บทที่ 28 ข่าวการตาย

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

กลางดึกคืนนั้น อวี้เหวินและอวี้หย่วนกลับมาจากเรือนสกุลเว่ย อวี้ป๋อที่ได้ข่าวก็ตามมาด้วย 

 

 

คนในครอบครัวนั่งคุยเรื่องนี้ในโถงรับรอง อวี้เหวินแสดงออกชัดถึงความเสียดายในการหมั้นหมายครั้งนี้ “ช่างเป็นสกุลที่เปี่ยมคุณธรรมเหลือเกิน นายท่านเว่ยไม่พูดอะไรด้วยเป็นบุรุษ แต่นายหญิงเว่ยนั้น พอเห็นข้าก็ไม่มีกล่าวโทษสักคำ เอาแต่ขอโทษอาถังของพวกเราไม่ยอมหยุด บอกกับข้าซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าต่อไปหากมีข่าวลืออะไรไม่น่าฟัง ก็ผลักไปให้พวกเขาฝั่งโน้นได้เลย เจ้าดูสิ เหตุใดตอนแรกเราถึงไม่หมั้นกับเจ้าสามของพวกเขานะ? ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แล้ว” 

 

 

อวี้ป๋อได้ฟังก็รู้สึกเสียดายและเอ่ยว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปมอบของเซ่นไหว้ให้สักหน่อย! อาหย่วน เจ้าก็ไปช่วยงานสกุลเว่ย ผู้อื่นมีคุณธรรม พวกเราย่อมไม่อาจไม่เหลียวแลไต่ถาม ต่อให้ภายหลังมีข่าวลืออะไรออกมา ก็ไม่อาจโยนไปให้สกุลเว่ยได้ เด็กคนนั้นจากไปอีกภพภูมิแล้ว จะให้เสื่อมเสียชื่อเขาได้อย่างไร? ลูกหลานของเรานับเป็นลูกหลาน แล้วลูกหลานของบ้านอื่นมิใช่ลูกหลานเช่นเดียวกันหรือ?” 

 

 

“เหตุผลนี้ถูกต้องแล้ว” คนสกุลหวังถอนหายใจ แต่กลัวว่าอวี้ถังได้ยินแล้วจะไม่สบายใจ จึงหันไปมองนาง 

 

 

อวี้ถังนั่งเงียบๆ อยู่ข้างหน้าต่าง สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว 

 

 

ตอนที่ได้ยินข่าวการตายของเว่ยเสี่ยวซาน นางเพียงรู้สึกตกใจแต่หลังจากตกใจก็คือความเสียดาย และต่อจากความเสียดายก็คือความเจ็บปวดอันหนักอึ้ง 

 

 

อายุเท่านี้ก็มาจากไปเสียแล้ว 

 

 

บิดามารดาย่อมไม่อาจรับไหวแน่! 

 

 

ใจเขาใจเรา 

 

 

คิดถึงตอนนั้น ที่นางได้ฟังข่าวร้ายเกี่ยวกับบิดามารดาของตน มันเหมือนฟ้าถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

การตายของเขาจะต้องทำให้บิดามารดารู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาไม่ต่างกันแน่ 

 

 

พอนางว่างขึ้นมาก็จะนึกถึงดวงตาที่มองนางด้วยความชอบพอคู่นั้นของเขา 

 

 

อวี้ถังพลันกลั้นน้ำตาให้เอ่อออกมาไม่ได้ 

 

 

ยิ่งคิดถึงความมีคุณธรรมของสกุลเว่ย นางก็ยิ่งเสียดายวาสนาที่ยังไม่ได้เริ่มต้นในครั้งนี้ 

 

 

นางนั่งซึมอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอะไรสักคำ 

 

 

คนสกุลหวังเดินเข้าไปกอดนางเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า “อาถัง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ชีวิตคนยังอีกยืนยาว นี่เป็นเพียงความทุกข์เล็กน้อยที่ต้องก้าวผ่าน พอเวลาผ่านไป ก็จะดีขึ้นเอง” 

 

 

คนสกุลเฉินตอนนี้เพิ่งรู้ตัวว่าละเลยความรู้สึกของบุตรสาวไป รีบเดินเข้าไปหาแล้วช่วยคนสกุลหวังปลอบโยนนาง 

 

 

อวี้ถังไม่อยากให้ผู้ใหญ่ในเรือนต้องเป็นกังวล จึงเรียกสติแล้วพูดจากับพวกเขา สุดท้ายยังถามไปว่า “ข้าไปจุดธูปไหว้ศพคุณชายรองสกุลเว่ยได้หรือไม่เจ้าคะ?” 

