บทที่ 27 ด่านสาม

“กัวเหลียง ทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย รีบๆพาเฉินเฉียงไปสนามสอบที่สามได้แล้ว”

ผอ.ได้ตะโกนผ่านกำไรสื่อสารในทันที และนี่ทำให้หลู่กังเฟิงและฮู่ดาไฮ่นั้นขยับก้นออกจากที่นั่งแทบจะพร้อมกัน

รองผอ.ได้เหลือบตาไปมองในทันที ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าบอกนะว่าท่านอาจารย์ทั้งสองจะขัดคำสั่งน่ะ”

“ใครที่คัดคำสั่งกัน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ข้ากับเฒ่าฮู่แน่นอน”

“พวกเรานั่งที่นี่อยู่นานแล้วจนเหน็บจะกินขาก็เลยคิดว่าจะออกไปยืดเส้นยืดสายสักหน่อย”

“ใช่ เฒ่าฮู่พูดได้ถูกต้องแล้ว พวกเราก็แค่แก่แล้วจนแข็งขาไม่ค่อยดีเท่านั้นเอง” “อีกอย่าง นั่งรออยู่นานแล้วมันง่วงเฉยๆก็เท่านั้น”

“รองผอ.ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นไป ข้ากับเฒ่าฮู่แค่ออกไปยืดเส้นยืดสายก็เท่านั้น เดี๋ยวเราก็กลับมา”

เมื่อพูดจบ ผู้เฒ่าทั้งสองต่างสบตากันก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกไปราวกับจะประชันขันแข่ง

“ไอ้เฒ่าระยำ รอด้วยโว้ยย”

อาจารย์คนที่เหลือในตอนนี้ต่างก็มองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไรออกมา มีเพียงผอ.เท่านั้นที่ชี้ตามไปอย่างเป็นกังวล

“รองผอ.คิดว่ายังไง”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ต่อให้สองคนนั้นจะอยากได้ลูกศิษย์ขนาดไหนก็ตามแต่ก็ไม่แหกกฎที่ตั้งกันขึ้นมาเองอย่างแน่นอน”

หลังจากได้ยินเสียงคำรามลั่นของผอ.ไปเมื่อครู่นี้ก็ทำให้ศิษย์พี่กัวนั้นรีบวิ่งไปทางจุดที่เฉินเฉียงอยู่ในทันที

เมื่อให้ศิษย์พี่กัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เฉินเฉียงเองก็ค่อยๆยิ้มกว้างขึ้นตามไปด้วยราวกับรอคอยสมบัติกลิ้งเข้ามาหายังไงอย่างนั้น

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าคะแนนห้าพันแต้มนี้จะมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่จะคำพูดที่คนในวงพนันพูดกันก่อนหน้านี้ทำให้เขาเชื่อได้ว่าต้องมากพอดูอย่างแน่นอน

ไม่สิ เขาจะมารีบพอใจแบบนี้ไม่ได้

สิ่งที่เขาต้องการใจตอนนี้มีเพียงแก่นคริสตัลเท่านั้น ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ดี ถ้าเขาไม่ได้พวกมันมาเยอะๆแล้วเขาจะเพิ่มค่าพลังงานได้ยังไงกัน

แล้วหากว่าเขาไม่เพิ่มค่าพลังงาน เขาเองก็คงจะแข็งแกร่งไม่ได้ ถ้าเขาแข็งแกร่งไม่ได้ แล้วจะไปคว้าตราแห่งกองทัพเทียนเว่ยได้ยังไงกัน

เพื่อการนั้น เขาจะต้องโลภไปให้หมดให้ถึงแก่น

เมื่อเทียบกับใบหน้าของเฉินเฉียงในตอนนี้แล้วนี่ทำให้ใบหน้าของศิษย์พี่กัวนั้นดูดีกว่าเล็กน้อย นี่คือใบหน้าที่ราวกับว่ากำลังโดนใครลงแส้แล้วบังคับเขาให้ไปเผชิญหน้าของเฉินเฉียง

“น้องชายเฉิน พวกเรายังต้องไปด่านการทดสอบสุดท้ายอยู่อีก เจ้าแน่ใจว่าจะทดสอบจริงๆใช่รึเปล่า”

