บทที่ 20 เดินทาง (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“คุณชายเซิ่งแอบเรียนวรยุทธ์ด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก กระดูกยังนับว่าแข็งแรงอยู่”

ลุงจ้าวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ตอนแรกข้าก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคุณชายเซิ่งจะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้ คนเลวสองคนนั่นเป็นสองยอดฝีมือที่ข้าเคยไล่ล่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน คิดไม่ถึงหลายปีให้หลังกลับมาตายด้วยฝีมือคุณชายเซิ่ง”

เขาได้เห็นบาดแผลแล้วแล้ว ทั้งสองคนตายด้วยฝ่ามือทำลายใจ

เพียงไม่ทราบว่าคุณชายเซิ่งฝึกฝนฝ่ามือทำลายใจสำเร็จตอนไหน และมีพลังมากขนาดไหน

สุดท้ายแล้ว ถึงอย่างไรฝีมือนี้ก็เป็นแค่เพียงพื้นผิว มองไม่เห็นเบาะแสอันใด”

“อย่างนี้ประเสริฐสุด” ลู่เฉวียนอันพยักหน้า “ไม่เป็นไร รักษาเขาให้ดี ให้เขาพักผ่อนให้มาก จะได้ไปฝึกฝนวรยุทธ์ที่เมืองเลียบคีรีต่อ”

“วิชาฝีมือของเสี่ยวเซิ่ง ไม่ใช่การฝึกฝนวรยุทธ์เป็นงานอดิเรกแล้ว ตอนนี้ถึงขั้นลุ่มหลง ไม่มีวิธีฝึกฝนได้เร็วและดีกว่าแล้วนี้ เช่นนี้ก็ดี เสี่ยวเซิ่งได้ยินก็คงยินดี”

มารดารองกล่าวเสียงอ่อนโยน

“เอาล่ะๆ ครั้งนี้ตื่นตูมไปเอง ทุกคนแยกย้ายได้แล้ว เสี่ยวชิงกลับไปสำนึกตัวให้ดี ช่วงนี้อย่าได้ออกไปเพ่นพ่าน อยู่แต่เพียงในบ้าน!” ลู่เฉวียนอันสั่งห้าม

“เจ้าค่ะ…” ลู่ชิงชิงครั้งนี้ตกใจไม่น้อย ถ้าหากพี่ใหญ่มาช้าไปก้าวหนึ่ง นางคงจบสิ้นจริงๆ แล้ว

นางจำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นฟูจิตใจเช่นกัน

เรื่องของลู่ชิงชิงแพร่สะพัดไปทั่วคฤหาสน์ลู่ ถึงขั้นกระจายไปยังตระกูลอื่นๆ ในเมืองเก้าประสานด้วย

เรื่องที่ลู่เซิ่งลุ่มหลงในการฝึกวรยุทธ์ก็แพร่กระจายไปด้วยเช่นกัน

สมัยนี้ คนที่รู้จักพี่น้องดาบปีศาจมีน้อยยิ่ง แต่ผู้คนล้วนทราบว่า ลู่เซิ่งกับน้องสาวลงมือจับผู้ร้ายที่ร้ายกาจมากตามประกาศจับ ว่ากันว่ายังสังหารไปด้วยหลายคน

เรื่องนี้พอกระจายออกไป ชื่อเสียงของลู่เซิ่งก็โด่งดังขึ้นมา

สายตาที่มองลู่เซิ่งของคนในตระกูลต่างจากก่อนหน้านี้แล้ว

นี่คือคนที่ฆ่าผู้ร้ายที่ร้ายกาจตามประกาศจับ!

ทุกครั้งที่เห็นลู่เซิ่ง ทุกคนล้วนยำเกรงในใจ

ถึงอย่างไรคนที่ถูกประกาศจับแต่จับไม่ได้ ผู้ใดก็ไม่มีความสามารถไปจัดการได้

“นี่ปกติยิ่ง” ลู่ชิงชิงนั่งอยู่ในห้องของลู่เซิ่ง แกว่งสองขา มือถือผิงกั่ว(แอปเปิ้ล)พลางกัดกิน

เป็นเพราะผลกระทบที่เกือบเสียตัวก่อนหน้า ตอนนี้นางไม่วิ่งไปด้านนอกทั้งวันแล้ว

แต่ว่ามักมาที่ห้องของลู่เซิ่ง พยายามโน้มน้าวให้เขาไปตรวจสอบคดีตระกูลสวีด้วยกัน

“ในคฤหาสน์ลู่ตอนนี้ นอกจากพี่ใหญ่กับท่านอาจารย์สอนวรยุทธ์สองสามท่านอย่างเช่นลุงจ้าวกับผู้คุ้มกันบางคน คนอื่นๆในคฤหาสน์ช่างน่าสงสาร เกรงว่ามีน้อยคนมากที่จะเคยเห็นเลือด