 

 

คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังมองหน้ากัน หยุดคิดเล็กน้อยแล้วตอบอย่างไม่มั่นใจว่า “อาถัง พวกเราต่างรู้ว่าเจ้าเสียใจ แต่อย่างไรสกุลเราก็มิได้มีความเกี่ยวพันกับสกุลเว่ย เจ้าไปคงไม่เหมาะสม” 

 

 

อวี้ถังพยักหน้า 

 

 

แม้นางจะสงสารนายหญิงเว่ยที่ต้องสูญเสียบุตรชาย ทว่าก็ต้องใส่ใจความรู้สึกของบิดามารดาตนยิ่งกว่า 

 

 

— 

 

 

กระทั่งวันต่อมาตอนที่อวี้หย่วนไปเรือนสกุลเว่ย นางก็ให้อวี้หย่วนช่วยจุดธูปไหว้เว่ยเสียวซานแทนนาง แล้วแสดงความเสียใจต่อคนสกุลเว่ยด้วย 

 

 

อวี้หย่วนตอบรับคำขอของญาติผู้น้องในทันที 

 

 

นายหญิงเว่ยรู้เรื่องก็ร้องไห้จนน้ำตานอง พูดออกมาเว่ยเสี่ยวซานไร้ซึ่งวาสนา 

 

 

อวี้หย่วนมองด้วยความโศกเศร้าอยู่เงียบๆ อีกหลายวันถัดไปก็คอยอยู่ช่วยงานที่เรือนสกุลเว่ย 

 

 

เว่ยเสี่ยวซานเพราะยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งเป็นการตายกะทันหัน บิดามารดาและลุงป้าต่างยังมีชีวิตอยู่ ตามธรรมเนียมแล้วไม่อาจเข้าฝังในสุสานของสกุล ยิ่งไม่อาจตั้งศพไว้สี่สิบเก้าวัน คนสกุลเว่ยปรึกษากันว่าจะยกบุตรชายคนรองของเว่ยเสี่ยวหยวนให้เป็นลูกบุญธรรมของเว่ยเสี่ยวซาน เช่นนี้ เว่ยเสี่ยวซานก็จะมีผู้สืบทอด แล้วเข้าฝังในสุสานบรรพชนได้ แต่ปัญหาก็คือ เว่ยเสี่ยวหยวนบัดนี้มีบุตรชายอยู่เพียงคนเดียว หากจะยกให้เป็นลูกบุญธรรมก็ต้องรอให้เขามีบุตรชายคนรองเสียก่อน แล้วคนโยนอ่างถือป้ายจะทำอย่างไรเล่า? 

 

 

เว่ยเสี่ยวหยวนเสนอให้น้องชายคนเล็กเว่ยเสี่ยวชวนเป็นคนทำแทน 

 

 

คนสกุลเว่ยก็เห็นชอบว่าสามารถทำได้ 

 

 

เว่ยเสี่ยวชวนตอบตกลงด้วยดวงตาบวมแดง 

 

 

พวกผู้ใหญ่ในสกุลเว่ยกำหนดให้ตั้งศพเว่ยเสี่ยวซานไว้สิบสี่วัน 

 

 

นายหญิงเว่ยไม่เห็นด้วย บอกจะตั้งศพบุตรชายไว้ยี่สิบเอ็ดวัน 

 

 

แต่การตั้งศพยี่สิบเอ็ดวัน มีเงินทองที่ต้องใช้จ่าย สกุลเว่ยที่ตอนแรกยอมรับปากยกบุตรชายหนึ่งคนให้ไปเป็นเขยสกุลอวี้ ก็เพราะการมีบุตรชายมากเกินไปนั้นทำให้มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อมีบุตรคนเล็กอย่างเว่ยเสี่ยวชวนที่มีพรสวรรค์ด้านการเล่าเรียน คนในเรือนจึงเริ่มแบกรับไม่ไหว 

