บทที่ 7 คิดบัญชีรวมกัน

บัญชามังกรเดือด

บทที่ 7 คิดบัญชีรวมกัน

“บูซาน !”
“ฉันจะพาคุณปู่ไปโรงพยาบาล ส่วนคุณรีบโทรแจ้งตำรวจที ปิดเมืองซะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องจับคนร้ายฆาตกรให้ได้ !”
“ฉันจะฆ่าไอ้สารเลวนั่นด้วยมือของฉันเอง !”
เถียหนิงซวงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
อย่ามองว่าเธอเป็นแค่คุณหนูที่ดูอ่อนหวาน เพราะว่าเติบโตมาในครอบครัวทหาร ได้ฝึกการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเด็ก ในเวลานี้นั้นโมโหจนหน้าแดงแทบจะระเบิด
บูซานกลับใจเย็นลง
เขาพบว่าถึงแม้เถียสงจะหมดสติ แต่ยังคงหายใจลึก ชีพจรก็ยังคงที่ เหมือนกับคนที่กำลังหลับสนิท
เมื่อนึกถึงคำพูดก่อนที่จะจากไปของฉินเทียน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น: “คุณหนูใหญ่ คนคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ !”
“สามารถมองมังกรดำสิบแปดมือของผมออก ทั้งยังรู้ว่านายท่านได้รับบาดเจ็บจากการฝึกฝนหมัดเจ็ดพิการบทเก่าอีก”
“หรือว่า เขาก็มาจากแดนเหนือเช่นกัน ?”
เถียหนิงซวงเหม่ออยู่ชั่วครู่: “แล้วที่เขาบอกว่าอีกหกชั่วโมงให้พวกเราไปรับเขาที่ตระกูลมันหมายความว่ายังไง ?”
“เป็นไปได้ไหมว่า——” บูซานได้สรุปอย่างใจกล้า แต่ไม่กล้าที่จะพูดออกมา
“คุณหนูครับ เรื่องนี้ไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะ พวกเราพานายท่านกลับบ้านก่อน แล้วคอยดูสถานการณ์ต่อไปจะดีกว่า”
เถียหนิงซวงยอมพยักหน้า แต่เธอก็ยังกัดฟันเอ่ย: “ฉันขอสาบาน ถ้าคุณปู่เป็นอะไรไปล่ะก็ ฉันจะฆ่าผู้ชายคนนั้นเอง !”
  ……
ฉินเทียนพาซูซูเดินไปรอบๆ สวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อมีไผ่หยกแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำซุปสงบจิตให้ยุ่งยากอีก
เขาตัดสินใจมาเสี่ยงโชคที่ตลาดขายของเก่า ถ้าหากหาซื้อไม้หอมดีๆ ได้สักหน่อย มันคงจะช่วยให้ซูซูหลับสบายขึ้นแน่นอน
เมื่อมาถึงตลาดขายของเก่าที่ใหญ่ที่สุดในหลงเจียง
เขาไม่ได้รีบร้อนเข้าไปข้างในร้าน แต่เดินดูแผงขายของริมถนนรอบๆ ก่อน
ของดีไม่จำเป็นต้องอยู่ในอาราม แต่มักซ่อนอยู่ในตลาดต่างหาก
”ฉินเทียน ?” หยุดอยู่ตรงหน้าแผงขายของแผงหนึ่ง จู่ๆ ฉินเทียนก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของตนเอง เขาจึงหันไปมอง
“นายยังไม่ตาย ?”
“กลับมาตั้งแต่ตอนไหนน่ะ ?”
