ตอนที่ 469 บุรุษนับหมื่นจนหนทางไปต่อ

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

วิสัยทัศน์เบื้องหน้าราชครูสันตินิรันดร์พลันแปรเปลี่ยนไป เมื่อแสงสว่างกลับมา พวกเขาก็ได้เข้าไปในปราสาทสวรรค์ พวกมันยิ่งใหญ่อลังการ และภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ทอดตัวออกไปในที่ไกลๆ แสงเทวะสาดส่องลงในโลกอันไร้ขอบเขต

“นี่คือโลกในภาพวาดหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์แตกตื่นอย่างสุดขีด หากว่าพวกเขาอยู่ในโลกในภาพวาดจริงๆ นี่มันไม่กว้างใหญ่ไพศาลไปหน่อยหรือ

เขามองไปยังที่ไกลๆ แต่หมู่ปราสาทสวรรค์อันสลับซับซ้อนเหล่านั้น มีมากมายอย่างสุดลูกหูลูกตา!

บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยทวยเทพ บ้างก็น่าเกรงขาม บ้างก็สูงส่งศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็เลิศล้ำเหนือโลก แต่ทว่าเทพส่วนใหญ่เดินไปๆ มาๆ ตามหาและเรียกขานสหายของพวกเขา พลางแลกเปลี่ยนกันชนจอกสุราและร่วมวงดื่มกันเป็นกลุ่มใหญ่

ฉินมู่ได้นำราชครูเข้าไปในภาพวาด และเข้าไปในงานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์ มีโถงทางเดินยาวรอบๆ ตัวพวกเขาอันดูราวกับสะพานยาวเหยียด รุ้งเหินหาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ลอยอยู่เหนือเก๋งศาลา และโคมไฟอันมีปักษาเทวะอัคคีข้างในก็ทำประหนึ่งเป็นเทียนไขที่ส่องสว่างและให้ความอบอุ่น

และยังมีเทพธิดาที่กำลังเล่นเครื่องสายและเครื่องเป่าอันวิลิศมาหรา สตรีบางนางก็กำลังร่ายรำอยู่บนใบบัว ขณะที่ฝนมาลาสวรรค์โปรยปรายลงมารอบๆ กายพวกนาง

เทพบางพวกที่กำลังเมามายก็เซไปซ้ายขวา ยกไหสุราของพวกเขาขึ้นพลางกระเซ้าเย้าเทพนารีที่หลบเลี่ยงพวกเขาด้วยความอาย

ราชครูสันตินิรันดร์ละลานตาจนเกินกว่าจะมองอะไรจนครบถ้วน พวกเขาอยู่ที่ใจกลางงานเลี้ยง อันมีเทพเจ้านับไม่ถ้วนอยู่รอบๆ ในที่ห่างไกล แสงสว่างจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ฉายส่องมา

ภูติบดีอยู่ไม่ห่างไกลจากพวกเขา และบนหัวของเขานั้นคือเขาที่มีเก้าบิด เขานั่งนิ่งไม่ไหวติงโดยมีเพลิงไฟโหมไหม้เป็นรัศมีรอบกายราวกับนรกภูมิ

ยังมีตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวอย่างมหันต์อยู่สูงขึ้นไปอีก ใบหน้าของพวกเขารางเลือน แต่ความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามที่พวกเขาเปล่งออกมานั้นมิใช่เรื่องเล็กน้อย

“ราชครู ตอนนี้เจ้าเหมือนบ้านนอกเข้าเมืองไม่มีผิด เหมือนกับข้าตอนที่เข้าเมืองเขตมังกรเป็นครั้งแรกเลย!”

ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และพลันฉวยไหสุราออกมาจากเทพนารีนางหนึ่งข้างๆ เขา เขายกมันขึ้นมากรอกใส่ปากของตนจนสาแก่ใจ

เทพนารีนั้นโกรธเกรี้ยวขึ้นมาและตะโกนออกไป “เด็กต่ำช้านี่มาจากที่ไหน นี่คือสุราศักดิ์สิทธิ์สำหรับเทพสูงส่ง เจ้าจะมาแตะต้องได้หรือ”

“หญิงน่ารำคาญ!”

