ตอนที่ 70-4 ตบตีไป๋ฮูหยิน
พอถงฮูหยินได้ยิน รอยย่นบนหน้าผากก็ยิ่งขยักมาเบียดกัน นางคิดทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้ไม่มีเรื่อง จึงจ้องมองสะใภ้รองพลางว่า
“แล้วสะใภ้ใหญ่จะให้ทำเช่นไร เจ้าดูสิ เจ้าเองก็บาดเจ็บ พี่สะใภ้เจ้าก็บาดเจ็บ หัวโจกต่างไม่มีใครได้เปรียบใคร อีกอย่างอาเม่าก็ถูกบ่าวของเจ้าทำบาดเจ็บ ถือว่าเสมอกัน แล้วๆ กันไปเถอะ”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเชิดหน้า แล้วๆ กันไปเช่นนี้หรือ ต่อไปหวงน้าสี่ก็ยิ่งกล้าแผลงฤทธิ์สิ จึงแค่นเสียงเย็นชา
“เฮอะ เสมอกัน? ท่านแม่จะลำเอียงเช่นนี้ไม่ได้! บ่าวข้าไม่ได้แตะต้องอาเม่าสักหน่อย เด็กน้อยไม่มีเรี่ยวแรง เซไปชนกำแพงเอง แต่พี่สะใภ้ไม่ถามอะไรสักคำ ก็เข้ามาตบตีข้าแล้ว เช่นนี้ก็เสมอกันหรือ”
เมื่อพูดถึงลูกชาย หวงน้าสี่ก็ปาดน้ำตา กะพริบตาปริบๆ อีก แล้วรีบหลบเข้าด้านหลังถงฮูหยิน ก่อนกัดฟัน พูดเสียงงึมๆ งำๆ
“ตัวเองไม่มีลูกชาย ถึงได้อยากให้ลูกชายผู้อื่นตายๆ ไปเสีย! โหดร้าย”
คำพูดนี้มีความหมายแฝง หนึ่ง ฟ้องว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นคนสั่งบ่าวให้ทำอาเม่าหัวแตก สอง บอกเป็นนัยว่าอวิ๋นจิ่นจ้งถูกนางผลักไสให้ไปบ้านสวนจนเกือบเกิดเรื่องขึ้น
ถงฮูหยินจ้องมองสะใภ้รองด้วยสีหน้าที่ยิ่งมาก็ยิ่งดูไม่ได้ ในที่สุด ความยุติธรรมในใจทั้งหมดก็เอนเอียงเข้าหาหวงน้าสี่ จะไม่เป็นเช่นนี้อย่างไรได้ ในเมื่อสะใภ้รองดูแลทายาทสืบสกุลอย่างจิ่นจ้งได้ไม่ดีพอ แล้วจะหวังให้นางเมตตากรุณาอาเม่าได้อย่างไร
เมื่อคิดเช่นนี้ ถงฮูหยินก็ทำหน้าเครียด
“ข้าบอกว่า แล้วกันไปก็แล้วกันไปสิ ทำไม เจ้าเป็นผู้อาวุโสของบ้าน หรือข้าเป็นกันแน่! ถ้าไม่งั้น รอเจ้ารองกลับมา เจ้าก็ไปฟ้องข้าเลย บอกว่าข้าจัดการเรื่องไม่เป็นธรรม!”