คนเหล่านี้เมื่อก่อนก็มองข้าเป็นเช่นนี้”

นางยึดถือเป็นเรื่องปกติแล้ว

“จะว่าไป ถ้าหากว่าพวกอาจารย์กับศิษย์พี่รู้ว่าข้ามีพี่ใหญ่ที่เก่งกาจเช่นท่าน ไม่ทราบว่าจะมีสีหน้าแบบไหน คิดดูก็น่าสนุกแล้ว!”

ลู่ชิงชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ลู่เซิ่งถือพู่กัน กำลังฝึกฝนการคัดลายมืออยู่

“คดีของพี่ใหญ่สวีต้องตรวจสอบแน่ และจำเป็นต้องตรวจสอบ! เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้”

เขากล่าวเสียงทุ้ม

“พี่ใหญ่สวี… ตายน่าอนาถยิ่ง!” พอคิดถึงเรื่องนี้ ขอบตาของลู่ชิงชิงก็แดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย

“วางใจ จะช้าหรือเร็ว ข้าจะตรวจสอบจนทำให้น้ำลดตอผุดให้ได้” ลู่เซิ่งวางพู่กัน มองอักษรคำว่าอดทนตัวใหญ่บนกระดาษ

การประมือกับยอดฝีมือระดับพลังปลอดโปร่งทั้งสองคนในครั้งนี้ ทำให้เขารู้ว่าขีดจำกัดของตนอยู่ที่ไหน

มือดีระดับพลังปลอดโปร่ง ทุกคนล้วนเป็นตัวละครที่เก่งกาจ มีทักษะความสามารถเฉพาะตัว เทียบกับผู้ฝึกฝนทั่วไปแล้วเก่งกว่าไม่น้อย

เขาแม้ว่าจะฝึกฝนวิชาดาบพยัคฆ์ดำกับฝ่ามือทำลายใจจนสำเร็จขั้นสูงสุดผ่านเครื่องมือปรับเปลี่ยนแล้ว แต่ไปสู้กับคนสองคนพร้อมกัน มิใช่การต่อสู้ที่ธรรมดา

ตอนที่ยอดฝีมือพลังปลอดโปร่งทั้งสองคนรุมโจมตีเขา สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่าหนึ่งบวกหนึ่งมีค่ามากกว่าสอง สมาธิต้องสิ้นเปลืองเป็นสองเท่าของการรับมือศัตรูคนเดียว

หากเพิ่มยอดฝีมือพลังปลอดโปร่งที่สอดประสานกันดีเข้ามาอีกคน เขาคงจบสิ้นแล้ว

ลู่เซิ่งคิดอ่านในใจ

ครั้งนี้เขาชนะ แต่ก็ชนะแบบหวุดหวิด สุดท้ายแม้แต่ดาบก็ถูกฟันหัก บนร่างยังได้รับบาดเจ็บหลายที่

‘ยังอ่อนแอเกินไป…ในคดีตระกูลสวี ยอดฝีมือระดับพลังปลอดโปร่งในกลุ่มผู้คุ้มกันก็มีสี่คนแล้ว! บวกกับข้ารับใช้อีกมากมายปานนั้น หากต้องสังหารคนทั้งหมดอย่างไร้สุ้มเสียงในคืนเดียว ความสามารถเช่นนี้… แค่คิดก็ทำให้คนรู้สึกหนาวแล้ว’

คิดถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็รู้สึกว่าการเตรียมตัวที่ตนทำยังห่างไกล

เขาจำเป็นต้องมีพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ วรยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่านี้!

“พี่ใหญ่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ให้ข้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนไหม”

ลู่ชิงชิงโบกมืออยู่หน้าลู่เซิ่ง ในดวงตามีแววคาดหวัง

นับตั้งแต่ถูกช่วยเมื่อครั้งก่อน นางก็คล้ายเปลี่ยนเป็นคนละคน ใจเย็นกว่าก่อนหน้านี้มาก อ่อนโยนลงไม่น้อย กลายเป็นกุลสตรีมากขึ้น

“ชิงชิง เจ้ารู้จักกำลังภายในไหม”

ลู่เซิ่งไม่ตอบนาง กลับถามแทน

“กำลังภายใน… ข้าเคยได้ยินอาจารย์พูดถึง” ลู่ชิงชิงพยักหน้า “ยอดฝีมือกำลังภายในแตกต่างกับพวกเราที่ฝึกกำลังภายนอก ใช้เวลามากกว่า ช้ากว่า ปกติไม่ต่ำกว่าสามปีห้าปี เมื่อนำออกมาใช้ก็ไม่ต่างกับคนทั่วไป

“พี่ใหญ่ท่านถามทำไม?”