ฉินมู่ง้างเท้าเตะเทพนารีนั้นออกไป เขาคว้าเอาไหสุราอีกไหที่กระเด็นขึ้นมาจากถาด และยัดใส่มือของราชครูสันตินิรันดร์ จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะหยกตรงหน้าเทพเจ้าอันลอยอยู่สูงส่งขึ้นไป พลางดื่มมันจนสมใจ

เทพเจ้านั้นเดือดดาลและเงื้อฝ่ามือขึ้นฟาดตบเขา แต่ฉินมู่ยกมือเขาขึ้นมาและชักกระบี่ออกมาตัดแขนของอีกฝ่าย

เขาหัวร่อด้วยเสียงอันดัง คว่ำโต๊ะหยกให้ระเนระนาดพลางตะโกน “บทกวีตะวันและจันทรา พร้อมด้วยสุราของผู้อมตะ วีรบุรุษจากแดนไกล เหาะเหินขึ้นไปสวรรค์ชั้นเก้า!”

ฉึก!

ศีรษะของเทพสูงส่งนั้นถูกบั่นออก และฉินมู่ก็บุกเข้าไปในอีกโถง สร้างความโกลาหลขึ้นบนสรวงสวรรค์ เทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนโกรธเกรี้ยวและโจมตีเขา แสงกระบี่พุ่งวูบวาบในมือของฉินมู่ และเขาต่อสู้กับเทพสูงส่งทั้งหลาย เขาตัดศีรษะเทพยดาเหล่านั้นให้กลิ้งหลุนๆ ไปข้างกายภูตบดี

ฉินมู่แขวนห้อยศีรษะเทพไว้บนเขาของภูติบดีและหัวเราะ “เนรเทศจากเกาะเผิงไหลอันสูงส่ง แขวนเสื้อตำแหน่งไว้หน้าโถงหยกแห่งฝางจ่าง!”

ภูติบดีระเบิดโทสะ และร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม แปรเปลี่ยนเป็นร่างเทวะอันสูงเป็นร้อยวา เพลิงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งออกมาจากใต้เท้าของเขา

ฉินมู่ขับเคลื่อนไจกระบี่ของตน และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มที่พุ่งไปรอบๆ ภูติบดี พวกมันหมุนเป็นเกลียววนเพื่อเชื่อมต่อกันเป็นท่วงท่ากระบี่เกลียว อันเฉือนตัดเทพสูงส่งผู้นี้ให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฉินมู่เช็ดมือของเขา และกระบี่บินก็กวาดล้างออกไปทั่วสารทิศราวกับมังกรยาวเหยียด ความตื่นเต้นของเขาพลุ่งพล่านเมื่อเขาเข่นฆ่าและเอื้อนโคลงกลอน “พบพานมังกรยาวพันวา ยังคงแบหลาในชั้นขนหงส์ไฟ!”

เทพเจ้ามากมายโถมพุ่งเข้าใส่เขาราวกับน้ำหลากที่คุกคามหมายจะกลบกลืน

แสงเทวะสาดส่องถึงยอดฟ้า และฉินมู่ก็พุ่งออกมาจากทะเลของแขนขาที่ถูกเฉือนบั่น เขาดีดนิ้วเคาะกระบี่และขับร้อง ปลดปล่อยความนำพาทั้งหมด “บุรุษนับหมื่นจนหนทางไปต่อ ทวยเทพต้องระย่อกับพลังท้าทายสวรรค์! ราชครู ให้ข้าทุบทำลายเทพในหัวใจเจ้า!”