คนที่เดินเข้าจากฝั่งตรงข้ามเป็นชายหนุ่มที่ทั้งตัวมีแต่แบรนด์ดัง
ผมของเขาถูกหวีจนเรียบเป็นมัน นาฬิกาข้อมือทองเรือนใหญ่เป็นประกาย ที่แขนยังมีสาวสวยคนหนึ่งเกาะอยู่
ฉินเทียนขมวดคิ้ว
เหมือนเขาจะจำคนคนนี้ได้นิดหน่อย ชื่อว่าซูเหวินปิน
เป็นคนจากตระกูลซูด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าสายเลือดห่างๆ ไม่มีใครใส่ใจนานแล้ว
ในตอนแรกที่เกิดเรื่องเมื่อคราวนั้น ซูซูตัดสินใจว่าจะให้ฉินเทียนมาเป็นสามีของเธอ แต่คนในตระกูลซูทั้งหมดไม่เห็นด้วย มีเพียงซูเหวินปินคนเดียวที่สนับสนุน
เพราะว่าตอนนี้ซูเหวินปินทำงานอยู่ในบริษัทของหยางยู่หลัน หยางยู่หลันที่เห็นว่าเขาเป็นลูกหลานตระกูลซูจึงปฏิบัติต่อเขาอย่างใจกว้าง
ซูเหวินปินคำสองคำก็เรียกซูซูว่าพี่สาว ทั้งยังไม่รังเกียจที่จะเรียกหยางยู่หลันว่าแม่อีก
หลังจากที่แยกกันห้าปี บริษัทของหยางยู่หลันก็ไม่มีแล้ว ดูเหมือนซูเหวินปินคนนี้จะโง่เง่าขึ้นเสียแล้ว
ฉินเทียนอดที่จะเหล่ตามองไม่ได้
“ประทานซู เขาคือคางคกที่ได้กินเนื้อหงส์จนทำให้คนทั้งเมืองต่างก็อิจฉาเมื่อห้าปีก่อนเองเหรอ ?”
“ก็น่าจะหลงใหลอยู่พอตัวนะ หงส์กลายเป็นห่านโง่ไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ไปไหน”
“สุดหล่อ นายยังหวังว่าสาวสวยซูจะลุกยืนขึ้นได้อีกงั้นเหรอ ?”หญิงสาวมากเสน่ห์พูดอย่างขมขื่น
ต่อหน้าซูซูเมื่อก่อน เธอเทียบไม่ได้แม้แต่หญ้าหางสุนัข; ตอนนี้เมื่อเห็นว่าซูซูพิการโง่เง่าไปแล้ว จึงรู้สึกได้ใจเป็นที่สุด
เธอทำท่าทาง จงใจอวดร่างกายอันมีเสน่ห์ของตนเอง
ผู้คนโดยรอบต่างถูกเธอดึงดูด ดวงตาของพวกเขาจับจ้องมายังร่างของเธอราวกับแมลงวัน
ซูเหวินปินหัวเราะ ยกแขนโอบเอวสาวสวยเอาไว้พร้อมเอ่ยอย่างภาคภูมิ: ฉินเทียน นี่คือเลขาสาวของฉันเอง”
“เป็นยังไง ถ้านายชอบล่ะก็ ฉันให้ก็ได้นะ”
“ก่อนอื่น นายต้องให้เมียนายมอบสิทธิบัตรของครีมซูยู่มาให้ฉันก่อน”
ฉินเทียนหรี่ตา: “นายก็รู้จักครีมซูยู่งั้นเหรอ ?”
ซูเหวินปินหัวเราะเยาะ: “ถ้าฉันไม่ได้เป็นคนบอก พี่เหวินเฉิงก็คงไม่รู้เรื่องนี้หรอก”
“ตอนนี้ฉันเป็นรองผู้อำนวยการของบริษัทพี่เหวินเฉิง พี่เหวินเฉิงไม่เคยลืมครีมซูยู่ มุ่งมั่นที่จะเอามันมาให้ได้น่ะสิ”
เลขาสาวแกล้งทำเป็นโกรธแล้วพูดอย่างเขินอาย: “ประธานซู คุณพูดอะไรเนี่ย !”
“ทำไมต้องให้ไปดูแลห่านโง่เง่าแบบนั้นด้วยล่ะ เขาไม่ใช่ลูกค้าสำคัญสักหน่อย”
ซูเหวินปินเอ่ยดุ: “ไร้สาระ ถ้าได้สูตรครีมซูยู่มาล่ะก็ เงินรางวัลห้าล้านจะแบ่งให้เธอครึ่งหนึ่งแล้วกัน”
“จริงเหรอคะ ?” เลขาสาวตาเป็นประกาย เดินโฉบไปทางฉินเทียน: “สุดหล่อ ภรรยาของนายใช้ไม่ได้แล้วล่ะ ให้ฉันดูแลนายแทนดีกว่านะ”
พูดเสร็จ แถมยังขยิบตาให้
ฉินเทียนพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา: “เธอนับเป็นอะไรถึงได้มาเปรียบเทียบกับซูซู !”
สะบัดมือออกไป
เป็นสายลมแรง
เลขาสาวหวีดเสียงเบาพร้อมถอยหลังจนเกือบล้มลง ด้วยความตกใจ เธอดึงซูเหวินปินเข้ามาออดอ้อน:
“ประธานซู คุณดูเขาสิ จะทำร้ายฉัน !”
