เล่ม 1 ตอนที่ 20 สัตว์เลี้ยงบ้านปู่เจ้าสิ!

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังผัดกับข้าวจานสุดท้ายอยู่ ก็รู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งมาที่ช่องประตู เธอหันหน้าไปมองก็เห็นสีหน้าตกตะลึงของเจ้าอ้วนชวี

“เป็นอะไรไปหรือ”

“เจ้า เจ้าทำอาหารเป็นจริงๆ เสียด้วย!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ก็ใช่น่ะสิ! เจ้าอยากจะชิมดูหรือไม่ ลองดูว่าจะวางยาพิษเจ้าจนตายได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

คาบเรียนตอนเช้าของวิทยาลัยเริ่มค่อนข้างสาย เกือบถึงเก้าโมงกว่าแล้วจึงค่อยเริ่ม ตอนเช้าเธอตื่นตั้งแต่ยังไม่หกโมงแล้ว จึงได้ลุกขึ้นมาบำเพ็ญครู่หนึ่งแล้วจากนั้นก็มาทำอาหารเช้า

เธอเป็นนักชิมตัวยงเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้นอกจากเวลาที่ออกไปปฏิบัติภารกิจแล้ว ในเวลาอื่นๆ เธอเป็นต้องหาเรื่องกินอยู่ตลอด ตอนนี้ในเมื่อมาถึงที่นี่ทั้งทีก็คงจะปล่อยผ่านการกินไปไม่ได้อยู่แล้ว

ในเวลาที่ทำอาหาร เธอก็นึกถึงคนอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนพักเดียวกัน ถ้าหากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาเสียก่อน ก็คงต้องอยู่ด้วยกันไปอีกหลายปีทีเดียว ดังนั้นเธอจึงทำอาหารมากขึ้นอีกหน่อย เผื่อในส่วนของพวกเขาเอาไว้ด้วย

เจ้าอ้วนชวีมาถึงที่โต๊ะแล้วนั่งลงพลางมองดูกับข้าวบนโต๊ะ ก่อนจะหลุดปากถามอย่างไม่เจตนาขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “นี่มิได้เรียกว่าอาหารภัตตาคารหรอกหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกคล้ายว่ามีรอยย่นสามเส้นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของตน คนผู้นี้ขาดความเชื่อมั่นต่อตนเกินไปเสียแล้ว!

“ถ้าเจ้าไม่กิน ข้าก็คงบังคับเจ้ามิได้หรอกนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตักอาหารขึ้นจากหม้อพลางพูดขึ้น

“แค่กๆ ข้าจะกินจริงๆ แล้วนะ” เจ้าอ้วนชวีมองเห็นกระต่ายน้อยที่อยู่บนโต๊ะตัวนั้นกำลังกินอย่างเปรมปรีดิ์ก็คิดว่าสิ่งนี้คงจะไม่ฆ่าคนตาย นอกจากนี้ยังส่งกลิ่นหอมเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย จะต้องมีรสชาติเยี่ยมยอดอย่างแน่นอน

ในขณะนี้เอง เงาร่างคนอีกร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตู เมื่อมองเห็นอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างยินดีว่า “ไอ้หยา… วันนี้ไม่ต้องไปกินที่โรงอาหารของวิทยาลัยแล้วสินะ! ช่างกลิ่นหอมน่าอร่อยอะไรเช่นนี้!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองแขกไม่ได้รับเชิญ หนุ่มหล่อผู้ถือวิสาสะนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เมื่อนึกถึงท่าทีหนีเอาตัวรอดของเขาเมื่อวานแล้วเธอจึงเอ่ยเหน็บแนมว่า “วันนี้เจ้าไม่กลัวถูกกินแล้วหรอกหรือ”

มือของเว่ยจือฉีชะงักไป จากนั้นก็คีบกับข้าวใส่ชามพลางเอ่ยว่า “กลัวสิ แต่ว่ารอให้ข้ากินหมดแล้วค่อยมาว่าเรื่องกลัวกันต่อก็แล้วกัน”

เออ…

“นี่คือสัตว์เลี้ยงของเจ้าอย่างนั้นหรือ” เว่ยจือฉีมองเห็นเจ้าคำรามน้อยจึงเอ่ยถามขึ้น

เมื่อได้ยินคนบอกว่าตนเป็นสัตว์เลี้ยง เจ้าคำรามน้อยก็มองเว่ยจือฉีอย่างไม่พอใจปราดหนึ่ง มันเป็นถึงกระต่ายเทพ เป็นสัตว์อสูรเทพโบราณต่างหากเล่า!