เฉินเฉียงยกคิ้วขึ้นมาในทันทีก่อนที่จะพูดออกไปอยางมั่นใจ “แน่นอนว่าข้าต้องลอง แต่เหนือสิ่งอื่นใด ศิษย์พี่กัว เรื่องคะแนนพนันห้าพันแต้มนั่น…”

ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้พูดจบลง ศิษย์พี่กัวได้รีบดึงแขนของเฉินเฉียงเข้ามาก่อนจะกระซิบกระซาบใกล้ๆ “น้องชาย เห็นแกจางหยวนแล้วกัน จะดีกว่าถ้านายไม่เข้าร่วมการสอบสุดท้าย ไม่อย่างนั้นนายอาจต้องเสียชีวิตก็ได้”

“โอ้ งั้นรึ” เฉินเฉียงตอบรับและพูดออกไปต่อ ศิษย์พี่กัว แต้มคะแนนห้าพันนั่น…“

“น้องชาย หากนับตามกฎแล้วด่านที่สามนี้จะไม่อนุญาตให้ศิษย์ปัจจุบันยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่เห็นแกว่าเจ้าละข้านั้นถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็นจนน่าคบหา งั้นข้าจะช่วยเหลือสักหน่อย”

ในทันทีที่ศิษย์พี่กัวพูดออกมานั้น เสียงดังปานสายฟ้าก็ได้ดังขึ้นในหูของเขาทันที “ถ้าเจ้ากล้าเปิดเผยเนื้อหาการสอบแม้เพียงน้อยนิด เจ้าเตรียมออกไปจากสำนักเต่าดำโดยไม่ต้องเก็บของได้เลย”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ศิษย์พี่กัวในตอนนี้ราวกับโดนต่อยด้วยหมัดที่หนักอึ้งจนเหงื่อเริ่มไหลออกมาทั่วทั้งร่าง นี่ทำให้เขานั้นไม่อาจจะพูดอะไรเกี่ยวกับการสอบที่สามได้อีก

“ศิษย์พี่กัว เป็นอะไรไหมนั่น”

ด้วยการที่ทั้งสองนั้นอยู่ไม่ห่างกันเลยสักนิด แต่เฉินเฉียงนั้นกลับไม่ได้ยินเสียงนี้เลยแม้แต่น้อย ที่เขาเห็นนั้นก็เพียงแค่ท่าทางของศิษย์พี่กัวที่อยู่ๆก็เหมือนจะใจแป้วขึ้นมาเท่านั้น

ดูเหมือนว่าจะมีลับลมคมในในสิ่งที่ศิษย์พี่คนนี้ต้องการจะกลับคำพูด

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงย่อมไม่ยินดีที่จะให้เขานั้นถอยกลับ

ถึงแม้ว่าศิษย์พี่กัวผู้นี้จะมีระดับขั้นเป็นนายพลวิญญาณก็ตาม แต่เพื่อแก่นคริสตัลแล้ว ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตกับศิษย์พี่กัวล่ะก็ เขาก็ยินดี

ศิษย์พี่กัวในตอนนี้หันหน้าออกไปในทันที ทำราวกับว่าเขาแค่เดินไปเฉียดเฉินเฉียงเท่านั้น และในทันทีที่เห็นสีหน้าและแววตาของเฉินเฉียงนั้น เขาก็พูดออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“น้องเฉินเฉียง เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ตราบใดที่เจ้าผ่านด่านสาม ข้าจะมอบคะแนนให้เจ้าห้าพันแต้ม”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฉียงได้เลิกจ้องไปยังศิษย์พี่กัวก่อนที่จะหันไปและเดินไปหยุดที่หน้าประตูเหล็กบานหนึ่ง

“น้องชายเฉินเฉียง นี่คือด่านทดสอบที่สาม เปิดประตูนั้นเขาไปและอยู่ข้างในให้ได้ห้านาที หากเจ้ารอดออกมาได้ก็ถือว่าสอบผ่านแล้ว โชคดี”

“เอ่ออ…ศิษย์พี่กัว..”