ราชครูสันตินิรันดร์หัวร่อฮาๆ ความระทดท้อใจเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง จิตวิญญาณแจ่มจ้าขึ้นเป็นร้อยเท่า เขากล่าวด้วยเสียงอันดัง “เทพเจ้าในหัวใจข้า ไยต้องลำบากเจ้ามาทำลายให้”

เขาก้าวเท้าออกไป ในมือแสงกระบี่วูบวาบ พละกำลังเขาเหนือล้ำกว่าฉินมู่ ไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใด ทวยเทพก็ล้มตายเป็นผักปลา

ที่ตำหนักชิดฟ้า เทพและมารจำนวนไร้ประมาณโถมพุ่งบุกโจมตีพวกเขา

ฉินมู่และราชครูสันตินิรันดร์ยืนเคียงข้างกัน เข่นฆ่าทุกผู้คนที่อยู่หน้าประตูสวรรค์

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ซากศพของเทพและมารก็ก่ายกองเต็มภูเขา กระนั้นก็ยังคงมีเทพเจ้ามากมายนับไม่ถ้วนไหลบ่ามายังพวกเขาตะโกนฆ่า ตะโกนฟัน

“พวกเรายังต้องสังหารพวกเขาอีกมากเท่าไร” ราชครูสันตินิรันดร์ถามด้วยเสียงตะโกน “ป้องกันประตูเอาไว้ ข้าจะเข้าไปสังหารจักรพรรดิสวรรค์!”

ราชครูสันตินิรันดร์พุ่งเข้าไปในตำหนักชิดฟ้า อันซากศพของเทพเจ้าเกลื่อนกล่นอยู่เต็มพื้น

ตูม!

ราชครูสันตินิรันดร์กระเด็นถอยหลัง ฟาดเข้าใส่ผนังราชวังข้างหลังฉินมู่ และเด็กหนุ่มก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ เทพเจ้ารอบๆ นั้นมีแต่อ่อนฝีมือชัดๆ ดังนั้นจิตรกรที่วาดพวกเขาย่อมต้องมีฝีมือขาดพร่อง ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ฉินมู่สามารถฆ่าล้างทวยเทพพวกนี้ได้

แต่ทว่าราชครูสันตินิรันดร์ถึงกับกระเด็นออกมาจากจักรพรรดิสวรรค์!

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และตระหนักทันทีว่าสถานการณ์ของพวกเขาย่ำแย่ จิตรกรคนนี้จะต้องประจบสอพลออย่างแน่นอน เขาใช้ฝีไม้ลายมือที่ดีที่สุดในการวาดจักรพรรดิสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งกว่าทวยเทพอื่นๆ ในภาพ

ฉินมู่กระจ่างแก่ใจว่าภาพวาดสามารถแข็งแกร่งได้มากแค่ไหน ในเมื่อเขาได้เรียนรู้มาจากเฒ่าหนวก

พลังอำนาจของภาพวาดมิได้มาจากฝีมือของจิตรกรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับว่ามันถูกทุ่มเทใช้ตรงไหนก็จะมีพลังอำนาจสูงสุดตรงนั้น

ยิ่งฝีมือเชิงวิจิตรศิลป์แข็งแกร่งมากแค่ไหน ภาพวาดก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น แน่ล่ะ นี่ก็ขึ้นกับความอุตสาหะของจิตรกรด้วย

ผู้ที่วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ได้วาดเทพและมารคนอื่นๆ อย่างไม่พิถีพิถัน ไม่ทุ่มเทความพยายามลงไปกับพวกมัน ดังนั้นพวกเทพและมารเหล่านั้นจึงไม่แข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ตัวตนระดับภูติบดีก็ยังมีฝีมืองั้นๆ

แต่ประเด็นสำคัญคือ ภาพวาดนี้มีเป้าหมายวาดใคร

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเฒ่าหนวกวาดภาพผู้ใหญ่บ้านตอนหนุ่มๆ ภาพของกระบี่เทวะแบกกระบี่ของเขากลับอันแน่นไปด้วยพลานุภาพอันน่าแตกตื่น!

เมื่อจิตรกรวาดภาพฝาผนังได้วาดจักรพรรดิสวรรค์ เขาคงจะต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมดที่จะจับเอาความสง่างามของจักรพรรดิสวรรค์ลงไปในภาพ ดังนั้นมันจึงแข็งแกร่งถึงขนาดที่เป่าราชครูสันตินิรันดร์กระเด็นกลับมา!