อันที่จริงจะตำหนิเว่ยจือฉีที่พูดว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงก็ไม่ได้ หากจะตำหนิใครก็ได้แต่โทษที่ชื่อเสียงเรียงนามว่าคนไร้ค่าของซือหม่าโยวเย่ว์นั้นฉาวโฉ่เกินไป ดูคล้ายกับว่าทั่วทั้งแผ่นดินต่างก็รู้จักชื่อเสียงของนาง และผู้ที่ไม่อาจบำเพ็ญได้ก็ไม่อาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้อยู่แล้ว นอกจากนี้มันยังมีความน่าเอ็นดูไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยน่ารักเลย ดังนั้นเขาจึงอาจเข้าใจได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซือหม่าโยวเย่ว์เลี้ยงเอาไว้

ซือหม่าโยวเย่ว์ยกกับข้าวจานสุดท้ายมาวางไว้บนโต๊ะแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ข้าเสียเงินไปกองโตเลยถึงจะซื้อกลับมาได้”

เจ้าคำรามน้อยที่กินอิ่มแล้วกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะไปเดินย่อยภายในเรือนพัก

ซื้อมาอะไรกัน เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันถูกเธอล่อลวงมาทำพันธสัญญากับเธอต่างหาก! เจ้าคนหลอกลวงผู้นี้นี่!

เมื่อเห็นท่าทีราวกับมนุษย์ของเจ้าคำรามน้อย เว่ยจือฉีจึงได้เกิดความสงสัยในคำพูดเมื่อครู่นี้ของตนเองขึ้นมา มันเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงเท่านั้นจริงๆ หรือ

“พวกเราเริ่มกินกันดีกว่า” เจ้าอ้วนชวีรอจนซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงแล้วเอ่ยขึ้น

“กินอะไรกันเล่า มิใช่ว่ายังมีอีกสองคนที่ยังไม่มาหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนออกไปไหนกันตั้งแต่เช้าแล้ว ทุกวันนี้ตอนเช้าล้วนมีแต่ข้ากับจือฉีเท่านั้นแหละที่ไปเข้าเรียน” เจ้าอ้วนชวีเมินคนทั้งสองไปในทันที

“จริงหรือ”

สองคนนี้ช่างทำตัวลึกลับเสียเหลือเกิน!

“ตอนนี้ถ้าเจ้าไปที่ห้องพวกเขาสองคน ก็ต้องไม่มีคนอยู่แล้วอย่างแน่นอน” เว่ยจือฉีกินไปพูดไป

“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มกินกันเลยดีกว่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็พบว่าวาจานี้ของตนเปล่าประโยชน์ สองคนนั้นกินกันไปครึ่งหนึ่งแล้ว!

เมื่อกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็กลับไปทำความสะอาดห้อง ปล่อยให้เจ้าคำรามน้อยกลับเข้าไปข้างในมณีวิญญาณ

จริงๆ แล้วสัตว์อสูรที่ทำพันธสัญญาก็มีมิติพันธสัญญาของตัวเองอยู่ แต่มันบอกว่าที่นั่นช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ดังนั้นจึงไปชวนเจ้าวิญญาณน้อยเล่นกันเสียแล้ว

พอซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา เจ้าอ้วนชวีมองเห็นมือเปล่าของเธอแล้วจึงถามขึ้นว่า “เจ้าไม่พาสัตว์เลี้ยงของเจ้าไปด้วยหรือ”

“ไม่พาไปหรอก”

เจ้าคำรามน้อยที่อยู่ภายในมณีวิญญาณได้ยินเจ้าอ้วนชวีเรียกตนว่าสัตว์เลี้ยงจึงกางกรงเล็บแล้วตะโกนเสียงดังลั่นว่า “สัตว์เลี้ยงบ้านปู่เจ้าสิ! เจ้าอ้วนชวี จะต้องมีสักวันที่คุณชายเช่นข้าทำให้พวกเจ้าตาสว่างแน่!!!”

เจ้าวิญญาณน้อยมองเจ้าคำรามน้อยอย่างรังเกียจปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “สายเลือดไม่เลวเลย แต่นิสัยช่างน่าละอายยิ่งนัก!”

กรงเล็บของเจ้าคำรามน้อยที่ยังกางอยู่กลางอากาศชะงักค้างไปในทันใด มันมองเจ้าวิญญาณน้อยอยู่สองวินาทีก่อนจะกระโจนเข้าใส่

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีไปถึงชั้นเรียน ก็ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นมาไม่น้อย บรรดาคนที่รู้จักเธอต่างก็มารวมตัวกันสุมหัวกระซิบกระซาบ

“เขามาที่ห้องเรียนของพวกเราได้อย่างไรกันนี่”

“เขามิใช่คนไร้ค่าหรอกหรือ แต่กลับมาที่ชั้นเรียนของพวกเราได้จริงๆ เสียด้วย”

“นั่นนะสิ นี่มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย พวกเราต่างก็ผ่านการคัดเลือกจึงเข้ามาได้ นักเรียนที่เรียนซ้ำชั้นอย่างเขาก็ยังมาอยู่รวมกับพวกเราได้ด้วยหรือนี่!”

