ตอนที่ 19 หลังบรรลุช่วงพื้นฐาน Ink Stone_Romance
เสวียนหลิงมองภาพนิมิต “ ศิษย์น้อง เจ้ารับลูกศิษย์ได้ไม่เลวเลย “ เสวียนหลิงพูดอย่างพึงพอใจ
“ศิษย์พี่ เจ้าก็รู้ว่าในช่วงพลังอย่างพวกเรา หากสัมผัสไม่ถึงพลัง ก็คงจะไม่ได้ออกจากฌานหรอก นังหนูนี่บรรลุช่วงพลังแล้วล่ะสิ เป็นร่างวิญญาณอัคคีเสียด้วย” เสวียนหั่วกล่าวอย่างชอบใจ
ร่างวิญญาณอัคคี อาจารย์อาเอาอีกแล้ว นังหนูผู้นี้มีแกนวิญญาณอัคคีอยู่ 99 ส่วน เแถมอาแต่พูดอยู่เรื่อยว่าเครื่องวัดความสามารถไม่ตรงแน่ๆ
“ร่างวิญญาณอัคคีหรือ? เป็นร่างวิญญาณที่หายากนักในหมื่นปี” เสวียนหลิงพูดพลางพยักหน้า แต่ทำไมสีหน้าของบรรดาลูกศิษย์เขาดูแปลกๆเช่นนั้น
แม้ว่าสีหน้าท่าทางของบรรดาลูกศิษย์ของเขาหลายคนเหมือนมีเรื่องปิดบัง แต่เสวียนหั่วกับเสวียนหลิงยังคงสังเกตเห็นว่าบรรดาลูกศิษย์หลายคนคิดว่าตัวเองผิด อนิจจา…พวกเขาบำเพ็ญมาถึงช่วงนี้แล้ว ยังมีอะไรที่มองไม่ออกอีก ลูกศิษย์ทั้งหลายยังคงต้องฝึกบำเพ็ญอีกมาก
เทพมังกรตัวน้อยบนท้องฟ้าลืมตาขึ้นมาแทะเปลือกไข่บนร่างกายของตัวเองอย่างงุนงง หลังจากกินเสร็จก็เรอออกมา กลายร่างเป็นประกายแสงวาบเข้ามาในตัวของหลิวหลี ตราประทับมังกรบนหน้าผากของหลิวหลีส่องแสงสีแดงเจิดจ้า เอ๋าเลี่ยพบว่าตัวเองมีขาเพิ่มขึ้นอีกสี่ขา นั่นหมายความว่าตัวเองพัฒนาไปพร้อมกัน ความคิดเอ๋าเลี่ยล่องลอยและหลิวหลีก็บรรลุช่วงพื้นฐานไปพร้อมๆกับภาพนิมิต
หนานกงเวิ่นเทียนมองภาพนิมิตแล้วพูดไม่ออกอยู่นาน ร่างวิญญาณอัคคี หญิงสาวที่ราวมนุษย์อัคคีเมื่อครู่ ตอนนี้เป็นร่างวิญญาณอัคคีแล้วจริงๆ เขาเป็นแค่แกนวิญญาณเหมันต์ 95 ส่วน ยังห่างไกลจากร่างวิญญาณอีกมากโข สามารถเก็บคำทำนายเอาไว้คิดทีหลังได้ บัดนี้เขาแค่ต้องการฟื้นฟูพลังบำเพ็ญเพียรของตัวเอง อาศัยใบบุญหลิวหลีที่บรรลุเซียน จนทำให้ตอนนี้หนานกงเวิ่นเทียนฟื้นฟูไปได้ถึงขั้น 7 แล้ว แต่เพราะถ่ายทอดพลังเซียนให้กับหลิวหลี เขาจึงหน้าซีดเล็กน้อย
หลิวหลีลองโคจรพลังเซียนในร่างกายรอบหนึ่งแล้วจึงลืมตาขึ้น มีความรู้สึกอิ่มเอมคล้ายกับการผ่านวิบากกรรมแล้วกลับมาเกิดใหม่ ตนเองตกอยู่ในอันตรายจริงๆ โชคดีที่มีอาเลี่ย ว่าแต่…ทำไมอาเลี่ยถึงมีเพลิงอัคคีติดอันดับชื่อดังก้อนนั้นได้เล่า หลิวหลีข้องใจเล็กน้อยว่าแต่ทำไมนางถึงเหม็นขนาดนี้ หลิวหลีย่นจมูกเล็กน้อยแล้วพบว่าตัวเองกลายเป็นเด็กสาวตัวเหม็นไปเสียแล้ว การหวีผมไม่เป็นไม่ได้หมายความว่านางไม่รักความสะอาด นางหยิบถังไม้ขนาดใหญ่ออกมาทันที แล้วเทน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองเก็บไว้ลงไป นางถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วทำการถูตัวหนึ่งรอบ ทำให้หนานกงเวิ่นเทียนหน้าแดงขึ้นมาทันที ผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงมักง่ายนัก ไม่รู้หรืออย่างไรว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงทุกคนมองเห็นได้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้ต่อหน้าเขา หน้าไม่อายจริงๆ เสวียนหั่วกับเสวียนหลิงหน้าแดงเล็กน้อยเช่นกัน เสวียนหั่วยังพอเข้าใจเรื่องผู้หญิงอยู่บ้าง แต่ศิษย์เอ๋ย…เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าอาจารย์ อาจารย์อา ศิษย์พี่ทุกคนกำลังรอเจ้าอย่างทรมาน ออกมารายงานสักเล็กน้อยก่อนแล้วค่อยกลับไปอาบไม่ได้หรือไง แต่เสวียนหลิงกลับรู้สึกว่านิสัยของหลิวหลีใช้ได้ทีเดียว
หลิวหลีอาบน้ำเรียบร้อยแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม ผมที่แห้งจากพลังเซียถูกห่อด้วยผ้าทำให้ดูกลายเป็นหนุ่มน้อยแสนน่ารัก แต่พอหลิวหลีเห็นหนานกงเวิ่นเทียนก็ตัวชาวาบ จบกัน…สนใจแต่ว่าตัวเองเป็นเด็กสาวตัวเหม็น จนไม่ทันสังเกตว่ามีคนอยู่ด้วย อีกทั้งยังเป็นคนที่ตัวเองจะพิจารณาให้เป็นสามีในอนาคตด้วย อึดอัดใจไหมล่ะ แต่พอคิดกลับมาอีกทีตัวเองเพิ่งจะอายุ 13 พูดถึงหน้าอกก็ไม่มี พูดถึงก้นก็ไม่มี ด้านหน้าด้านหลังไม่มีส่วนเว้าส่วนนูน ไม่มีอะไรน่าดูเลยสักนิด อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามที่นางสนใจยังเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งจะ 4 ขวบยิ่งไม่มีอะไรที่ต้องการเข้าไปใหญ่ หลิวหลีกลับมาเป็นสภาพปกติ ส่วนเอ๋าเลี่ยนั้น นางรู้สึกว่าเขาเป็นคู่พันธสัญญาของตนเอง แถมยังเป็นสัตว์อสูร เห็นคงไม่เป็นอะไร
หนานกงเวิ่นเทียนมองหลิวหลีที่หน้าเปลี่ยนสีไปมาแล้วก็กลับมาเป็นปกติ แม่สาวคนนี้สภาวะจิตใจไม่เลวเลย
“เสี่ยวเทียน เจ้าทำไมมาอยู่ที่นี่ ผอมไปหมดแล้ว ใบหน้าซาลาเปาหายไปแล้ว” หลิวหลีรู้สึกปวดใจ ความคิดที่อยากจะเลี้ยงซาลาเปาให้ตัวอ้วนขาวจั๊วะพังทลายสิ้น ทำไมถึงมีสภาพเหมือนแม่นางไซซีตอนป่วยเลยนะ
“เจ้าคิดว่าเพลิงบุปผาเหมันต์ของเจ้าดูดซับได้เร็วขนาดนั้นเป็นเพราะตนเองหรือ ถ้าไม่มีเด็กคนนี้ เจ้ารอสลายเป็นธุลีไปได้เลย” เสียงของเอ๋าเลี่ยดังขึ้น หลิวหลีสะเพร่าเกินไป ไม่ไตร่ตรองพิจารณาใดๆ แย่จริงๆ
“เสี่ยวเทียนเจ้าช่วยข้าจัดการเพลิงบุปผาเหมันต์หรือนี่” หลิวหลีรู้สึกผิดเล็กน้อย
“เดิมทีเพลิงอัคคีนี้เป็นคู่เพลิงอัคคีในร่างคู่พันธสัญญาของเขา เพราะเกิดใหม่จึงได้แบ่งลูกไฟมา ถ้าไม่เช่นนั้นคนอย่างเจ้าที่ไม่รู้จักใช้ของดีต่างๆนานา จะพิชิตเพลิงอัคคีมาได้อย่างไร” เอ๋าเลี่ยยังคงพูดต่อไป
