ซิ่งเอ๋อร์คลี่ยิ้มแล้วปลอบโยนด้วยเสียงเบา “นายหญิงอย่าท้อเลยเจ้าค่ะ ไว้รอนายหญิงให้กำเนิดบุตรชาย และสั่งสอนให้ทำคุณงามความดีรับใช้ราชสำนัก อีกทั้งอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเรายังเป็นเด็กที่ดูแลเอาใจใส่ผู้อื่นเป็นอย่างดี วันข้างหน้าท่านมีทั้งบุตรชายและบุตรี ทุกคนล้วนต้องอิจฉาท่านเป็นแน่เจ้าค่ะ”
เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าโดยไม่พูดสิ่งใด
เมื่อปีกลาย นางเคยตั้งท้องบุตรชาย แต่เนื่องด้วยช่วงนั้นเป็นเทศกาลตรุษจีน ทั้งงานภายนอกและภายในเรือนต่างก็ยุ่งวุ่นวายยิ่งนัก อีกทั้งทางวังหลวงยังมีงานมากมายให้ต้องดูแล ลู่ฮูหยินจึงให้นางคอยดูแลงานส่วนใหญ่ในเรือน นางดูแลงานในเรือนด้วยความขยันหมั่นเพียร จนทำให้แท้งทารกในครรภ์
หลังจากเรื่องนี้ ร่างกายของนางได้รับความเสียหายอย่างมาก ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก อีกทั้งเมื่อปีกลาย สามีของนางก็นำทหารไปออกรบทางทิศตะวันตก เขาออกไปรบนานถึงครึ่งค่อนปี ทำให้นางต้องเฝ้าเรือนเพียงลำพัง และยังต้องอยู่อย่างหวาดกลัว จนน้ำตาตกในอยู่หลายครั้ง
เวลานี้ซูอวี้ผิงเสร็จจากการออกรบ เฟิงฮูหยินน้อยก็คิดได้อย่างกระจ่างแจ้ง อำนาจต่างๆ ในจวนนั้นไม่มีสิ่งใดสำคัญ ขอเพียงแค่ซูอวี้ผิงยังมีชีวิตอยู่ ตนก็คือฮูหยินซื่อจื่อ ไม่ว่าผู้ใดดูแลงานภายในจวนก็เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ในภายภาคหน้า หากสามีสืบทอดตำแหน่งโหว ตนก็คือนายหญิงของจวนแห่งนี้
แต่หากจะให้ครองตำแหน่งนายหญิงของจวนโหวอย่างมั่นคง เกรงว่าไม่อาจอาศัยแค่เพียงสามีเท่านั้น นางจำเป็นต้องมีบุตรชายด้วย
เพื่อที่จะสืบทอดตำแหน่งท่านโหว หลังจากที่ท่านโหวสิ้นใจในภายภาคหน้า เป็นไปไม่ได้ที่ท่านโหวจะยกตำแหน่งนี้ให้กับซื่อจื่อที่ไม่มีบุตรชาย เป็นไปไม่ได้ที่จะยกตำแหน่งที่ได้มาอย่างยากเย็นนี้ให้แก่ซูอวี้ผิงที่ไม่มีทายาท
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าซูอวี้ผิงจะยังหนุ่มยังแน่น ทว่าวันข้างหน้ายังต้องออกเดินทางอยู่บ่อยๆ เขายังต้องนำทัพไปออกรบ อีกทั้งอาวุธเหล่านั้นยังไม่มีตา หากสามีของนางเป็นอะไรขึ้นมา เฟิงฮูหยินน้อยรู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจวนโหวที่นางครอบครองในตอนนี้ ท้ายที่สุดแล้วนางก็จะสูญเปล่า
บุตรชาย คือสิ่งที่จะทำให้สตรีอยู่อย่างมั่นคงในใต้หล้านี้
จวนโหวที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ นอกจากจะมีเฟิงฮูหยินน้อยที่คอยกลัดกลุ้มเรื่องบุตรชายนั้น ในเวลาเดียวกันก็ยังมีเหยาเฟิ่งเกอ
ณ เรือนฉีเสียง หลังจากที่สาวใช้และบรรดาผัวจื่อปรนนิบัติรับใช้นายหญิงกินอาหารค่ำแล้ว พวกนางก็ได้ผลัดกันเฝ้าเวร และผลัดกันไปกินอาหาร
เหยาเฟิ่งเกอสั่งให้ซานหูคอยอยู่ปรนนิบัติรับใช้เพียงคนเดียว นางนำใบจ่ายยาสีเหลืองซีดให้เหยาเยี่ยนอวี่พิจารณา พร้อมทั้งพูดด้วยเสียงเบา “น้องสาว เจ้าลองพิจารณาดูใบจ่ายยานี้ที มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่รับใบจ่ายยาแผ่นนั้นมา นางอาศัยแสงเทียนอ่านตัวอักษร จากนั้นพูดขึ้น “นี่เป็นตำรับยาที่ช่วยบำรุงภายในของสตรี ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอเอ่ยถามอีกครั้ง “เช่นนั้น หากดื่มยาบำรุงภายในเป็นเวลานาน จะช่วยให้ตั้งครรภ์เร็วขึ้นหรือไม่?”
