เด็กหนุ่มมีเรื่องจะพูด โดย ProjectZyphon
ตัวอักษรเจ็ดคำนั้นก็คือ “ฆ่าเฉินผิงอันคือคำสั่ง”!
บัณฑิตฆ่าคนไม่ต้องใช้ดาบ
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว
จูลู่กุมหน้าท้องที่เจ็บปวดราวถูกบีบเค้น ดั่งแม่น้ำและมหาสมุทรที่เกิดคลื่นมรสุมปั่นป่วน ทำให้เหงื่อเย็นๆ แตกเต็มหน้าผากของนาง ทว่าปากยังคงเอ่ยเย้ยหยันไม่หยุด “แม้แต่คำว่า ‘ได้รับพระราชโองการ’ คืออะไร เจ้าก็ฟังไม่เข้าใจหรือเปล่า?”
จู่ลู่ดิ้นรนจะขยับหลังพิงม้านั่งตัวยาวที่อยู่ตรงข้ามกับเด็กหนุ่ม คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้ขัดขวางนาง
นางมองเด็กหนุ่มที่คุณหนูของตระกูลตัวเองเรียกว่าอาจารย์อาน้อย “รู้หรือไม่ว่านอกจากข้าจะสังหารเจ้าแล้ว ยังอยากทำเรื่องอะไรมากที่สุด? เจ้ารู้จักตัวอักษรเยอะนักไม่ใช่หรือ ข้าก็อยากจะมอบจดหมายฉบับนั้นให้เจ้า ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะรู้สึกละอายแก่ใจตัวเองบ้าง รู้สึกว่าเหตุใดบนโลกถึงได้มีตัวอักษรที่งดงามขนาดนี้ มีบทความที่ดีเยี่ยมขนาดนี้ ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันพลิกอ่านไปมาสิบรอบร้อยรอบก็ไม่มีทางได้รู้ว่าความรู้ที่แท้จริงกลับอยู่ที่ตัวอักษรเจ็ดตัวนั้น ตลกมากเลยหรือไม่? ข้ารู้สึกว่าตลกมาก ขำแทบตายอยู่แล้ว!”
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวอย่างสงบ ข้างกายคือพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่กระจัดกระจายไม่มีใครให้ความสนใจพวกนั้น เด็กหนุ่มมองจูลู่ กระตุกมุมปาก “หากไม่ใช่เพราะจูเหอ วันนี้เจ้าต้องขำ ‘ตาย’ จริงๆ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กล่าวเนิบช้า “ข้ารู้ว่าแท้จริงแล้วประโยคเหล่านี้เจ้าพูดให้บิดาของเจ้าฟัง อีกอย่างการที่เจ้าดิ้นรนขยับลุกขึ้นนั่งในครั้งนี้ก็เพื่อล่อให้ข้าลงมือ เจ้าต้องการให้จูเหอไม่เหลือพื้นที่ให้เลือกอีกต่อไป หากไม่ใช่ข้าสังหารเจ้า ก็ต้องเป็นเขาที่สังหารข้า ถูกไหม?”
จูลู่สีหน้ามืดทะมึน ไม่พูดอะไรอีก
ไม่รู้ว่าจูเหอมายืนอยู่กลางระเบียงตั้งแต่เมื่อไหร่ มือทั้งคู่ของเขากำแน่นจนเส้นเอ็นบนหลังมือปูดโปน สีหน้าเจ็บปวด ชายฉกรรจ์กำลังมองมาทางเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้
คนหนึ่งคือบุตรสาวที่รักของตน อีกคนคือเด็กรุ่นหลังที่ตนชื่นชม
จูลู่ยื่นนิ้วโป้งออกมาปาดคราบเลือดตรงมุมปาก ก้มหน้าลงเล็กน้อย แต่ดวงตากลับยังจ้องเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเขม็ง
นางหันหน้ากลับมาพูดกับเงาร่างที่คุ้นเคยนั้นช้าๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยผิดปกติ “ด้วยนิสัยของคุณหนูพวกเรา หากรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ต่อให้ข้าไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนังชั้นหนึ่ง ชีวิตนี้คงไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว ท่านพ่อ ข้าขอร้องท่านล่ะ อย่าได้ใจอ่อนมีเมตตา ฉวยโอกาสตอนที่อาเหลียงแห่งศาลลมหิมะผู้นั้นยังไม่กลับมา รีบลงมือซะ! คุณชายเคยพูดไว้ว่า ต้องเด็ดขาด ไม่เด็ดขาดย่อมนำมาซึ่งความวุ่นวาย!”