ฉินมู่กังวล เขาได้พาราชครูสันตินิรันดร์เข้ามาในภาพวาด เพื่อทำลายความหวาดกลัวของเขา แต่หากว่าแม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ในภาพวาด เขาก็ยังเอาชนะไม่ได้ มันอาจจะกลายเป็นทำลายความมั่นใจของเขาอย่างย่อยยับแทน!

สักครู่หนึ่ง ราชครูสันตินิรันดร์ก็กระเด็นกลับมาอีกครั้ง ฉินมู่ส่งกระบี่แปดพันเล่มของเขาก็ออกไปเพื่อฆ่าล้างทวยเทพอันโถมพุ่งเข้ามา และมองไปยังราชครูอันอยู่บนกำแพง เขาเห็นใบหน้าของราชครูทั้งบวมช้ำและเลอะเลือด

เออะ นี่มันแย่จริงๆ พลังอำนาจของจักรพรรดิสวรรค์ในภาพวาดอาจจะสูงล้ำกว่าเทพเจ้าธรรมดานอกภาพวาดเสียอีก…

ขณะที่เขาคิดอยู่เช่นนั้น ราชครูสันตินิรันดร์ก็โถมพุ่งเข้าไปใหม่

ปัง

ราชครูสันตินิรันดร์กระเด็นกลับมาอีกครั้ง

นี่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

ตรงหน้าตำหนักชิดฟ้าคือประตูสวรรค์ ซากศพของเทพและมารก่ายกองเป็นภูเขา กระนั้นราชครูสันตินิรันดร์ก็ยังบุกตะลุยเข้าไปยังจักรพรรดิสวรรค์ที่ประทับอยู่บนยอดตำหนักชิดฟ้า เขาถูกทุบตีกลับมานับครั้งไม่ถ้วน หน้าตาของเขายิ่งเละเทะดูไม่ได้ทุกครั้งที่กระเด็นมา

ฉินมู่ประกายตาวูบไหวขณะที่เขาตระเตรียมหม้อห้าอสุนีบาตพลางครุ่นคิดในใจ ต่อให้ข้าต้องเสี่ยงทำลายสถานที่แห่งนี้ ข้าก็ไม่อาจยอมให้จักรพรรดิสวรรค์ในภาพวาดยัดเยียดความปราชัยให้กับราชครูอย่างสิ้นเชิงได้…

ราชครูสันตินิรันดร์พุ่งทะยานเข้าไปอีกครั้ง และทันใดนั้นเสียงตะโกนให้ฆ่าฟันก็หยุดชะงัก สีหน้าของทวยเทพทั้งหลายนอกตำหนักชิดฟ้าก็เต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว และพวกเขาก็หันกายหนีกระจายพล่านไปหมด

ฉินมู่ตกตะลึง เขาหันกลับไปมองและเห็นราชครูสันตินิรันดร์ยืนข้างหลังเขาพร้อมด้วยเศียรของจักรพรรดิสวรรค์

แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่รอยยิ้มของเขาในตอนนั้นบริสุทธิ์จริงใจเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งสองคนมองตากันแล้วหัวเราะด้วยเสียงอันดัง

ราชครูสันตินิรันดร์ยกมือขึ้น และโยนหัวจักรพรรดิสวรรค์ออกไปจากตำหนักชิดฟ้า “เสยมีดจากที่ลับ หิ้วศีรษะกษัตริยามาในมือ ดาบสวรรค์นี่ช่างมีใจห้าวหาญทะยานจิต ข้าพลันตรึกตรองเข้าใจมโนทัศน์ของเพลงมีดและเต๋ามีดของเขา!”