“ตั้งครรภ์?” เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินดังนี้จึงฉงนสงสัย นางครุ่นคิดในใจว่าข้าไม่มีความชำนาญด้านสูตินรีเวช อีกทั้งเรื่องการมีบุตร…หากมีเพียงสตรีพยายามอยู่ฝ่ายเดียวเกรงว่าคงไม่มีประโยชน์หรอกกระมัง แม้นางจะไม่ได้พูดออกไป ทว่านางยังคงก้มหน้าอ่านตำรับยานี้พลางพิจารณาอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เหยาเฟิ่งเกอมองสีหน้าจริงจังของเหยาเยี่ยนอวี่ จึงรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย
เหยาเยี่ยนอวี่มองสิ่งใดไม่ออกจากตำรับยานี้ เนื่องจากนางไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน แม้นนางจะเคยอ่านตำรับยาสมุนไพรมาไม่น้อย ทว่าไม่เคยมีโอกาสนำไปปฏิบัติจริง สำหรับแพทย์ทางฝั่งตะวันตกจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์การรักษา ตำรับยาที่ไม่ผ่านการทดลองล้วนเป็นสูตรยาที่ไม่สามารถเชื่อถือได้ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถามขึ้น “พี่สาว ก่อนหน้านี้ท่านดื่มยาต้มนี้มาโดยตลอดหรือเจ้าคะ”
“ตามธรรมดาแล้ว ตอนที่เพิ่งสมรสตัวข้าไม่ได้ดื่มยาต้มนี้ แต่หลังจากที่สมรสมานานกว่าหนึ่งปีแล้วยังไม่มีบุตร ข้าจึงไหว้วานให้คนหาตำรับยานี้มา เพียงแต่ดื่มได้ไม่ถึงครึ่งค่อนปีข้าก็ล้มป่วยแล้ว เมื่อล้มป่วยก็ไม่อาจสนใจการใดได้อีก จึงทิ้งตำรับยานี้ไป วันนี้ข้าเองก็ดีขึ้นแล้ว จึงอยากจะกลับมาดื่มอีกครั้ง” ขณะที่เหยาเฟิ่งเกอพูดนั้น นางก็ถอนหายใจยาว “เจ้าเองก็รู้ ข้าสมรสกับคุณชายสามมานานกว่าสามปี ทว่ากลับไม่มีบุตรเสียที ในสายตาของท่านแม่ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มากนัก เดิมทีข้าคิดว่าตนเองคงมีลมหายใจอยู่ต่อได้ไม่นานนัก จึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ทว่าวันนี้โชคดีที่ได้เจ้าช่วยรักษาจนหายป่วย ทำให้ข้ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ในเมื่อสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป เช่นนั้นก็จำต้องมีทายาท ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่สามารถอยู่ในจวนแห่งนี้ได้อย่างมั่นคง หากวันข้างหน้าถูกขับไล่ออกจากจวนโหว โดยอ้างว่าเป็นเพราะข้าไม่อาจมีทายาทให้กับวงศ์ตระกูล เช่นนี้จะเป็นการทำให้ท่านพ่อท่านแม่เสื่อมเสียชื่อเสียงไม่ใช่หรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิด สิ่งที่นางกล่าวมามีเหตุผลจึงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “สิ่งที่ท่านพี่พูดนั้นไม่ผิด เพียงแต่การตั้งครรภ์นั้นไม่อาจถามหาสาเหตุจากตัวสตรีเพียงฝ่ายเดียว พี่สาวเองก็พูดแล้วว่า ก่อนหน้านี้ท่านได้ดื่มตำรับยานี้มานานกว่าครึ่งปี ทว่ากลับไม่เห็นผล?”
เหยาเฟิ่งเกอนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงรีบจับมือเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้ จากนั้นถามด้วยเสียงเบา “เจ้าหมายความว่า…คุณชายสาม?”
“ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ใจหล่นวูบทันที พร้อมทั้งครุ่นคิดในใจซูอวี้เสียงเป็นอย่างไรตนไม่รู้หรอกจากนั้นนางก็ก่นด่าปากพล่อยๆ ของนางที่พูดมากในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปนางจึงรีบพูดด้วยความร้อนใจ “พี่สาวอย่าได้คิดมากเลยเจ้าค่ะ ข้าหมายความว่าบางทีตำรับยานี้อาจจะเป็นตำรับยาที่ดี เพียงแต่ไม่เหมาะสมกับพี่สาวเท่านั้น”
คำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเฟิ่งเกอได้เก็บมาคิดในใจเสียแล้ว นางครุ่นคิดในใจ เดี๋ยวคงต้องหาหมอหลวงที่น่าไว้วางใจมาตรวจชีพจรให้กับซูอวี้เสียง บางทีการที่หลายปีมานี้ตนไม่ได้ตั้งครรภ์ ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวเขาก็ย่อมได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ จึงถอนหายใจเสียงเบาแล้วพูดขึ้น “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ไม่รู้ว่าน้องมีวิธีที่ดีหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิด แล้วพูดขึ้น “เวลานี้พี่สาวยังไม่หายดี ยังไม่เหมาะที่จะตั้งครรภ์ หากตั้งครรภ์ในเวลานี้ เกรงว่าทารกในครรภ์จะแย่งพละกำลังและเลือดในร่างกายของผู้เป็นมารดาไปได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น อาจจะทำให้ร่างกายของพี่สาวย่ำแย่กว่าเดิม ในทางกลับกัน หากพี่สาวตั้งครรภ์ในตอนที่ร่างกายไม่แข็งแรงดี จะส่งผลต่อความแข็งแรงของทารกในครรภ์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเรื่องการตั้งครรภ์ของพี่สาว ไม่อาจใจร้อนจนเกินไป ช่วงสองเดือนนี้ควรจะรักษาสุขภาพให้ดีเสียก่อนเจ้าค่ะ”
“น้องสาวพูดถูก” เหยาเฟิ่งเกอเห็นด้วยกับคำพูดนี้เป็นอย่างมาก
เหยาเยี่ยนอวี่บอกให้เหยาเฟิ่งเกอออกไปเดินเล่นให้มาก ทำจิตใจให้สบาย พยายามกินอาหารบำรุงร่างกายเยอะๆ ส่วนยาต้มนั้นหากไม่จำเป็นก็อย่าดื่ม
เพราะถึงอย่างไร ‘ยานั้นมีพิษสามส่วน’ ‘สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้นอยู่กับการออกกำลัง’ คำพูดนี้ต้องนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่เอาแต่นอน ไม่ใช่เอาแต่ดื่มยา
สุดท้าย เพื่อความสบายใจของเหยาเฟิ่งเกอ เหยาเยี่ยนอวี่จึงบอกการรักษาด้วยการรมยา กำชับนางให้ใช้ยาสมุนไพรมารมตรงบริเวณท้องน้อย ตรงจุดชีพจรสือเหมิน[1]เพื่อที่จะปรับสมดุลภายในของสตรี พร้อมทั้งบอกวิธีอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง
ในที่สุดเหยาเฟิ่งเกอก็ยอมปล่อยเหยาเยี่ยนอวี่กลับมา เมื่อเข้าไปถึงในเรือน นางก็ถอดรองเท้าจากนั้นเหยียดกายนอนบนตั่งไม้ พร้อมทั้งขานเรียกชุ่ยเวย “รินน้ำชามาหน่อย!”
ชุ่ยเวยรีบรินน้ำชาผสมน้ำผึ้งมาให้นาง จากนั้นพูดด้วยเสียงค่อย “คุณหนูเจ้าค่ะ เฝิงหมัวมัวเพิ่งกลับมา เพราะความร้อนใจ จึงยังไม่ได้กินอาหารค่ำ เวลานี้กำลังกินอาหารที่เรือนข้างเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนสั่งให้แม่นมออกไปทำธุระ แม่นมออกไปทั้งวัน เวลานี้เพิ่งกลับมา นางจึงรีบพูดขึ้น “ให้นางกินอาหารค่ำไปก่อน หลังจากที่กินเสร็จแล้วนั้นค่อยเข้ามา”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยรับถ้วยน้ำชามา จากนั้นวางกลับไปที่เดิม
เหยาเยี่ยนอวี่เรียกสติตนเองกลับมาแล้วนั่งรอเฝิงหมัวมัว วันนี้นางให้เฝิงหมัวมัวออกไปทำการใหญ่ หลังจากที่เฝิงหมัวมัวกินข้าวเสร็จก็ไม่กล้าชักช้า นางรีบเข้ามาในเรือนเพื่อรายงาน ชุ่ยเวยเป็นคนมีไหวพริบ นางจึงพาสาวใช้คนอื่นออกไปด้านนอกพร้อมทั้งปิดประตูเรือนด้วยตนเอง
“เป็นอย่างไรบ้าง” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้อ้อมค้อม และเข้าประเด็นทันที
“เรียนคุณหนู วันนี้บ่าวและคนของบ่าวได้เดินรอบร้านค้าทั้งสี่ร้านที่ทางจวนยกให้คุณหนูหนึ่งรอบ ร้านขายข้าวสารนั้นมีขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่อาจเทียบกับร้านขายข้าวสารขนาดกลางของเมืองหลวง แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ร้านขายข้าวสารที่มีขนาดใหญ่นั้นกลับมีการค้าไม่ดีนัก ดังนั้นแม้ว่าร้านค้าของพวกเราจะเล็ก ทว่าผู้ที่เข้ามาจับจ่ายล้วนเป็นชาวบ้านยากไร้ แม้ว่าจะเป็นการค้าที่เล็กน้อย ทว่าก็ทำรายได้ให้มากมายทุกวันเจ้าค่ะ ในหนึ่งเดือนมีกำไรเข้ามาหลายร้อยตำลึงเงินเลยเจ้าค่ะ”
[1] จุดชีพจรสือเหมินจุดชีพจรบริเวณท้องน้อย