 

 

สกุลเว่ยผู้เป็นบิดาต้องคิดให้ไกล…คนตายแม้จะสำคัญ แต่คนที่มีชีวิตอยู่นั้นสำคัญยิ่งกว่า 

 

 

เขาจึงเอนเอียงไปทางสิบสี่วัน 

 

 

สกุลเว่ยผู้เป็นบิดาและมารดาจึงขัดแย้งกันเอง 

 

 

อวี้เหวินหลังจากรู้เรื่องนี้จากอวี้หย่วน ก็เตรียมเงินยี่สิบตำลึงแล้วไปที่สกุลเว่ยพร้อมกับคนสกุลเฉิน 

 

 

อวี้ถังทางนั้นจิตใจเศร้ามอง นางอยากไปพูดคุยตามประสาสตรีกับหม่าซิ่วเหนียง 

 

 

ชาติก่อน หลี่จวิ้นตกม้าตาย ชาตินี้ เว่ยเสี่ยวซานจมน้ำตาย 

 

 

มีหรือที่นางจะไม่คิดอะไรเลย? 

 

 

หม่าซิ่วเหนียงก็รู้เรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน จึงยินดีต้อนรับให้อวี้ถังมาเป็นแขกที่เรือน ไม่เพียงเท่านั้น นางยังไล่น้องชายของตนไปยังจางฮุ่ย ซื้อขนมและอาหารว่างมามากมายเพื่อรับรองอวี้ถัง 

 

 

อวี้ถังมีความคิดหลายอย่างตีกันมั่วเต็มท้องไปหมด หลังจากที่ได้พบหม่าซิ่วเหนียงแล้ว กลับไม่รู้จะพูดอะไรดี 

 

 

หม่าซิ่วเหนียงเป็นคนเข้าใจผู้อื่น อวี้ถังไม่พูดนางก็ไม่ถามถึง นั่งเงียบๆ อยู่เป็นเพื่อนอวี้ถังในลานกว้างข้างต้นกล้วยอยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่ได้พูดคุยอะไรกันสักคำ ก่อนที่อวี้ถังจะกลับไป นางยังถามอวี้ถังว่าต้องการให้นางไปอยู่เป็นเพื่อนที่เรือนหรือไม่ 

 

 

หัวใจของอวี้ถังอบอุ่นไปหมด พลันรู้สึกดีขึ้นมาในทันที 

 

 

นางกอดหม่าซิ่วเหนียงแน่นก่อนจะเดินทางกลับเรือนไป 

 

 

ทว่าเพิ่งนั่งเกี้ยวผ่านเข้าตรอกชิงจู๋ได้ไม่เท่าไร นางก็พบว่าหน้าประตูเรือนมีเพื่อนบ้านอออยู่หลายคน 

 

 

อวี้ถังหัวใจบีบรัด เร่งให้ยกเกี้ยวเข้าไป ไม่รอให้เกี้ยวหยุดนิ่งดีเสียก่อนก็เลิกม่านแล้วลงมาจากเกี้ยวแล้ว 

 

 

มีเพื่อนบ้านที่รู้จักอวี้ถังเห็นนางจึงรีบพูดมา “แม่นางอวี้ เจ้าไปไหนมา? เรือนเจ้าถูกขโมยขึ้นแล้ว อาเสาไปตามนายท่านอวี้ เจ้าก็รีบเข้าบ้านไปดูเถอะ!” 

 

 

อวี้ถังตกอกตกใจ ผลักคนที่มุงอยู่ออกแล้วเข้าประตูไป 

 

 

ป้าเฉินกำลังกวาดพื้นเห็นว่าอวี้ถังกลับมาแล้วก็ดิ่งเข้ามารับพร้อมเอ่ยว่า “คุณหนู ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ หายไปแค่มีดแล่เนื้อกับข้าวสารครึ่งถัง” 

 

 

อวี้ถังขมวดคิ้ว 

 

 