ว่าแล้วก็ลากตัวสะใภ้ใหญ่ ให้รีบกลับเรือนไปดูแผลอาเม่า
อวิ๋นเสวียนฉั่งเลิกงานกลับถึงจวน เดิมทีจะตรงไปเรือนหลัก พอถงฮูหยินรู้เช่นนี้ ก็เกรงว่าสะใภ้ใหญ่จะไปฟ้องก่อน จึงกลอกตาไปมา รีบบอกให้สาวใช้ ไปเชิญนายท่านมามาหาตนก่อน
อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินว่ามารดาเรียกพบตน ก็ไปยังเรือนตะวันตกทันที พอก้าวเข้าประตู ก็เห็นหมอแบกกล่องยากำลังเดินออกมา และพอได้ยินว่าหลานบาดเจ็บ ก็ตกใจ รีบซอยเท้าก้าวเข้าไป
ตอนเห็นอาเม่าพันผ้าพันแผลไว้บนศีรษะ ก็คิดว่าเด็กๆ คงเล่นซนจนไปชนถูกอะไรเข้า แต่พอถาม ถึงได้รู้ว่า วันนี้หลังบ้านเกิดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้น
ท่านหมอที่ทำแผลให้อาเม่าบอกว่าไม่เป็นไร เด็กๆ เพียงหนังศีรษะบาง แค่ถลอกนิดหน่อย หมอใช้กรรไกรตัดผมตรงปากแผลออก แล้วโปะยาลงไปชั้นหนึ่ง สามวันให้หลังค่อยเปลี่ยนยาครั้งหนึ่ง กำชับต่ออีกไม่กี่คำ ก็ขอลา
ถงฮูหยินเห็นว่าหลานไม่เป็นไรแล้ว ค่อยโล่งอก เมื่อเห็นลูกชายมา จึงใช้โอกาสที่ได้พูดก่อน พูดรับรองว่า
เรื่องที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นอุบัติเหตุ และสุดท้าย ด้วยเกรงว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยจะฟ้อง จนทำให้ลูกชายโทษว่าตนลำเอียง จึง
พูดอย่างเย็นชาว่า
“เมียเจ้าน่ะ ปากคอเราะราย ข้าแค่อยากให้เรื่องสะใภ้ตบตีที่น่าอายเช่นนี้จบแบบเงียบๆ แต่นางกลับอยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ยังหาว่าข้าไม่ยุติธรรมอีก เสวียนฉั่ง ถ้าข้าไม่ยุติธรรม แล้วทำให้บ้านเจ้ายุ่งวุ่นวาย พรุ่งนี้ข้าก็จะพาน้าสี่กับลูกๆ กลับบ้านนอกเสีย”
การเป็นนายใหญ่ของบ้าน เขาไม่อาจเข้าข้างคนในบ้านตัวเอง แม้รู้ทั้งรู้ว่าพี่สะใภ้เป็นคนหาเรื่องก่อน เขาก็ได้แต่ไม่ถือสาหาความ และยิ่งได้ยินมารดาบอกว่าจะกลับบ้านนอก ก็ร้อนรนทันที นี่อยู่แค่ไม่กี่วันก็จะไปเสียแล้ว ถ้าคนนอกรู้เข้า จะพูดกันอย่างไร จึงยกชุดยาวขึ้น คุกเข่าลง พลางว่า
“ท่านแม่ หลายปีมานี้ ลูกเอาใจนาง จนนางเคยตัว จึงมักทำอะไรตามใจ ไม่รู้จักกาลเทศะ ท่านก็อย่าถือสาคนรุ่นหลังอย่างนางเลย” จากนั้นก็ปลอบใจอีกสักพัก พอเห็นว่ามารดาหายโกรธแล้ว ค่อยจากมา
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรอสามีพลางชะเง้อมอง จนคอยืดคอยาวไปหมดแล้ว
ตอนกลับถึงห้อง นางเลิกผมขึ้น ส่องดูสภาพตัวเองกับคันฉ่อง ดีที่ยังไม่ถึงกับกระอักโลหิต
หวงน้าสี่ลงมือหนักมาก ชนิดไม่สนใจผลที่จะตามมา เส้นผมตรงรอยต่อระหว่างหน้าผากกับหนังศีรษะของนางเป็นสีแดงไปส่วนหนึ่ง และบวมขึ้นมาอย่างน่ากลัว ผมร่วงไปมากมาย ใบหน้ารูปไข่ที่นางทะนุถนอมดั่งทองให้ขาวเนียนละเอียดในทุกๆ วัน ตอนนี้มีรอยเล็บราวนิ้วกว่าๆ อยู่สองรอย หนังถลอกออก โดยไม่รู้ว่าจะเป็นแผลเป็นหรือไม่!