เฉินผิงอันพลันก้มตัวลงหยิบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลเม็ดหนึ่งใส่ปากเคี้ยว
จากนั้นเด็กหนุ่มก็มายืนอยู่กลางระเบียง คุมเชิงกับจูลู่
เด็กหนุ่มพูดกับเด็กสาวเบาๆ ว่า “เจ้าต้องตาย”
หัวใจจูลู่ร่วงดิ่ง
บิดาของนางอยู่ห่างจากเฉินผิงอันประมาณสิบห้าก้าว
แม้เฉินผิงอันจะมีขอบเขตวรยุทธ์ไม่สูง แต่เรือนกายกลับปราดเปรียวว่องไว เด็กสาวเคยเห็นมาก่อน
นางรู้สึกเดือดดาลเล็กน้อย บิดาของนางไม่ควรปรากฏตัวอย่างเปิดเผยห่างไปไกลขนาดนั้น
ศึกแห่งความเป็นความตาย ยังจะต้องมัวมาสนมาดของยอดฝีมืออะไรอยู่อีก?!
จูลู่หันไปถ่มเลือดลงพื้นอีกหนึ่งคำ “แน่จริงเจ้าก็ลองดูสิ”
นางหันไปมองทางบิดา เอ่ยเตือนว่า “ท่านพ่อ วันนี้หากท่านไม่ลงมือ ข้าก็จะตายให้ท่านดู! ไม่ว่าจะอย่างไร จับตัวเฉินผิงอันไว้ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
ส่วนหลังจากจับตัวได้แล้ว หากบิดานางไม่ยินดีลงมือฆ่าคน นางจะทำเอง
จูลู่ฝืนดึงลมปราณมาเฮือกหนึ่ง เตรียมพร้อมทุกเมื่อเผื่อเฉินผิงอันใช้นางข่มขู่บิดา
บิดาของนางเคยพูดให้ฟังโดยบังเอิญว่า หากประมือกับคนต่ำต้อยจากตรอกหนีผิงผู้นี้ หากเป็นแค่การประลองเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางการต่อสู้กันแบบผิวเผิน นางมีโอกาสชนะ แต่หากเป็นการต่อสู้ตัดสินเป็นตาย นางต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย แรกเริ่มนางก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่มรสุมบนพื้นหินเรียบยอดเขาฉีตุนที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น เมื่อนางต้องคุมเชิงกับงูขาว จูลู่ตกใจจนไม่เหลือปณิธานในการต่อสู้ ได้แต่ยืนรอความตาย กลับมาดูเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญหรือการเลือกโอกาสที่เหมาะสมก็ล้วนเหนือกว่านางทั้งสิ้น
อันที่จริงนี่ทำให้ใจในการเรียนวรยุทธ์ของนางแทบจะสิ้นหวังแล้ว หากสภาพจิตใจแหลกสลายเมื่อไหร่ ก็เท่ากับเดินสู่ปลายทางของเส้นทางแห่งการฝึกวรยุทธ์แล้ว
ดังนั้นต่อให้ตอนอยู่ริมขอบเขตภูเขาฉีตุนก่อนเข้าเมืองหงจู๋ เทพผืนดินเว่ยป้อจะมอบของขวัญก่อนจากให้แก่พวกนางทีละชิ้น นางที่ถูกจูเหอบังคับและขอร้องได้ ‘ตำราปราณม่วง’ อันเป็นตำราลับของตระกูลเซียนเล่มนั้นมา คัมภีร์ล้ำค่าแห่งวิถีวรยุทธ์ที่ชาวยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนล่างภูเขาปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน กลับไม่ทำให้สภาพจิตใจของเด็กสาวดีขึ้นได้สักเท่าไหร่
เรื่องของสภาพจิตใจนี้ นับแต่โบราณมาก็เป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่วกันว่า ง่ายต่อการร่วงหล่น ยากต่อการเก็บขึ้น
ทั้งหมดนี้ จูเหอชายฉกรรจ์หยาบกระด้าง ผู้ฝึกยุทธ์ที่จิตใจจมจ่อมอยู่กับการป่ายปีนสู่จุดสูงสุดของเส้นทางแห่งการต่อสู้ จะรู้ได้อย่างไร?
