โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “หากข้าพูดความจริง เกรงว่าข้าจะไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้อีก อันที่จริงสถานะของข้าก็สูงอยู่บ้างและตระกูลของข้าก็ถือว่าร่ำรวย แต่ว่าตั้งแต่เด็ก บิดาของข้าก็ชอบโมโหใส่ข้าอยู่เรื่อยเพราะข้าฝึกพลังไม่ได้ ข้าก็เลยโกรธมาก จากนั้นข้าเลยตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเพื่อสร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้กับตัวเอง ข้าจะได้กลับไปที่ตระกูลได้อย่างภาคภูมิใจ! ปิงเอ๋อร์…ไม่ใช่สิ…ท่านผู้บัญชาการกองพัน ท่านจะเชื่อใจข้าได้หรือไม่? ได้โปรดอย่าถามถึงต้นกำเนิดของข้าเลย ข้าสาบานด้วยชีวิตของข้าว่าข้าไม่ใช่คนเลวอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็จะปฏิบัติต่อท่านอย่างดีในอนาคต!”
“ใครอยากให้เจ้าดีกับข้ามิทราบ?!” ความโกรธของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง แต่เธอก็ตระหนักว่าขณะที่ โจวเหว่ยชิงกำลังพูดอยู่นั้น สีหน้าของเขาก็ดูจริงใจเปิดเผยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจของเธอจึงอ่อนไหวเล็กน้อยอย่างหาสาเหตุไม่ได้
“เอาล่ะ ข้าจะไม่ถามเกี่ยวกับที่มาของเจ้าอีก แต่ต่อจากนี้ไปข้าจะมีข้อตกลง 3 ข้อร่วมกับเจ้า ซึ่งเจ้าต้องสาบานกับมณีสวรรค์ของเจ้าด้วย จากนั้นข้าถึงจะเริ่มสอนเจ้าถึงขั้นตอนการฝึกฝนของจ้าวมณีสวรรค์ เจ้าตกลงหรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าซ้ำๆ “ได้ ข้าตกลง” สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือเรียนรู้วิธีการฝึกของจ้าวมณีสวรรค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นคนสอนเขาด้วยตัวเอง เช่นนี้เขาจะไม่เต็มใจได้อย่างไร! สำหรับคำสาบานพวกนั้น เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
ในที่สุดสีหน้าเกรี้ยวกราดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เลือนหายไป เธอกล่าว “ประการแรก เจ้าต้องสาบานว่าจะจงรักภักดีต่ออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เสมอ ไม่ว่าระดับของเจ้าจะพัฒนาไปถึงขั้นไหนในอนาคต เจ้าก็จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าทันทีและทำการสาบาน ยังไงซะ เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เขาก็ได้ทำการสาบานประโยคคล้ายๆกันนี้มาแล้วต่อหน้าบิดาของเขา และจักรพรรดิตี้เฟิงหลิง และเขาก็ไม่ว่าอะไรหากจะต้องทำมันอีกครั้ง
“ประการที่สอง นับจากนี้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เจ้าห้ามเปิดเผยตัวตนว่าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ ยกเว้นเสียแต่ว่ามันเกี่ยวพันถึงความตาย มิฉะนั้นเจ้าห้ามเปิดเผยมณีของเจ้าให้ผู้อื่นเห็นเด็ดขาด”
“เอ๋?!! ห้าม นี่หมายถึงห้ามข้าใช้พลังหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจะให้ข้าฝึกเพื่ออะไร?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างโมโห “เจ้าโง่!! เจ้าคิดว่าการครอบครองไพฑูรย์ตาแมวสองสีในตำนานเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าตอนนี้หรือไม่? หากอาณาจักรอื่นรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาก็จะส่งนักฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วนมาฆ่าเจ้า!! จนกว่าเจ้าจะมีพลังแข็งแกร่งในระดับหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านั้นเจ้าต้องซ่อนพลังที่แท้จริงของเจ้าเอาไว้ก่อน”
โจวเหว่ยชิงเข้าใจในทันที จากนั้นเขาก็รีบพูด “เจ้าเป็นห่วงข้าสินะ งั้นข้าก็จะสาบาน” ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็รีบเอ่ยคำสาบาน
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างเย็นชาและพูดว่า “ข้อสุดท้าย ไม่ว่าระดับพลังในอนาคตของเจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้าห้ามบังคับข้าให้ยอมรับเจ้า หากว่าข้าไม่ยินยอม”
โจวเหว่ยชิงผงะกับคำสาบานสุดท้าย “ท่านกลัวว่าระดับพลังของข้าจะแซงท่าน จากนั้นข้าจะบังคับให้ท่านอยู่กับข้า?”
