำแหน่งผู้ตรวจการ ที่แท้คนที่ท่านเจ้าเมืองถึงกับต้องนำผู้คนมาทำการต้อนรับ คือเจี่ยงชิงเทียนผู้นั้นหรอกหรือ

จริงอยู่ที่ว่าคุณชายหยางคนนั้นมียศถาบรรดาศักดิ์ที่สูง อีกทั้งยังเป็นพระญาติกับฮ่องเต้ แต่เขาไม่ได้อยู่ในเส้นทางเดียวกับขุนนางฝ่ายบุ๋น แล้วท่านเจ้าเมืองจะนำผู้คนออกมาต้อนรับได้อย่างไรกัน ขุนนางฝ่ายบุ๋นจะมีลักษณะนิสัยหนักแน่น หากทำอย่างนั้นไปจริงๆ ก็อาจถูกหัวเราะเยาะเอาได้

หมิงเวยเคาะหัวแล้วส่ายหัว

นางเป็นคนทั่วทิศทั่วแดน เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางคาดไม่ถึง

“น้องแปด คุณชายหยางคือคนที่เดินทางมาพร้อมกับใต้เท้าเจี่ยงใช่หรือไม่”

“ใช่! ทำไมหรือเจ้าคะ” หมิงเซียงไม่สนใจสิ่งใดอยู่แล้ว สิ่งที่นางสนใจมีเพียงคุณชายหยางเท่านั้น

หมิงเวยเคาะโต๊ะ “ที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ ข้านึกว่าคุณชายหยางมาเยี่ยมญาติ แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ทำไมถึงได้เดินทางมาพร้อมกับใต้เท้าเจี่ยงได้ล่ะ”

คุณชายใช้ชีวิตสำมะเลเทเมากับคุณชายฝ่ายบุ๋นผู้ซื่อตรง ดูยังไงก็ไม่น่าจะมาด้วยกันได้ หากเป็นการพบกันก็ควรเป็นแบบต่างคนต่างเดินทางเสียมากกว่า

หมิงฮ่าวทำเสียงจีบปากจีบคอ “พี่เจ็ด คุณชายหยางผู้นี้มีตำแหน่งเป็นขุนนาง น่าจะอยู่ในสำนักหวงเฉิงซือ การมาในครั้งนี้ผู้ตรวจการเจี่ยงได้รับคำสั่งให้มาตระเวนตรวจในแต่ละเมือง ฝ่าบาทเลยถือโอกาสส่งเขามาร่วมเดินทางด้วย แต่อันที่จริงพวกเรารู้กันอยู่แล้วว่าเขาก็แค่หาข้ออ้างออกมาเดินเล่นก็เท่านั้น”

สำนักหวงเฉิงซือ หมิงเวยประหลาดใจยิ่งกว่า

หวงเฉิงซือนี้ไม่ใช่ที่ทำการธรรมดาๆ แต่เป็นหน่วยงานลับที่ขึ้นตรงกับฮ่องเต้เท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นหูและตาให้กับฮ่องเต้ มีความเชี่ยวชาญในการสอดแนมและตรวจสอบสภาขุนนาง

มันเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมาก และเหล่าสมาชิกแทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นเลย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือพวกขุนนางต่างก็ทั้งเคารพและเกรงกลัวพวกเขากันทั้งนั้น

และหากกล่าวถึงตำแหน่งในราชการตำแหน่งนี้ เขาน่าจะเป็นรองหัวหน้าของหวงเฉิงซือ และต้องเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ด้วยเป็นแน่

ฮ่องเต้มอบตำแหน่งนี้ให้กับคุณชายผู้ลากมากดีท่านนี้เอาไว้ประดับภาพลักษณ์อย่างนั้นหรือ

…………………………………………………………

[1] 青天 (ชิงเทียน) ” หมายถึง “ฟ้าสีน้ำเงินสดใส” เปรียบว่าการตัดสินคดีของท่านกระจ่างโปร่งใสตรวจสอบได้เหมือนท้องฟ้าสว่างใส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเที่ยงตรง ยุติธรรม