ฉินมู่นั้นปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว แต่ก็เดินออกมาจากโถงตำหนักด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่มันอัจฉริยะปีศาจจริงๆ และปฏิภาณความเข้าใจก็ใหญ่เกินคน ท่านปู่คนแล่เนื้อสอนข้ามาหลายต่อหลายปี กว่าข้าจะเข้าใจแง่อัศจรรย์ของเพลงมีดของเขาได้ เจ้าเดินไปตามมรรคาเต๋ากระบี่ แต่กระนั้นก็ยังสามารถคว้าจับความเข้าใจในมโนทัศน์ของเต๋ามีดของเขา ปฏิภาณของข้าด้อยกว่าเจ้า”

ราชครูสันตินิรันดร์หันกลับไปและกล่าวอย่างจริงจัง “ปฏิภาณความเข้าใจของผู้คน จะเพิ่มพูนขึ้นก็ต่อเมื่อวิสัยทัศน์ขอบฟ้าและประสบการณ์เติบโตขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับปัญญาญาณ เมื่อเจ้ามาถึงเขตขั้นของข้า เจ้าก็จะสามารถมองเห็นความลึกล้ำทั้งหมดได้เอง ในอนาคต เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่ด้อยไปกว่าข้า ทั้งยังจะเหนือล้ำกว่าอีก เจ้าสามารถคิดถึงวิธีการใช้งานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์เพื่อทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจของข้า เพื่อให้ข้าสามารถไตร่ตรองได้จนปรุโปร่ง แต่ข้ากลับคิดวิธีนี้ไม่ได้ ไฉนจ้าวลัทธิถึงจะต้องถ่อมตนด้วย”

ฉินมู่มายังบัลลังก์ของจักรพรรดิสวรรค์และผลักร่างไร้ศีรษะของเขาไปข้างๆ ก่อนที่จะนั่งลงบนบัลลังก์ “ราชครูเชื่อว่าข้าจะเหนือล้ำกว่าเจ้าได้หรือ เส้นตรงอย่างเจ้าเนี่ยนะ?”

“เจ้าคือชนรุ่นต่อไป หากว่าเจ้าไม่อาจเหนือล้ำกว่าชนรุ่นก่อน โลกนี้จะไม่น่าเศร้าไปหน่อยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังเป็นกายาจ้าวแดนดินอีกด้วย”

ฉินมู่เต็มไปด้วยความมั่นใจและพยักหน้า “นั่นสินะ ข้าเป็นกายาจ้าวแดนดิน ดังนั้นข้าย่อมแข็งแกร่งกว่าเจ้า”

ราชครูสันตินิรันดร์สีหน้ามืดดำทันที

ฉินมู่กระเถิบไปเว้นที่ว่างบนอาสน์

“มาสิ มาลองนั่งบนที่ที่มีแต่จักรพรรดิสวรรค์จะนั่งได้สิ”

ราชครูสันตินิรันดร์ลังเลย “นี่…คงไม่ดีหรอกกระมัง ใช่ไหม”

“มาเถอะ แค่นั่งลง ทิวทัศน์จากตรงนี้ดีเยี่ยมมากๆ!”

“ก็ได้” ราชครูสันตินิรันดร์ขึ้นมานั่งข้างๆ และพวกเขาสองคนก็มองออกไปยังททิวทัศน์นอกตำหนักชิดฟ้า ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ราชครูก็กล่าว “โลกกว้างใหญ่อยู่ภายใต้สายตาพวกเรา บนตำแหน่งนี้ ผู้ที่นั่งอยู่ครอบครองสิทธิราชย์อันไร้ประมาณ ความตายของโลกหล้าและชีวิตใดๆ ก็เป็นไปเพียงแค่ใจคิด จ้าวลัทธิ เจ้าเคยปรารถนาถึงอำนาจเช่นนี้หรือไม่”

ฉินมู่มองไปที่เขาและถามด้วยท่าทีสบายๆ “หากข้าตอบว่าใช่ เจ้าจะกำจัดข้าทันทีเพื่อมิให้เป็นเภทภัยในอนาคตต่อจักรพรรดิหรือเปล่าล่ะ”

สายตาของพวกเขามาประสานกัน และราชครูสันตินิรันดร์ก็เบือนสายตาออกไป “ข้าไม่ทำเช่นนั้น ข้าเพียงแต่จะคอยระวังป้องกันเจ้าเท่านั้น”