“อาจารย์ของเจ้ารู้จักยอดฝีมือที่เป็นกำลังภายในหรือไม่” เมื่อหาตวนมู่หว่านไม่เจอ ลู่เซิ่งจึงวางแผนว่าจะหาจากปากของลู่ชิงชิง

“รู้จักกลับรู้จักอยู่ อาจารย์มีสหายสนิทสองคน ต่างเป็นนักพรตที่ฝึกฝนวิชาปราณหล่อเลี้ยงชีวิต” ลู่ชิงชิงตอบ

“วิชาปราณหล่อเลี้ยงชีวิต… มียอดฝีมือที่ใช้กำลังภายในมาสู้กับศัตรูโดยเฉพาะหรือไม่”

“นี่… ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

คำตอบของลู่ชิงชิงทำให้ลู่เซิ่งผิดหวัง

แต่ก็อยู่ในความคาดหมาย

แม้แต่ตวนมู่หว่านที่ลึกลับก็นำวิชาปราณหล่อเลี้ยงชีวิตมาได้สองสามเล่ม อาจารย์ของลู่ชิงชิงเป็นแค่ยอดฝีมือกำลังภายนอกที่มีชื่อเสียงนิดหน่อย ความเป็นไปได้ที่จะรู้จักยอดฝีมือกำลังภายในมีไม่มากนัก

“เป็นไร พี่ใหญ่คิดฝึกกำลังภายในหรือ ฟังว่าสิ่งนั้นลี้ลับยิ่ง ทั้งใช้เวลายาวนาน กระบวนการฝึกฝนยังซับซ้อนอันตราย อานุภาพไม่มาก ไหนเลยจะเห็นผลเร็วและสู้ได้ดีเท่ากับกำลังภายนอก ฝึกไปทำอะไรได้” ลู่ชิงชิงไม่เข้าใจ

“ข้ามีความคิดของข้าเอง”

ลู่เซิ่งคำนวณในใจ

เขาคิดไปเมืองเลียบคีรีจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขายังไม่อาจออกห่างจากเมืองเก้าประสาน

ครอบครัวในโลกนี้ดีกับเขายิ่ง ท่านพ่อ มารดารอง ลุงจ้าว ยังมีคนอื่นๆ ล้วนไม่เลว

เขาไม่อยากให้เกิดเหตุ พอตัวเองไป ที่บ้านก็เกิดเรื่องขึ้น

หนำซ้ำยุคสมัยนี้ในโลกใบนี้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เขาคนเดียวจะหลบไปที่ใดได้

ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่า ลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดาให้เขาไปที่เมืองเลียบคีรี เพื่อที่จะหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง

‘ลมฝนตั้งเค้าแล้ว…’ เขาถอนใจยาว มองลู่ชิงชิงน้องรองที่ไม่รู้เรื่องอะไร จิตใจพลันหนักอึ้ง

‘ถ้าเราไปจริงๆ อาจหลบเลี่ยงได้ชั่วคราว แต่ภายหลังไม่อาจหลบได้ทุกครั้ง สุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้า

ฉวยโอกาสที่ตอนนี้สภาพทางบ้านยังดีอยู่ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอง รีบพัฒนาฝีมือขึ้น มีพลังป้องกันตัวจึงเป็นจุดมุ่งหมายหลัก’

มันไกลเกินไปที่จะไปเมืองเลียบคีรี ลู่เซิ่งมีความคิดอีกอย่างแล้ว

ฝึกฝนทั้งกำลังภายในและกำลังภายนอก ให้กำลังภายในและกำลังภายนอกรวมกันเป็นหนึ่ง นี่จึงเป็นทิศทางที่ร้ายกาจที่สุดซึ่งเขาคิดออกได้…

เขาพลันนึกถึงคัมภีร์วิชาทมิฬพิฆาต คัมภีร์ลับที่ก่อนหน้าตนใช้เงินจำนวนมากประมูลจนได้มา

‘ถึงจะเป็นเล่มไม่สมบูรณ์ แต่ตอนนี้ในมือมีแค่คัมภีร์ลับเล่มนี้ ที่ตอนแรกไม่สนใจแล้ว’