เฉินเฉียงได้หันหลังกลับไปเพื่อจะถามอะไรบางอย่าง แต่เมื่อหันกลับมานั้นก็พบว่าเขาวิ่งออกไปไกลแล้ว

….จะไกลเกินไปไหมนั่น

เฉินเฉียงทำได้เพียงละสายตามาก่อนที่จะหันมาสนใจประตูที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เขามีท่าทีนิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป

ทันทีที่เขาเดินเข้าไป ประตูเหล็กก็ได้ปิดลงจากข้างในทันที

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง

เฉินเฉียงในตอนนี้ตื่นตระหนกและพยายามที่จะเปิดประตู แต่ไม่ว่ายังไงก็เปิดไม่ออก

เสียงคำราม

ฮูมมมมม

เสียงคำรามของสัตว์บางอย่างดังลอยมาในอากาศ เฉินเฉียงได้หันไปมองก็ได้เห็นสัตว์ประหลาดนับร้อย บ้างเล็กบ้างใหญ่เปิดปากกว่าพุ่งตรงมาที่เขา

พื้นที่แห่งนี้มีพื้นที่ประมาณพันเมตร และไม่มีที่ให้หลบซ่อนแต่อย่างใด

และนี่เองทำให้เขานั้นเข้าใจในสิ่งที่ศิษย์พี่กัวต้องการจะสื่อในที่สุด

เขารีบประเมินดูก็พบว่าส่วนใหญ่แล้วสัตว์ประหลาดเหล่านี้อยู่ในระดับทหารขั้นกลาง มีเพียงบางตัวเท่านั้นที่อยู่ในขั้นสูง

เมื่อเฉินเฉียงที่ในตอนนี้มีสายเลือดอยู่ในระดับทหารขั้นกลางแล้ว การที่อยู่ต้องเผชิญหน้าแบบนี้ยังไม่มีกล้าที่จะหยิบอาวุธออกมาด้วยซ้ำ

การที่จะให้อยู่ได้ห้านาทีนั้นไม่ได้ต่างจากสั่งให้รีบๆตายไปในห้านาทีเลยทีเดียว

เขาไม่มีเวลาให้คิดแค่อย่างใด ในเมื่อไม่มีทางหลบและหลีกหนี เขาคงหวังพึ่งได้เพียงทักษะไร้ตัวตนเท่านั้น

เพียงชั่วพริบตา พลังงานชีวิตในร่างกายของเขานั้นตกอยู่ในสภาพเกือบตายในทันที แม้แต่พลังสายเลือดของเขาเองก็ยังเกือบจะลดต่ำถึงขีดสุด

ในขณะเดียวกัน เขาใช้การตรวจจับด้วยเสียง

ที่เข้ามาหาเขาเป็นตัวแรกนั้นก็คือหมีดำที่มีขนาดสูงกว่าสองเมตร

หมีดำตัวนี้กะดูคร่าวๆน่าจะมีน้ำหนักเกือบๆสองตัน ทุกๆการก้าววิ่งของมันนั้นบังเกิดเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

เมื่อมันได้วิ่งเข้ามาหาเฉินเฉียงจนถึงระยะ 55 เมตรแล้ว อยู่ๆมันก็ค่อยเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ช้าลง มันหันรีหันขวางเราวกับพยายามจะหาเฉินเฉียงทั้งๆที่เขานั้นยังคงอยู่ตรงหน้า

ภายใต้ทักษะไร้ตัวตนนี้ ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิต ความแข็งแกร่ง พลังกายเลือดและพลังวิญญาณ ล้วนแล้วลดต่ำลงจนถึงขีดสุด นี่ทำให้คนที่ใช้ทักษะนี้ราวกับไร้ตัวตนอยู่ในโลกนี้

ในขณะเดียวกัน สัตว์ประหลาดตัวอื่นเองก็หยุดฝีเท้าด้วยเช่นกัน พวกมันมองไปมาอย่างสับสน ทำแม้แต่การหันไปข่วนพื้นที่โดยรอบ และนี่เองทำให้สภาพโดยรอบนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุดนิ่ง