เขายืนขึ้นและมีท่วงทีอันเยือกเย็นอีกครั้ง มันไม่ยินดียินร้ายถึงขั้นที่ไม่มีอะไรโยกคลอนเขาได้อีกต่อไป และฉินมู่รู้ดีว่า หลังจากประสบพบพานงานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์ จิตเต๋าของราชครูก็ได้เข้าสู่เขตขั้นอันแม้แต่ภูตเทพก็มิอาจคาดเดา

จิตเต๋าของเขากลายเป็นแข็งแกร่งไม่อาจถูกทำลาย

ราชครูสันตินิรันดร์ไม่มีช่องโหว่ในจิตเต๋าของเขาอีกต่อไป

ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากภาพวาด ดูราวกับว่าจะได้มรรคผลของตนเองด้วยเช่นกัน มีก็แต่ทำลายความสิ้นหวังในหัวใจของตนเองเท่านั้น ถึงจะสามารถรุ่มร้อนไปด้วยความหวังและจิตหาญสู้อันแข็งกล้ากว่าเดิม

ทั้งสองคนเดินออกมาจากจิตรกรรมฝาผนังและเหยียบลงบนพื้นแข็งข้างนอก

ราชครูสันตินิรันดร์มองไปภาพจิตรกรรมและพบว่าปราสาทราชวังต่างๆ ยังคงตั้งตระหง่าน แต่ทว่ามีซากศพของเทพและมารก่ายกองไปทั่วทุกหนแห่ง มีกระทั่งเทพและมารบางตนที่ตัวสั่นงันงกซุกหลบอยู่ในซอกหลืบด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ฉินมู่ก้าวเข้าไปและลบรอยพู่กันจำนวนหนึ่งที่เขาวาดเอาไว้ และภาพจิตรกรรมนี้ก็กลับเป็นปกติ

เขาเกาผ้าโพกหัวของตนเองและกล่าวด้วยความฉงน “จิตรกรที่วาดภาพนี้มีความสำเร็จอันสูงล้ำ แต่ทว่าทำไมภาพวาดของเขาถึงแหว่งหายไปมุมหนึ่ง ด้วยความสำเร็จของเขา เขาน่าจะสามารถมอบชีวิตให้แก่ผู้คนในภาพเขียน และทำให้ผู้คนในงานเลี้ยงสามารถเคลื่อนไหวไปมาและสนทนาโต้ตอบได้ แต่ทว่า เมื่อหายไปมุมหนึ่ง โลกข้างในก็ตายไร้ชีวิต”

“มันน่าจะถูกแงะออกไป” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวพลางเดินออกจากโถงวัง “การต่อสู้ข้างนอกน่าจะสิ้นสุดลงแล้วสินะ? ได้เวลาที่จะให้เสียงซีอวี่ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าตำหนักใหม่อีกครั้ง และให้แผ่นดินตะวันตกมาอยู่ภายใต้ปีกของจักรวรรดิสันตินิรันดร์”

ฉินมู่เดินตามเขาไปด้วยรอยยิ้ม “หากว่าเจ้ามีโองการของจักรพรรดิติดตัวมาด้วย และเอาออกมาอ่านในจังหวะนี้ ประกาศมอบตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ให้แก่เสียงซีอวี่ ผลลัพธ์ก็จะยอดเยี่ยมกว่าเดิมมาก”

ราชครูสันตินิรันดร์นำม้วนราชโองการออกมาและกล่าว “ก่อนข้าจะออกเดินทางมา ข้าก็ขอให้จักรพรรดิเขียนราชโองการมาแล้ว”

“จักรพรรดิก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าอีกตัว” ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน

หลังจากที่ทั้งคู่ออกไปจากโถงใหญ่ เทพนารีนางหนึ่งก็พลันขยับในภาพวาด นางมองไปรอบๆ และเมื่อนางพบว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วจริงๆ นางก็ลอบวิ่งออกมาจากภาพจิตรกรรม