หลิวหลียื่นมือขวาออกมา เปลวไฟเหมันต์สีฟ้าก็ปรากฏขึ้น เพลิงบุปผาเหมันต์สวยงามราวกับดอกบัวจริงๆ
“เสี่ยวเทียน ขอบใจเจ้าด้วยนะ จากนี้ไปอาหารสามมื้อของเจ้ายกให้เป็นหน้าที่ข้า ข้าจะเลี้ยงเจ้าให้เป็นเจ้าอ้วนผิวขาวจั๊วะเลย” หลิวหลีพูดขึ้นพลางกอดหนานกงเวิ่นเทียนไว้ บุญคุณพูดแค่คำขอบคุณคงไม่พอ เลี้ยงดูให้เจ้าอ้วนพีจึงจะเรียกว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณต่างหาก
“ไม่เป็นไร ปล่อยข้าได้ไหม ข้าหายใจไม่ออก” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ได้สิ” หลิวหลีปล่อยหนานกงเวิ่นเทียนแล้วเปลี่ยนมาจับมือของเขาแทน หนานกงเวิ่นเทียนพยายามดึงออกหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จเลยยอมแพ้ หลิวหลีเปิดประตูถ้ำออก เมื่อบรรลุช่วงพื้นฐานแล้วควรจะไปบอกอาจารย์
ใครจะรู้ว่าเมื่อประตูถ้ำเปิดออก นางก็เห็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง แล้วมีชายแปลกหน้าวัยกลางคนด้วยอีกคนหนึ่ง
“เอ่อ อาจารย์ ศิษย์พี่ทุกคน พวกท่านมาอยู่ที่หน้าถ้ำของข้าหมดเลยหรือ” หลิวหลีสับสนเล็กน้อย ทำไมทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่หมดเลย ตัวเองไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ใครจะไปรู้ว่าประโยคต่อไปของเสวียนหั่วจะทำเอาจนนางจะถึงขนาดอยากจะเปิดเขตต้องห้ามอีกครั้งแล้วเข้าฌานต่อไปอีกแปดปีสิบปี
“เฮ้ หลิวหลีเจ้าออกมาพร้อมกับลูกชายของเจ้าหรือ”
“ลูกชาย!” เสียงต่างกันหลายเสียงดังขึ้น หนึ่งในนั้นเป็นเสียงของหลิวหลี
ศิษย์พี่หลายคนกวาดตามองดูนาง
“อาจารย์อา พรหมจรรย์ของศิษย์น้องยังไม่ถูกทำลาย” เทียนเซียนจื่อพูดขึ้น ผู้หญิงด้วยกันน่าจะเข้าใจกันมากกว่า หลิวหลีเพิ่งจะอายุ 13 เด็กตัวนี้จะเป็นแม่คนได้ก็คงมีแต่อาจารย์อาตาแก่ที่เป็นโสดเท่านั้นแหละที่จะคิดได้
ถ้าคราวนี้ยังไม่เข้าใจ เสวียนหั่วใช้ชีวิตมามากขนาดนี้ก็เสียเปล่าแล้วล่ะ เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของหลิวหลี ถ้าอย่างนั้นเขามาจากไหนกัน
“อาจารย์ ข้าเป็นคนเก็บเสี่ยวเทียนได้เอง” ในที่สุดหลิวหลีก็เข้าใจความสับสนนี้จึงกล่าวอธิบาย
“เก็บได้หรือ?” เสวียนหั่วพูดไม่ออก ทำไมลูกศิษย์ของเขาถึงมีนิสัยชอบเก็บของกลับมามั่วซั่วนักเล่า
“เจ้าค่ะ เก็บได้จากหลังภูเขา ไม่ใช่เด็กในสำนัก” หลิวหลีพูดขึ้น หนานกงเวิ่นเทียนในฐานะบุคคลที่เกี่ยวข้องยังคงเงียบกริบต่อไป
“หลังเขาคนอื่นสามารถเข้าไปได้ด้วยหรือ?” ในฐานะคนดูแลสำนัก เสวียนอวี่มีความอ่อนไหวทางการเมืองอยู่ไม่น้อย