แต่การมาถึงของจดหมายจากทางบ้านฉบับนั้นกลับเหมือนคุณชายของตนหยิบยื่นโอกาสให้ต่อหน้า คล้ายการส่งถ่านให้ในวันหิมะตก ทำให้ไฟแห่งความหวังของเด็กสาวที่ตระหนักได้ถึงความลี้ลับที่ซุกซ่อนไว้ถูกจุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง นางบอกกับตัวเองว่า ต้องเรียนวรยุทธ์ให้ดี อย่างน้อยก็ต้องเป็นปรมาจารย์แห่งวิถีการต่อสู้อย่างบิดาของนาง ต้องสร้างคุณความชอบในสมรภูมิรบ ให้ตัวเองได้รับ ‘พระราชโองการแต่งตั้งเป็นฮูหยิน’ อย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้พวกนางสองพ่อลูกมีดีวีรบุรุษซึ่งเป็นยาของเขาเจินอู่กับตำราปราณม่วงที่ประพันธ์โดยเทพเซียนบนภูเขาเล่มนั้น ก็เหมือนอย่างที่จูเหอเคยพูด ตอนนี้แม้แต่ทัศนียภาพของขอบเขตที่เจ็ด เขาก็ยังกล้าวาดฝันแล้ว ถ้าอย่างนั้นเหตุใดนางจูลู่ถึงจะไม่กล้าจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ที่ก่อนหน้านี้ตนไม่กล้าคิดล่ะ?
เพียงแต่ว่าอนาคตอันงดงาม มหามรรคาที่กว้างใหญ่ ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเล็กๆ ข้อหนึ่ง
เฉินผิงอันต้องตาย
ดังนั้นเด็กสาวที่รู้ว่าเมื่อปะทะกันซึ่งหน้า ตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่ม จำเป็นต้องใช้การลอบสังหาร ก็เหมือนที่เด็กหนุ่มเปิดโปงความจริง นางต้องการกริชเล่มหนึ่ง แต่ไม่บังเอิญเสียเลย
ไม่บังเอิญที่ร้านขายอาวุธปิดไปแล้ว ไม่อาจหาซื้อได้
พอดีกับที่จูเหอบิดาของนางพูดถึงเรื่องที่ให้นางขอโทษเฉินผิงอัน และเฉินผิงอันก็เคยพูดเรื่องซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลกับหลี่เป่าผิงคุณหนูของนาง
กริชสามารถฆ่าคน ไม้เสียบพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่อยู่ในมือของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองขั้นสูงสุด ก็ฆ่าคนได้เช่นกัน
เพราะกังวลว่าไม้เสียบก้านเดียวอาจจะหักได้ง่าย เด็กสาวจึงอ้างว่าเอามาฝากเฉินผิงอันกับหลี่เป่าผิงสองไม้ ไม้เสียบสามไม้รวบไว้รวมกัน นางไม่เชื่อว่าจะแทงทะลุหัวใจของเด็กหนุ่มไม่ได้
ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าสติปัญญาและไหวพริบของจูลู่ไม่ธรรมดา
ขณะเดียวกันก็เห็นได้ชัดว่าคุณชายรองตระกูลหลี่ที่ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าผู้นั้น ฉลาดในการมองคน และใช้งานคนได้อย่างแม่นยำ
เพราะจุดที่จูลู่ร้ายกาจอย่างแท้จริงก็คือ นางทั้งหาทางถอยให้ตัวเอง แล้วก็เลือกหนทางที่ไม่อาจย้อนกลับแทนจูเหอผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่ห้าซึ่งเป็นบิดาของนางด้วย