นางไม่เคยรองรับอารมณ์โกรธขนาดนี้มาก่อน จึงร้อง อ๊าก ออกมาคำหนึ่ง ก่อนฟุบลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง ร้องไห้พลางตีอกชกหัวตัว สาวใช้พูดปลอบใจอย่างไรก็ไม่เป็นผล
อวิ๋นเสวียนฉั่งที่ผละออกจากเรือนมารดามาถึง พอก้าวเข้าห้องและเห็นสภาพไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็เป็นอันผงะ เมื่อเห็นว่านางเกือบเสียโฉมแล้ว
ส่วนไป๋เสวี่ยฮุ่ยพอเห็นท่านพี่ ก็รู้ว่ามีที่พึ่งแล้ว จึงยิ่งแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้รับความเป็นธรรม ร้องห่มร้องไห้ได้ไม่ทันไร ก็เลิกเส้นผมที่เลอะโลหิตบนหน้าผากให้ดู แล้วโอดครวญ
“สุดท้าย ท่านแม่ก็ไม่ได้ลงโทษพี่สะใภ้แม้แต่น้อย สักนิดก็ไม่ให้ความเป็นธรรมกับข้า ท่านพี่ ท่านต้องตัดสินอย่างมีเหตุผลนะ”
อวิ๋นเสวียนฉั่งถูกมารดาใช้ไม้ตายขู่ว่าจะกลับบ้านนอก และยังฟังเรื่องราวจากมารดามาก่อน ตอนนี้พอได้ยินไป๋เสวี่ยฮุ่ยบอกเป็นนัยว่าถงฮูหยินตัดสินผิด ความสงสารก็พลันหายไปกว่าครึ่ง ขมวดคิ้วพลางว่า
“เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร ไปตำหนิแม่ว่าลำเอียงรึ? บอกว่านางจัดการเรื่องได้ไม่ยุติธรรม จากนั้นก็ปล่อยให้นางร้องไห้สะอึกสะอื้น แบกสัมภาระ พาครอบครัวออกจากเมืองหลวงกลับบ้าน?”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยสำลักเล็กน้อย ลำคอตีบตัน นางเป็นคนฉลาด รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะแย่งความรักกับแม่สามี อีกทั้งไม่กล้าต่อว่าอะไรแม่สามีแต่อย่างใด ครุ่นคิดสักพัก ค่อยเชิดดวงตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้น
“ทุกอย่างเพราะพี่สะใภ้เป็นต้นเหตุ ท่านพี่ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องไล่หญิงบ้านั่นกลับบ้านนอกให้ได้”
ก่อนหน้านี้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยคิดว่าจะอดทนให้แล้วๆ กันไป เพราะใช่ว่าต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันชั่วชีวิต จะช้า
จะเร็วพี่สะใภ้ก็ต้องไปอยู่ดี แต่พอเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น นางไหนเลยจะยอมให้พี่สะใภ้อีก เกลียดมานานแล้ว นับนิ้วทุกวัน ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่ ถ้าอยู่นาน ตนมิต้องอึดอัดใจแย่หรือ!
ไม่ได้การ ต้องไล่หวงน้าสี่กลับบ้านให้ได้!
อวิ๋นเสวียนฉั่งรู้สึกลำบากใจ พี่สะใภ้มาเป็นเพื่อนท่านแม่ ถ้าท่านแม่อยู่ในจวนวันหนึ่ง พี่สะใภ้ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนวันหนึ่ง ไม่มีทางที่จะเชิญให้พี่สะใภ้กลับไปเพียงลำพังดื้อๆ จึงปลอบนางว่า
“แล้วกันไปเถอะ อดทนอีกหน่อย อาเม่าหัวแตกก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จะว่าไป เจ้าก็ส่วนรับผิดชอบอยู่เหมือนกัน ที่พี่สะใภ้ทำอะไรบุ่มบ่าม ก็น่าจะให้อภัยกันได้”
พอพูดถึงอาเม่า ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็นึกถึงตอนที่พี่สะใภ้ถากถางนางเรื่องไม่มีลูกชาย
หัวแตก? พูดเสียน่าตกใจ! แค่เลือดไหลไม่กี่หยด หนังหัวถลอกนิดหน่อย นางเพิ่งให้อาเถาไปสืบดู ได้ความว่าเจ้าลิงป่านั่น กำลังเล่นสนุกอยู่เชียว แบบนี้เรียกว่าบาดเจ็บหรือ
อาเม่านั่น เมื่อเทียบกับนางที่ถูกดึงทึ้งเส้นผม แก้มกับหนังศีรษะเป็นแผลแล้ว ถือว่าบาดเจ็บน้อยมาก!