เมืองหลินอันหลายปีมานี้ลมดีฝนพอ กระทั่งของตกบนถนนยังไม่มีคนหยิบไป น้อยนักที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ แต่ภายหลังเกิดปีแห่งภัยพิบัติ สกุลเผยก็เปิดคลังแจกเสบียง ทั้งปิดประตูเมืองปฏิเสธไม่ให้ผู้อพยพเข้ามา ก็เหมือนจะไม่มีเหตุการณ์ลักขโมยอะไรแบบนี้ขึ้นด้วยซ้ำ 

 

 

เห็นได้ชัดว่านายท่านสามผู้เป็นผู้นำสกุลเผยนี้ก็ทำเรื่องที่ดีๆ อยู่บ้าง 

 

 

อวี้ถังพูดว่า “เจ้าตรวจนับดีแล้วหรือไม่?” 

 

 

“ตรวจนับแล้วเจ้าค่ะ” ป้าเฉินตอบ “โรงเก็บของของนายหญิงข้าเอาบันทึกมาตรวจไล่ทีละชิ้นแล้ว ล้วนอยู่ครบเจ้าค่ะ” พูดถึงตรงนี้นางก็ตบอกด้วยความโล่งใจ “โชคดีที่ข้าย้อนกลับมากลางทาง ไม่อย่างนั้นข้าต้องรับโทษหนักแล้ว!” 

 

 

อวี้ถังสอบถามอย่างละเอียดต่อไป ที่แท้เพราะป้าเฉินเห็นว่าในเรือนไม่มีคน เตรียมตัวจะไปแวะเวียนเรือนข้างๆ เดินได้ครึ่งทางก็คิดว่าตอนที่คุยกันมือไม้ก็ยังว่าง ไม่สู้หยิบเอางานเย็บปักติดมือไปด้วย ถึงได้มาปะหน้ากับขโมยเข้าพอดี เลยไม่ได้หยิบสิ่งของอย่างอื่นไปมากมาย 

 

 

“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” อวี้ถังถามอย่างเป็นห่วง 

 

 

ป้าเฉินตอบหน้าแดงว่า “ไม่เจ้าค่ะ ไม่เป็นไร รู้แต่แรกข้าคงไม่ออกไปข้างนอกแล้ว” 

 

 

อวี้ถังเอ่ยว่า “ต่อไประวังให้มากหน่อยก็พอแล้ว” 

 

 

ป้าเฉินบ่นว่า “ตรอกชิงจู๋ของพวกเราหลายปีมานี้ไม่มีเรือนไหนมีของหายเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าพวกสารเลวนี้มาจากไหน” 

 

 

อวี้ถังถามอีกว่า “แจ้งทางการหรือยัง?” 

 

 

“แจ้งแล้วเจ้าค่ะ!” ป้าเฉินพูดต่อว่า “นายท่านอู่เรือนข้างๆ ช่วยแจ้งให้ แต่ประตูไม่พังหน้าต่างไร้รอยงัดแงะเช่นนี้ กลัวว่าแจ้งทางการไปก็คงสืบอะไรออกมาไม่ได้แน่” 

 

 

ที่สำคัญคือของที่หายไปไม่ใช่ของสำคัญ ศาลาว่าการย่อมไม่สนใจ 

 

 

ไม่ว่าอย่างไร เมื่อมีคนแปลกหน้าเคยบุกรุกเข้าเรือนมาแล้ว…อวี้ถังย่อมกระวนกระวายใจแน่ 

 

 

อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินกลับมาถึงก็ค่ำมืดแล้ว เมื่อได้ยินเรื่องนี้ อวี้เหวินก็ร้อนใจ สั่งกับอาเสาว่า “เจ้าไปซื้อสุนัขสีน้ำตาลมาเฝ้าบ้านตัวหนึ่ง” 

 

 

แต่ก่อนเรือนนางไม่เคยเลี้ยงสุนัข หลักๆ ก็เพราะอวี้ถังยังเล็กกลัวว่ามันจะกัดอวี้ถังเข้า วันนี้มีขโมยขึ้นบ้านย่อมไม่อาจทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ 

 

 

อาเสารับคำแล้วรีบไปทันที 

 

 

อวี้ถังถามอวี้เหวินเรื่องที่ไปเรือนสกุลเว่ย 

 

 