นางตาย หรือไม่ก็เฉินผิงอันที่ต้องตาย
จูเหอมองเด็กหนุ่มยากจนที่รวบผมปักปิ่นหยกแล้วกล่าวคำสามคำที่เดิมทีควรเป็นบุตรสาวเขาซึ่งต้องพูดด้วยความจริงใจ “ข้าขอโทษ”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเองเลือกทั้งสิ้น”
รอยยิ้มที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะมอบความรู้สึกเย็นชาน่าพรั่นพรึงให้แก่คนมอง
ความรู้สึกเหลวไหลเช่นนี้ เด็กสาวที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเห็นชัดเจนเป็นพิเศษ
ตอนนั้นที่อยู่ในขอบเขตพื้นที่ของเขาฉีตุน หลังจากประลองฝีมือกับจูเหอ เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงช่องโพรงลมปราณสามแห่งในร่างของตัวเองที่ถึงขนาดทำให้มังกรเพลิงซึ่งเป็นลมปราณที่พุ่งตะลุยไปทั่วร่างขุมนั้นได้แต่ผ่านเลยไม่กล้าเข้าไป ตอนนั้นเฉินผิงอันถึงเพิ่งตระหนักได้ว่า ช่องโพรงสามแห่งนั้นซุกซ่อนปราณกระบี่ที่เล็กมากไว้สามกลุ่ม ซึ่งต่างก็เชื่อมโยงกับจิตใจของเขา คิดจะดึงมาใช้ก็ทำได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
หลังจากนั้นตอนที่ระเบิดหัวของงูขาวตัวนั้น เด็กหนุ่มได้ใช้ปราณกระบี่ไปเส้นหนึ่ง
เพื่อเอาชีวิตรอด ต่อให้ใช้ปราณกระบี่หมดไปหนึ่งเส้น เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าไม่เสียเปรียบ
แต่เด็กหนุ่มคิดว่าการใช้ปราณกระบี่ในครั้งหน้า จำเป็นต้องได้กำไรถึงจะถูก หากยังขาดทุนอยู่อย่างนี้ก็ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
กับดักเลวร้ายที่ตั้งใจจัดวางในครั้งนี้ เด็กสาวจูลู่พูดอะไรออกมามากมาย แต่เฉินผิงอันกลับเปิดปากแค่ไม่กี่ครั้ง รวมๆ กันแล้วก็แค่ตัวอักษรไม่กี่ตัว
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรู้สึกว่าต้องพูดอะไรสักอย่าง เพื่อตัวเอง แล้วก็เพื่อพี่สาวเทพเซียนที่ตนต้องมีชีวิตอยู่นางถึงจะรอดผู้นั้น หาไม่แล้วในใจคงอัดอั้นยิ่งนัก
เด็กหนุ่มก้าวเท้าข้างหนึ่งที่สวมรองเท้าแตะออกไปข้างหน้า อีกข้างหนึ่งย้ายไปด้านหลัง
เข่าทั้งคู่ของเด็กหนุ่มงอลง ร่างจึงย่อลงตาม นิ้วทั้งคู่ประกบเข้าด้วยกัน ชี้ไปที่ชายฉกรรจ์ซึ่งยืนอยู่กลางระเบียงห่างออกไปไม่ไกล ริมฝีปากขยับเบาๆ
ไม่รู้ว่าจิตใจเชื่อมโยง หรือบรรพบุรุษปกป้อง เด็กสาวจูลู่ถึงบังเกิดความหวาดกลัวอย่างไร้สาเหตุ ตะโกนเสียงแหลม “ไม่นะ!”
จูเหอก็ยิ่งรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ปรมาจารย์น้อยขอบเขตห้าแห่งวิถีการต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ จิตใจกลับเหมือนจมลงสู่ปลักโคลน แขนขาทั้งสี่ขยับไม่ได้
เด็กหนุ่มท่องในใจว่า “กระบี่จงมา!”