“พวกเจ้ารู้จักเขาหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้วสิ คนไร้ค่าที่มิอาจสัมผัสได้แม้กระทั่งปราณวิญญาณ พวกเราก็ย่อมต้องรู้จักอยู่แล้วล่ะ!”

“สวรรค์เอ๋ย เขาเป็นคนไร้ค่าหรอกหรือ! เช่นนั้นแล้วเขามาที่ชั้นเรียนของพวกเราได้อย่างไรเล่า”

“ก็มิใช่เพราะท่านปู่ของเขาหรอกหรือ ตำแหน่งสูงส่งออกปานนั้น”

“ท่านปู่ของเขาเป็นใครกันหรือ”

“แม่ทัพใหญ่พิทักษ์อาณาจักรอย่างไรเล่า”

“ที่แท้เขาก็เป็นหลานชายของท่านแม่ทัพใหญ่นั่นเอง”

“หึ คนไร้ค่าอย่างเขา หากพวกเราคุยกันเรื่องการบำเพ็ญเหล่านั้นแล้วเขาจะฟังรู้เรื่องหรือ ต่อให้ฟังรู้เรื่องแล้วจะนำไปใช้ได้หรือ การมาที่ชั้นเรียนของพวกเรานี้ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้าเท่านั้นแหละ!”

“ฮ่าๆ เจ้าพูดได้ถูกต้อง”

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองคนเหล่านั้นปราดหนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพูดคุยกันค่อนข้างเบา แต่เธอก็ยังคงได้ยินอยู่ดี เมื่อเห็นว่าภายในชั้นเรียนก็มีเพียงแค่ที่นั่งแถวหลังสุดเท่านั้นที่ยังว่างอยู่ เธอจึงตรงไปยังที่นั่งนั้นแล้วนั่งลง

หลายคนที่นั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้ามองประสานสายตากันแวบหนึ่ง หมายจะมาหาเรื่องซือหม่าโยวเย่ว์ แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้น เฟิงจือสิงก็เข้ามาจากด้านนอกเสียแล้ว พวกเขาจึงได้แต่นั่งกลับลงไปดังเดิม

เขามองไปยังที่นั่งแถวสุดท้ายด้วยความเคยชิน เมื่อมองเห็นเงาร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ เขาก็ประหลาดใจอยู่บ้าง

“ซือหม่าโยวเย่ว์”

“มาขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังมองหนังสือที่วางอยู่ในลิ้นชักโต๊ะ เมื่อได้ยินเฟิงจือสิงเรียกชื่อตน จึงเงยหน้าขึ้นมองเขา

“เจ้าออกมากับข้าหน่อย” เฟิงจือสิงพูดอย่างเรียบๆ “ส่วนคนอื่นๆ ก็ทบทวนวิธีการบำเพ็ญที่คุยกันเมื่อวานไปก่อนนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ตามเฟิงจือสิงไปยังห้องทำงานของเขาอย่างวิตกกังวลอยู่บ้าง ลอบคิดว่าเขาอาจจะให้ตนกลับไปเสียใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรตนก็มาสายไปหลายวันกว่าจะมาถึงวิทยาลัย

“เหตุใดเจ้าจึงเพิ่งโผล่มาวันนี้เล่า” เฟิงจือสิงมาถึงก็ถามขึ้น แต่เสียงนั้นก็ยังคงอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ฟังอารมณ์ไม่ออกเลย

“ในบ้านเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ก็เลยมาสายไปเล็กน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับกำลังแยกแยะว่าสิ่งที่นางพูดนี้เป็นความจริงหรือไม่ ผ่านไปพักหนึ่งจึงเอ่ยปากว่า “เจ้ามานี่สิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ก็ยังเดินไปตรงหน้าเขา

เฟิงจือสิงเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ในทันใด

ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจ เธอถึงขนาดที่มองเห็นไม่ชัดเจนเลยด้วยซ้ำว่าเขาลงมืออย่างไร จนกระทั่งข้อมือมีความรู้สีกเยียบเย็นราวน้ำแข็ง เธอจึงค้นพบว่าตนเองถูกคว้าจับเอาไว้เสียแล้ว

“ท่านอาจารย์” เธอมองเฟิงจือสิงอย่างสงสัย

นี่เขาต้องการคุกคามเธออย่างนั้นหรือ

เมื่อเห็นแววสงสัยในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์ เฟิงจือสิงก็ปล่อยมือแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้เรื่องราว แต่เขาพูดเช่นนี้ก็แปลว่าไม่ถือสาหาความแล้วกระมัง

เฟิงจือสิงมองดูซือหม่าโยวเย่ว์จากไป มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยพึมพำว่า “เริ่มต้นบำเพ็ญเร็วถึงเพียงนี้เชียว ดูท่าทางแผนที่วางไว้จะ…”

…………………