อวี้เหวินถอนหายใจ “สกุลเว่ยไม่ยอมรับเงินจากเรา ดีที่ข้าพูดจนปากเปียกปากแฉะ สุดท้ายถึงยอมรับไปได้ แต่บอกว่าเป็นการยืม จะให้ดอกเบี้ยพวกเราหกส่วนและจะคืนให้ครบในสามปี” 

 

 

อวี้ถังรู้สึกประหลาดใจ 

 

 

นางคิดไม่คิดว่าสกุลเว่ยจะยากจนถึงเพียงนี้ 

 

 

อวี้เหวินพูดว่า “เจ้าคิดเหลวไหลอะไร? ปีก่อนคนที่ช่วยพวกเขากลั่นน้ำมันล้มป่วย พวกเขาไม่เพียงช่วยดูแลรักษา ยังรับเลี้ยงเด็กอีกสองคนจากครอบครัวนั้น กำลังทรัพย์จึงไม่ค่อยพอใช้” 

 

 

คนสกุลเฉินได้ฟังก็เอ่ยเรื่องสกุลเว่ยขึ้นมาว่า “นายท่านเว่ยกับนายหญิงเว่ยล้วนเป็นคนมีเมตตา เรือนพวกเขายังมีแม่นางน้อยอีกคน เห็นว่าเป็นหลานฝั่งมารดาของนายหญิงเว่ย แต่เล็กก็กำพร้าแม่ จึงถูกรับมาเลี้ยงที่สกุลเว่ย นายหญิงเว่ยก็เห็นนางเป็นเหมือนบุตรสาวแท้ๆ คนหนึ่ง สอนให้อ่านเขียนทั้งสอนงานบ้าน งานศพครานี้ธุระในเรือนส่วนใหญ่เป็นแม่นางคนนี้แหละที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ข้าเห็นว่าท่าทีจัดการเรื่องราวต่างๆ คล้ายกับนายหญิงเว่ยยิ่งนัก ฉลาดเฉลียวแต่ไม่ขาดคุณธรรมนับว่าหาได้ยาก” 

 

 

อวี้ถังไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ นางถามเพียงว่า “พิธีศพของเว่ยเสี่ยวซาน จะตั้งไว้กี่วันหรือเจ้าคะ?” 

 

 

คนสกุลเฉินตอบว่า “ยี่สิบเอ็ดวัน” 

 

 

เช่นนั้นก็ดี! 

 

 

อวี้ถังลอบถอนหายใจ 

 

 

ด้านนอกมีเสียงบุรุษพูดจาดังลอดเข้ามา 

 

 

พวกอวี้ถังคิดว่าเป็นคนจากศาลาว่าการที่จะมาตรวจสอบคดีลักทรัพย์ในวันนี้ อวี้เหวินไม่รอให้ป้าเฉินร้องแจ้ง ก็ผลักประตูออกไปทันที ใครจะคิดว่าคนที่เข้ามาเป็นชายแปลกหน้าอ้วนท้วมหน้าขาวผู้หนึ่ง 

 

 

เขาอยู่ในชุดคลุมหลวมผ้าหังโจวสีครามลายดอก ศีรษะกลมโต เมื่อเห็นอวี้เหวินก็รีบร้อนร้องถามว่า “ท่านคือนายท่านอวี้ ฮุ่ยหลี่ ใช่หรือไม่?” 

 

 

“ข้าเอง!” อวี้เหวินตอบรับ 

 

 

บุรุษผู้นั้นแสดงท่าทีโล่งอก เอ่ยว่า “ข้ามาจากหังโจว นายท่านหลู่ หลู่ซิ่น ท่านรู้จักใช่หรือไม่?” 