คิดๆ แล้ว ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็โอดครวญขึ้นอีก “แต่ถ้าให้นางอยู่ต่อ ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่อีกนานแค่ไหน พี่สะใภ้กับข้านิสัยเข้ากันไม่ได้ ขัดแย้งกับแทบทุกเรื่อง ท่านแม่อยู่กับนางมานาน ย่อมปกป้องนาง ข้าทำอะไรก็ผิดไปหมด…ท่านพี่ ข้าเครียดจนกังวลไปทุกเรื่อง ถ้านางอยู่นาน ข้าก็อาจโมโหจนล้มป่วย ท่านพี่ ข้ายินยอมพร้อมใจปรนนิบัติท่านแม่ แต่ถ้าข้าต้องคอยดูสีหน้าพี่สะใภ้ไปด้วยล่ะก็ ข้ายากรับไหวจริงๆ ข้ารับไม่ไหวไม่เป็นไร แต่ถ้าน้องสาวในวังรู้เรื่อง นางต้องกลุ้มใจแทนแน่”
พอพูดถึงนางในไป๋ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็รู้แล้วว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยกำลังกดดันตน ซึ่งพอนึกถึงพฤติกรรมของพี่สะใภ้ ก็ทำให้ผู้คนปวดหัวได้จริงๆ ถ้าทะเลาะกันบ่อยๆ แล้วเรื่องเล็ดลอดออกไป จวนรองเจ้ากรมจะเสียเอา อย่างเรื่องกฎบ้านไม่ยุติธรรม เรื่องญาติที่มีทุกรูปแบบ จึงขมวดคิ้ว
“เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาหน่อยสิว่า ทำอย่างไรถึงจะให้พี่สะใภ้กลับบ้านไปได้ ถ้าให้ข้าออกปากไล่ตรงๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่สนใจหน้าตา แต่ข้าสน”
เช่นนี้ย่อมไม่ได้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นชา พลางพูดเสียงเบา
“ก็ทำให้นางอยากกลับไปเองสิ พี่สะใภ้ยังมีลูกชายคนโตอีกคนมิใช่หรือ ถ้าพี่ใหญ่บอกนางว่า ลูกชายคนโตป่วย นางต้องรีบกลับแน่ หรือต่อให้นางไม่กลับ บ้านนอกที่ไม่มีผู้หญิงคอยดูแล ท่านแม่ย่อมเป็นห่วง และจะเป็นคนบอกให้นางกลับไท่โจวไปก่อนเอง…ท่านพี่ก็ค่อยส่งจดหมายบอกพี่ใหญ่คำหนึ่ง เตี๊ยมกันให้ดี พอพี่สะใภ้กลับถึงบ้านแล้วจะได้ไม่รู้ว่าถูกหลอก มิฉะนั้นต้องโวยวายจนบ้านแตกแน่”
ตั้งแต่อวิ๋นเสวียนฉั่งได้เป็นขุนนางในราชสำนัก ก็มักให้คนนำของขวัญไปมอบให้พี่ใหญ่เสมอ พี่ใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนาที่ซื่อสัตย์ใจดี มองว่าน้องเป็นปราชญ์ของบ้าน จึงยกย่องเทิดทูนเต็มที่ ยิ่งได้ของขวัญจากน้องก็ยิ่งเชื่อในคำพูดขุนนางอย่างน้องทุกอย่าง ถ้าส่งจดหมายไปบอกสักคำ คนซื่ออย่างพี่ใหญ่น่าจะไม่เพียงทำตาม กระทั่งยังรู้สึกละอายใจว่าหวงน้าสี่อยู่บ้านน้อง ยังทำให้น้องขายหน้าอีก
แม้รู้สึกผิดต่อพี่ใหญ่อยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกใดๆ ยิ่งทำอะไรไม่ได้กับการกดดันบวกกับท่าทางออดอ้อนของไป๋เสวี่ยฮุ่ย
อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงตัดสินใจลุกเดินออกจากห้อง เรียกม่อไคไหลมาพบ กำชับเรื่องทั้งหมด และให้เขาไปที่ไปรษณีย์ ส่งจดหมายให้พี่ใหญ่ทันที