“คนไม่มางั้นเหรอ !”
เมื่อสังเกตเห็นความผิดปรกติ เธอก็พูดอย่างโกรธเคือง: “ประธานซู คุณเป็นอะไร ?”
“คุณรีบพูดออกมาสิ !”
ผู้คนโดยรอบหัวเราะกันยกใหญ่ !
เจ้าของแผงลอยที่ดูเหมือนชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งหยิบกระจกทองเหลืองขึ้นมาพร้อมเอ่ย: “แม่หนู ดูซะสิ”
เมื่อเลขาสาวมองในกระจก จมูกที่ทำมาอย่างดียุบลง คางที่ยกขึ้นก็ตกลงมาเช่นกัน ราวกับว่าได้เห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก
“อ๊าย !”
เธอปิดหน้ากรีดร้องเสียงแหลมและรีบวิ่งหนีไป
ผู้คนโดยรอบต่างก็พากันหัวเราะคิกคัก
มีคนใจดีเอ่ยเตือน: “แม่หนูไปทำศัลยกรรมที่ไหนมา อย่าลืมไปแจ้งจับพวกมันด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวนี้โรงพยาบาลพวกนี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว สมบูรณ์แบบอะไร โดนลมพัดไปหนึ่งทีก็หลุดหมดแล้ว”
“ไอ้หนุ่ม นายเป็นคนทำเหรอ ?” ซูเหวินปินรู้สึกอับอายต่อหน้าคนหมู่มาก จึงพุ่งทางไปฉินเทียนอย่างโกรธเคือง
ฉินเทียนมองเขาด้วยดวงตาเข้ม: “บัญชีของตระกูลซู ฉันขอชำระมันด้วยกันก็แล้วกัน !”
พูดจบก็เมินซูเหวินปิน และหันไปถามพ่อค้าชาวนาที่อยู่ข้างๆ : “ขอดูภาพวาดผืนนั้นของคุณหน่อย”
ในสายตาของซูเหวินปิน ฉินเทียนในวันนี้ก็เป็นแค่คนตกอับที่เขาสามารถรังแกได้ตามต้องการ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อเห็นสายตาของฉินเทียนแล้ว เขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกในหัวใจ
ราวกับถูกเทพแห่งความตายจับจ้อง
มันต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ !
“ไอ้หนุ่ม นายยังต้องการจะคิดบัญชีกับตระกูลซูอยู่ไหม ?”
“ดีมาก อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลางานเลี้ยงอาหารค่ำของตระกูลแล้ว คนในตระกูลซูอย่างพวกเรารอนายอยู่นะ !”
พูดจบ เขาก็คำรามใส่ชาวนาเจ้าของแผงลอยว่า: “ภาพวาดต่ำช้าอะไร เอามาให้ฉันดูซิ !”
“ถ้ามันเป็นของแท้ ฉันจะจ่ายให้อย่างงาม !”
ที่เขาทำแบบนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าต้องการที่จะแย่งฉินเทียน
สิ่งที่ฉินเทียนต้องการ เขาก็จะฉกฉวยมันมาด้วยราคาที่สูงกว่า
ฉินเทียนไม่สนใจ มองเยาะเย้ย
ชาวนาที่ดูธรรมดายื่นม้วนภาพให้ซูเหวินปินอย่างระมัดระวังพร้อมเอ่ย: “นี่เป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของฉันเอง !”
“เฮ้อ ฉันเป็นลูกหลานที่ไร้ค่าเสียจริง ถึงได้ตกต่ำจนมาถึงจุดนี้ ช่างขายหน้าต่อบรรพบุรุษจริงๆ !”
“สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้ ก็คือหาที่พักให้กับภาพวาดพื้นนี้”
“ค้าขายกับผู้เชี่ยวชาญ ถ้าคุณไม่รู้ว่าภาพวาดผืนนี้มีดียังไง จะให้เงินมากเท่าไหร่ก็ไม่ขายหรอก”
ซูเหวินปินใจกระตุก รีบร้อนเอ่ย: “วางใจได้วางใจได้ ปู่ของฉันชอบภาพเขียนพู่กันมากๆ ”
ภาพวาดนี้ มันเกี่ยวกับว่าในงานเลี้ยงคืนนี้เขาจะทำให้ซูเป่ยซานพอใจได้หรือไม่ มันมีผลกับตำแหน่งของเขาในตระกูลในภายหลัง
ดังนั้นเขาจึงค่อยเปิดม้วนภาพออกอย่างระมัดระวัง