 

 

อวี้เหวินรวมถึงคนสกุลเฉินกับอวี้ถังที่ตามออกมาภายหลังต่างก็ตกตะลึง 

 

 

ชายผู้นั้นเอ่ยต่อว่า “ข้าเป็นคนไท่หู หลายวันก่อนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมเดียวกับเขา ห้าวันก่อนเขาดื่มเหล้าเกินขนาด จู่ๆ ก็ตายอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแจ้งไปยังทางการ ทางการให้จัดการกันเอาเอง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเคยได้ยินนายท่านหลู่เล่าว่าผูกพันกับท่านเหมือนพี่น้อง เห็นว่าข้าจะเดินทางกลับบ้านเกิด จึงฝากความให้ข้ามาส่งถึงท่านด้วย ถามว่าท่านจะช่วยเขาซื้อโลงศพแล้วทำการฝังศพเขาได้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็จะให้คนลากศพเขาไปโรงพักศพไร้ญาติแล้ว” 

 

 

“หา?” อวี้เหวิน คนสกุลเฉินและอวี้ถังต่างมองหน้ากันไปมา 

 

 

นี่มันเรื่องอะไรอีกเนี่ย! 

 

 

คนสกุลเฉินเอ่ยกับชายผู้นั้นว่า “ท่านควรจะไปแจ้งข่าวที่สกุลหลู่มิใช่หรือ?” 

 

 

ชายผู้นั้นยิ้มขื่น บอกว่า “ข้าไปมาแล้วแต่ว่าผู้อื่นก็บอกว่า หลู่ซิ่นกับบิดาเป็นญาติห่างๆ กับพวกเขาเกินกว่าห้ารุ่น ปกติก็ไม่เคยไปมาหาสู่ หลู่ซิ่นก่อนจะจากไปยังขายเรือนของบรรพชนทิ้ง กลับขายให้คนนอกเพียงเพื่อเงินไม่กี่ตำลึง เขาจะอยู่หรือตายย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาอีก” ชายคนนั้นกลัวว่าอวี้เหวินจะไม่สนใจเรื่องนี้เหมือนกับคนสกุลหลู่ จึงเอ่ยต่อว่า “อย่างไรข่าวข้าก็แจ้งไปหมดแล้ว ท่านจะไปช่วยเก็บศพเขาหรือไม่นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ข้ายังต้องรีบเดินทางกลับบ้านเกิด ขอไม่รบกวนพวกท่านแล้ว” พูดจบ ก็หมุนกายเดินหนี กระทั่งชาสักถ้วยก็ไม่หยุดดื่ม 

 

 

อวี้เหวินเดินวนไปวนมา 

 

 

คนสกุลเฉินพูดขึ้นว่า “ท่านคงจะไม่ไปเก็บศพเขาที่หังโจวกระมัง?” 

 

 

อวี้เหวินมองอวี้ถังทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าควรไปสักหน่อยจะดีกว่า! ถือว่าเพิ่มพูนกุศลให้อาถังของพวกเรา” 

 

 

คนสกุลเฉินกลืนคำพูดที่อยากเอ่ยลงท้องไปหมด 

 

 

นางคิดไปถึงสกุลเว่ย 

 

 

ทำคุณงามความดีทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง พวกนางมีเพียงอวี้ถังเป็นบุตรสาวคนเดียว ขอเพียงมีสิ่งดีๆ ก็หวังจะให้บุตรสาวของตนได้รับไป 

 

 

คนสกุลเฉินย่ำเท้าไปมา แล้วสั่งให้ป้าเฉินเตรียมเก็บสัมภาระให้อวี้เหวิน 

 

 

อวี้ถังเดิมคิดจะคัดค้านก็ฉุกคิดได้ว่าทั้งชีวิตของบิดาล้วนทำแต่สิ่งดีๆ ต่อผู้อื่น หลู่ซิ่นต่อให้เป็นคนเลวอย่างไร ก็ได้ตายไปแล้ว ต่อไปก็ไม่อาจมาสร้างปัญหาให้บิดาได้อีก เพื่อให้บิดาสบายใจก็ให้เขาเดินทางไปหังโจวสักครั้งจะดีกว่า 

 

 

ถือเสียว่าทำบุญ 

 

 

ชาติก่อนนางไม่เคยรู้ข่าวของหลู่ซิ่น 

 

 

ไม่รู้ว่าหลู่ซิ่นจะตายที่ต่างถิ่นเหมือนอย่างตอนนี้หรือไม่? หรือเพราะบิดามารดาของนางเสียไปถึงได้ตัดขาดข่าวคราวจากเขา 

 

 

นี่นับเป็นอีกหนึ่งปริศนาแล้ว 

 

 

————————————