“ท่านอาวุโส ข้าไม่ได้ต้องการปิดบังอะไร ข้าคือหนานกงเวิ่นเทียน ทายาทรุ่นที่ 17 ของสกุลหนานกงจากเผ่าหงส์ ตกลงมายังสำนักของพวกท่านเพราะอุบัติเหตุ ไม่ต้องกังวล หากข้ารักษาตัวหายดีแล้วข้าก็จะไป” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว หลิวหลีอ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เสี่ยวเทียนไม่ได้ชื่อว่าเฟิ่งเทียนหรอกหรือ ทำไมถึงบอกว่าเขาชื่อหนานกงเวิ่นเทียน ล่ะ
“สกุลหนานกงแห่งเผ่าหงส์ เจ้ามีหลักฐานหรือไม่” เสวียนอวี่กล่าว สำนักเขาไม่คุ้นเคยคนจากโลกอสูรเทพ แต่ถ้าบอกชื่อแล้วก็พอจะรู้จักอยู่บ้าง
หนานกงเวิ่นเทียนอ้าปากคายไข่มุกออกมา เมื่อเปิดไข่มุกออกมาป้ายหยกลายหงส์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน มันเป็นสัญลักษณ์ของสกุลหนานกงแห่งเผ่าหงส์จริง ๆ ด้วย
“ในเมื่อเป็นคุณชายจากสกุลหนานกง จะพักอาศัยอยู่หลายๆวันก็ไม่มีปัญหา” เสวียนอวี่พูดพลางพยักหน้า
“ใช่แล้ว หลิวหลี เจ้ายังจำเรื่องที่สัญญากับข้าไว้ได้ไหม” เสวียนหั่วนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น
“จำได้ นี่เจ้าค่ะอาจารย์” หลิวหลียื่นขวดหยกขนาดเล็กให้เสวียนหั่ว เสวียนหลิงยืนดูอยู่ด้านข้าง ถึงขนาดสามารถปรุงยาระดับ 1 ได้ ไม่เลวจริง ๆ
เสวียนหั่วเทยาออกมาหนึ่งเม็ด เป็นเม็ดสีฟ้าอ่อน มีแสงประกายเจิดจ้า เป็นยาเสริมพลังชั้นดี ดมจากกลิ่นของยาแล้วน่าจะเป็นคุณภาพชั้นเลิศ ไม่รู้ประสิทธิภาพจะเป็นอย่างไรบ้าง เสวียนหั่วใส่เข้าปากลองลิ้มรสแล้วนิ่งชะงักไป
“อาจารย์ เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ” หลิวหลีถามขึ้นอย่างระมัดระวัง น่าจะไม่มีข้อผิดพลาดสิ
“หลิวหลี เจ้าใส่อะไรเพิ่มลงไป” เสวียนหั่วขมวดคิ้ว หลิวหลีมีมาตรฐานต่อรสชาติสูงทีเดียว
เทียนเย่าที่อยู่ด้านข้างไม่พูดจา จนกระทั่งยาวิเศษปรากฏอยู่ตรงหน้าถึงดึงดูดสายตาของเขา ศิษย์น้องสามารถปรุงยาคุณภาพชั้นเลิศออกมาได้แล้วหรือนี่
“ข้าไม่ได้เพิ่มอะไรเลย ข้าแค่เคลือบน้ำตาลเพิ่ม เวลาค่อนข้างกระชั้น ข้าก็เลยปรุงเป็นรสชาติน้ำผึ้งกับองุ่น” หลิวหลีอธิบาย
เสวียนหลิงฟังแล้วก็รู้สึกว่านางเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ ส่วนคนอื่นๆต่างก็รู้สึกว่านางช่างอัจฉริยะนัก คิดได้ถึงขนาดเคลือบน้ำตาลลงบนยา นอกจากศิษย์น้องคงไม่มีคนอื่นแล้ว
“หลิวหลี เจ้าปรุงให้ข้าดูอีกครั้งได้หรือไม่” เสวียนหั่วคิดแล้วก็พูดขึ้นมา
“อาจารย์ ข้าเกรงว่าจะไม่ได้ ข้าบรรลุช่วงพื้นฐานแล้วหลอมรวมเพลิงบุปผาเหมันต์แล้ว ข้ายังใช้ไม่เป็นเลย” หลิวหลีพูดอย่างลำบากใจ
“อะไรกัน เจ้าหลอมรวมเข้ากับเพลิงบุปผาเหมันต์ที่ติดอันดับอย่างนั้นหรือ” คนที่เหลือต่างพูดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
……………………………………………………..