ทางหนึ่งฟังลู่ชิงชิงพูดพร่ำถึงเรื่องน่าสนใจตอนนางกราบอาจารย์ร่ำเรียนวิชาก่อนหน้านี้ ลู่เซิ่งทางหนึ่งเริ่มนึกย้อนเส้นทางโคจรลมปราณของของวิชาทมิฬพิฆาตอยู่เงียบๆ

ก่อนหน้านี้เขาเคยฝึกวิชาทมิฬพิฆาตมารอบหนึ่ง วิชาฝึกจิตเบื้องต้นชั้นแรกยังจดจำได้

เห็นลู่เซิ่งจิตใจไม่อยู่กับตัว ลู่ชิงชิงชิงพูดจาสักครู่ ก็จากไปอย่างผิดหวัง

เสี่ยวเฉี่ยวเข้ามาในภายหลัง เติมน้ำล้างหน้าให้แก่ลู่เซิ่ง จากนั้นจึงประคองถ้วยยาเข้ามาให้เขา

ระหว่างนี้ลู่เซิ่งไม่พูดจา ทางหนึ่งจัดการเรื่องราว ทางหนึ่งย้ายความสนใจทั้งหมดไปที่แนวทางของวิชาทมิฬพิฆาต

เขาคาดเดาว่าสาเหตุที่วิชาทมิฬพิฆาตยากที่จะฝึกสำเร็จ คงเหมือนกับวิชากระเรียนหยก สมควรต้องมีภาพการโคจรลมปราณขั้นแรกสุดภาพหนึ่งหรือไม่

ภาพโคจรลมปราณของวิชากระเรียนหยกเป็นภาพกระเรียนเซียนที่กระพือปีกเตรียมบินตัวหนึ่ง

งวิชาทมิฬพิฆาตสมควรมีภาพอย่างนี้อยู่

แต่ว่าบนคัมภีร์ลับกลับไม่มี

‘ภาพนี้เหมือนกับโครงสร้างหลักโครงหนึ่ง เป็นการปรับเปลี่ยนรวบรวมเส้นสายการโคจรของลมปราณภายในร่าง’

น่าเสียดายตำราในวิชากำลังภายใน ในมือของเขามีน้อยเกินไป ไม่อาจค้นคว้าอย่างเป็นระบบได้

จึงทำได้เพียงรวบรวมสมาธิฝึกฝนวิชาทมิฬพิฆาตเช่นนี้ พร้อมกับรักษาอาการบาดเจ็บไปด้วย

พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายวัน

ในเมืองเก้าประสานปรากฏเรื่องประหลาดขึ้นอีกครั้ง

มีคนพบรอยขีดเขียนที่เด็กน้อยวาดบนกำแพงรอบลานบ้านแห่งหนึ่งในบริเวณชานเมือง

เหมือนกับใช้ถ่านวาดอย่างสะเปะสะปะบนกำแพง แต่ผู้ที่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านก็ไปตั้งใจเฝ้าดูว่าเป็นเด็กบ้านใดที่มือบอนเช่นนี้

คิดไม่ถึงว่าในตอนกลางคืน บนกำแพงจะเพิ่มรอยขีดเขียนแสนประหลาดขึ้นโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น

ไม่เห็นมีคนผ่านมาเลย

คดีล้างตระกูลของตระกูลสวี คดีโดดบ่อน้ำของหมู่บ้านตระกูลหวัง ยังมีคดีนายพรานที่หายสาบสูญ บวกกับรอยขีดเขียนที่โผล่มาอย่างน่าประหลาดนี้

เรื่องราวแบบนี้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คนทั่วเมืองเก้าประสานไปชั่วขณะ

มีคนบอกว่าได้ยินเสียงร้องอันดุร้ายในตอนกลางคืนนอกเมือง มีคนที่กล้าไปดู บนพื้นเหมือนจะมีร่องรอยที่สัตว์ร้ายเหลือไว้หลังต่อสู้กัน แถมยังมีรอยเลือดหลงเหลืออยู่ด้วย

ทางที่ว่าการข้าหลวงส่งคำสั่งลงมาอีก ให้ยกเลิกคำร้องขอการช่วยเหลือตามหาคน

เช้าตรู่วันหนึ่ง ลู่เฉวียนอันกับประมุขตระกูลสามตระกูลที่เหลือถูกเรียกไปประชุมในที่ว่าการข้าหลวง