ถึงจะเห็นเป็นแบบนั้น เฉินเฉียงนั้นก็ยังไม่กล้าที่จะนิ่งนอนใจเลยแม้แต่น้อย เขาพยายามคงสภาพของเขาเอาไว้ไม่ว่าจะประหม่าแค่ไหนก็ตาม

ในพื้นที่ห้ามเข้าพื้นที่หนึ่ง ฮู่ดาไฮ่และหลู่กังเฟิงเองก็ถึงกับต้องหวั่นไหวเมื่อได้เห็นฉากนี้จนเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ พวกเขานั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้กุมมือของกันและกันอยู่เลยด้วยซ้ำ

“ผู้อาวุโสฮู่ เจ้าคิดเหรอว่ามันแปลกน่ะ ทำไม่ไอ้พวกตะกละนั่นอยู่ๆถึงทำตัวเป็นลูกแมวไปได้กัน

“นี่พวกมันไม่เห็นเฉินเฉียงเลยเหรอ””

“หลู่กังเฟิงเอ๋ย ลูกศิษย์ของข้านั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน”

“เฉินเฉียงเป็นคนดี”

“เขาอาจจะชนะใจสัตว์ประหลาดพวกนี้ได้โดยความรู้สึกที่เป็นมิตรที่สุดจะยากหยั่งถึงก็ได้นะ”

หลู่กังเฟิงที่ได้ยินถึงกับเหลือกตามองบนทำให้ฮู่ดาไฮ่เงียบปากลงไป

“หากเขาสามารถทนอยู่ได้ห้านาทีก็ถือได้ว่าผ่านด่านแล้ว”

หลู่กังเฟยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ฮู่ดาไฮ่นั้นติ้นเต้นจนพูดออกมาไม่หยุด และนี่เองทำให้มือของเขาและหลู่กังเฟิงที่ยังจับด้วยกันอยู่นั้นบีบแน่นขึ้น

หลู่กังเฟิงได้ก้มลงไปดูมือของตนในตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขานั้นไม่อาจจะแข่งกับฮู่ดาไฮ่ในเรื่องแรงได้ เขาจึงปล่อยให้มืออันใหญ่ยักษ์บีบมือของเขาแน่นไปแบบนั้น ก่อนที่จะหันไปมองยังทิศทางที่เฉินเฉียงอยู่

ห้านาทีผ่านไป

ทางชายแก่ได้มองหน้ากันอย่างประหลาดใจก่อนที่จะพูดออกมาแทบจะพร้อมกันว่า “เฉินเฉียงผ่านแล้ว”

“…หลู่กังเฟิง นี่เจ้าจับมือข้าตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย”

“ไม่แปลกเลยจริงๆที่แก่มาจนป่านนี้แล้วแกยังไม่มีเมีย ที่แท้แกก็ชอบไม้ป่าเดียวกันสินะ”

“น่าขยะแขยงวุ้ย ข้าล่ะตาถั่วไปจริงๆ ไม่คิดว่าคนอย่างเจ้านี่จะชอบผู้ชายมาก่อนเลยสักนิด”

“หนอยยยยไอ้แก่นี่ อย่ามาพูดจาไร้สาระนะโว้ย เป็นเจ้าต่างหากที่มาบีบมือข้าไม่ยอมปล่อยนะ มาตอนนี้ยังกล้าที่จะกล่าวหาข้าอีก”

“ผิดรึไงที่ข้าไม่มีเมียเนี่ย ดีกว่าเจ้าแล้วกัน กว่าจะแต่งได้ก็ยังยาก พอแต่งแล้วเมียยังหนีไปอีก”

เมื่อเห็นว่าฮู่ดาไฮ่เริ่มพูดจาหาเรื่องไปทั่วแล้ว หลู่กังเฟิงก็ไม่ได้คิดจะต่อความยาวสาวความยืดแต่อย่างใด กลับกัน เขาพุ่งไปยังทิศทางของเฉินเฉียงในทันที

“หลู่กังเฟิง นี่เจ้าคิดจะแย่งลูกศิษย์ข้างั้นเหรอ ไม่มีทาง หยุดเดี๋ยวนี้นะโว้ย”