หลังจากกลับมา สีหน้าของเขาดูไม่ดียิ่ง

ลู่เซิ่งเข้าไปถาม เขาก็ไม่พูด เพียงบอกว่าเกิดความขัดแย้งกับข้าหลวง ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว

ต่อจากนั้นลู่เฉวียนอันก็เชิญลู่อันผิง ลุงใหญ่ของลู่เซิ่ง ที่เป็นทหาร รับตำแหน่งรองผู้บัญชาการรักษาการณ์มาพบ

หลายปีมานี้ ที่ตระกูลลู่ยืนหยัดมั่นคง ย่อมมิใช่มีแค่ความเกี่ยวข้องของลู่เฉวียนอันเพียงคนเดียว ลุงใหญ่ลู่อันผิงก็เป็นเสาหลักเสาหนึ่งที่คอยประคับประคองขึ้นมาเช่นกัน

ทั้งสองคนปิดประตูอยู่ในห้องหนังสือเป็นเวลานาน ค่อยเปิดประตูออกมา

ภายหลังมีคนเห็นลุงใหญ่ออกจากคฤหาสลู่อย่างเร่งรีบ

ลู่เซิ่งที่พักผ่อนรักษาตัวภายในห้องของตัวเอง ได้ทราบสถานการณ์จากที่ว่าการข้าหลวงอย่างต่อเนื่องผ่านลู่ชิงชิงกับเสี่ยวเฉี่ยว และยังมีจากพวกมารดารอง มารดาห้า และพวกลู่อิงอิง ลุงจ้าว ที่มาเยี่ยมเขาบ่อยๆ อีกด้วย

เมืองเก้าประสานเมืองเก้าประสานนอกคฤหาสน์จวนลู่ ในยามนี้ มอบความรู้สึกยิ่งมายิ่งเหมือนวิมีกฤติการณ์ล้อมรอบอยู่ทั้งสี่ด้านให้แก่ลู่เซิ่ง

ลุงจ้าวส่งคนมาบอกว่าพบร่องรอยของเสี่ยวปาแล้ว เขาสิ้นสติอยู่ในห้องบนถนนเส้นหนึ่ง รอตอนคนไปพบเขา พบว่าเขาหิวโหยจนผ่ายผอมแล้ว

“เสี่ยวปาหรือ เขาได้บอกไหมว่าไปเจออะไร ไฉนคนคนหนึ่งถึงติดอยู่ในห้องนั้น”

ลู่เซิ่งถาม

ผู้ที่มาถ่ายทอดคำพูดเป็นผู้คุ้มกันคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกน้องของลุงจ้าว เขาส่ายหน้าตอบ

“เขาไม่ได้พูดอะไรเลย เอาแต่พูดซ้ำๆว่า วันนั้นเขาวิ่งหนีไปสุดชีวิต พอไปถึงถนนเส้นนั้น หลังจากเข้าไปได้ไม่นาน ก็พลันสลบล้มลงกับพื้น รอจนฟื้นขึ้นมา ก็เป็นตอนที่เห็นพวกเราแล้ว”

ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว

“คำพูดนี้เป็นความจริงหรือ”

“เป็นความจริง ลุงจ้าวตรวจสอบหลายด้านแล้ว เหมือนที่เสี่ยวปาบอกมา”

“นี่แปลกประหลาดไปแล้ว…”

ลู่เซิ่งส่ายหน้า

“เจ้าออกไปก่อน”

“ขอรับ”

คนคุ้มกันออกไปอย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งเดินกลับไปกลับมาในลานน้อยที่ปากประตูห้องหลายก้าว

อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมาพอประมาณแต่แรกแล้ว เพียงแต่พยายามฝึกฝนวิชาทมิฬพิฆาตอยู่ รอความรู้สึกรับรู้ถึงปราณมาโดยตลอด

ขอแค่ให้มีความรู้สึกถึงลมปราณสายหนึ่ง เขาจะเพิ่มระดับกำลังภายในได้อย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องให้วิชาทมิฬพิฆาตกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังของตัวเองอย่างแท้จริง

ในตอนนี้เอง ลู่เฉวียนอันพลันรีบร้อนพาข้ารับใช้สองคนเข้ามาในตัวลาน

“เซิ่งเอ๋อร์ ใกล้ฟื้นตัวแล้ว วันนี้ออกเดินทางได้กระมัง”

ลู่เฉวียนอันมีสีหน้าอ่อนโยนสงบนิ่ง ในมือถือห่อผ้าแพรสีดำใบหนึ่ง แสดงว่าเป็นค่าเดินทางที่เตรียมไว่ให้ลู่เซิ่ง

………………………………………….