“ใช่” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง
สีหน้าของโจวเหว่ยชิงพลันเปลี่ยนไป และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไปในพริบตา “ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรหรือ? ข้ายอมรับว่าเมื่อวานเป็นความผิดของข้าจริงๆ แต่ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น และข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้นกับเจ้า
ข้าเอาเปรียบเจ้าก็จริง แต่ว่าข้าก็จะหาทางชดเชยในเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน เจ้าก็อย่าได้ดูถูกใจข้านักเลย ข้า โจว…อ้วนน้อยโจว… ไม่ว่าข้าจะแย่ขนาดไหน… ข้าก็จะไม่บังคับฝืนใจผู้หญิงหรอก เพราะฉะนั้น ข้าสาบาน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เว้นเสียแต่ว่านั่นจะเป็นความต้องการของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นข้า อ้วนน้อยโจว จะไม่บังคับให้เธอทำสิ่งที่เธอไม่ต้องการ…”
เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงเกิดโทสะ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางคิดกับตนเองว่า ถึงแม้คนอย่างเขาอาจจะน่ารำคาญไปเสียหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็มีข้อดีอยู่บ้าง
น่าเสียดายที่เธอไม่รู้ว่า สำหรับจอมเจ้าเล่ห์อย่างโจวเหว่ยชิงนั้น แม้ว่าเขาจะดูจริงใจกับคำสาบานมาก แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองเสมอ เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วเขาก็สาบานด้วยชื่อเล่นสมัยเด็กของเขา “อ้วนน้อยโจว” ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา “โจวเหว่ยชิง”
ขณะที่ดวงตาของพวกเขาสบกันนั้น โจวเหว่ยชิงก็พลันเห็นความโศกเศร้าที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของดวงตาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาจึงมีท่าทีอ่อนลง ยังไงก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นความผิดของเขา เพราะเขาได้พรากสิ่งที่มีค่าที่สุดของหญิงสาวไปจากเธอ
“ท่านผู้บัญชาการกองพัน อย่าได้โกรธอีกเลย ในอนาคตข้าจะเชื่อฟังทุกอย่างที่ท่านพูด หากท่านขอให้ข้าขโมยไก่ ข้าก็จะไม่ไล่เตะหมา[1]อย่างแน่นอน ข้าจะทำตามที่ท่านขอทุกอย่าง!”
เมื่อมองเห็นสายตาเป็นห่วงจากโจวเหว่ยชิงและรับฟังคำพูดที่ไร้สาระของเขา ในที่สุดใบหน้าเย็นชาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อ่อนลง เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ใครจะไปขอให้เจ้า”ขโมยไก่ไล่เตะหมา”กัน ข้าเป็นอะไรกับเจ้าตอนไหนไม่ทราบ?”
เมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะออกมา โจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกใจเต้นแรง เขากำลังจะพูดต่อ แต่ก็ได้ยินซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เอาล่ะ ตอนนี้นั่งให้มันดีๆ ข้ากำลังจะสอนทุกอย่างที่ข้ารู้เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์ จำไว้ว่าเจ้าต้องพยายามฝึกอย่างหนัก”
เมื่อได้ยินว่าเธอจะสอนเขาฝึกวิทยายุทธ์ของจ้าวมณีสวรรค์ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที และพยักหน้าอย่างจริงจัง
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อ “มนุษย์เรานั้นภูมิใจในตนเองอย่างมากในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์ทรงปัญญา และเราก็เรียกร่างกายของเราว่าเป็นภาชนะแห่งสวรรค์ เมื่อผ่านการฝึกฝน เราจะสามารถกระตุ้นพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดได้ และพลังที่เราได้รับนั้นเรียกว่า “ปราณสวรรค์”
ปราณสวรรค์เป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นจ้าวมณียุทธ์ จ้าวมณีธาตุ หรือจ้าวมณีสวรรค์ พวกเราทุกคนต้องการปราณสวรรค์เพื่อใช้พลังทุกอย่าง
สำหรับจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุทั่วๆ ไป พลังมณีดวงแรกของพวกเขาจะถูกปลุกขึ้นเมื่อปราณสวรรค์ของพวกเขามาถึงระดับที่ 3 และสำหรับมณี 2 ดวงถัดไปนั้นต้องการปราณสวรรค์เพียง 2 ระดับเพื่อปลุกพวกมันขึ้นมา อย่างไรก็ตาม หลังจากดวงที่ 3 เป็นต้นไป มณีแต่ละดวงก็จะต้องใช้พลังปราณสวรรค์ 3 ระดับเพื่อปลุกพวกมันขึ้นมา จนกระทั่งครบ 9 ดวง
อย่างไรก็ตาม จ้าวมณีสวรรค์อย่างพวกเรานั้นต้องการปราณสวรรค์ที่มากกว่าจ้าวมณีทั่วๆ ไปเพื่อส่งพลังให้มณีสวรรค์ของเรา”
“จ้าวมณีสวรรค์ต้องการพลังปราณสวรรค์ระดับ 4 เพื่อปลุกมณีดวงแรก นี่คือเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงรู้ว่าเจ้ามีพลังปราณสวรรค์อยู่ในระดับที่ 4 แน่นอนว่าหลังจากนั้น มณีสวรรค์ทุกดวงก็ยังคงต้องการปราณสวรรค์ 4 ระดับเพื่อปลุกมันขึ้นมา สิ่งที่ข้าจะพูดก็คือ สำหรับเราจ้าวมณีสวรรค์ พวกเราจำเป็นต้องมีปราณสวรรค์อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นบรรลุวิถี หรือก็คือระดับที่ 12 ของขั้นบรรลุวิถีก่อน จึงจะสามารถครอบครองมณีได้ครบทั้งหมด 12 ดวง นี่คือเหตุผลว่าทำไมจ้าวมณีสวรรค์จึงยากที่จะฝึกฝนสำเร็จ และกระบวนฝึกปราณของเรายังเรียกอีกอย่างว่า 12 มณีสวรรค์ผันชะตา หรือ มณีสวรรค์ผัน 12 ชะตา”
โจวเหว่ยชิงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ เขามีความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกอย่างที่เกี่ยวกับมณีสวรรค์ และขณะที่เขาฟังซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่นั้น เขาก็ไม่เคยละสายตาไปจากเธอเลย
เมื่อพูดถึงข้อนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็จุดไฟในตะเกียงน้ำมันที่เธอนำมาด้วย แสงสว่างส่องไปทั่วกระโจมที่มืดมิด เมื่อโจวเหว่ยชิงมองดูรูปร่างหน้าตาที่งดงามของเธอใกล้ๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะใจสั่น เขาอายุเพียง 13 ปี และยังควบคุมจิตใจตนได้ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าคืนก่อนเขาได้สร้าง “สายสัมพันธ์” ร่วมกับเธอมาแล้วด้วย ดังนั้นหัวใจของเขาจึงเต้นเร็วอย่างลิงโลด จิตใจก็ล่องลอยไปไกลราวกับตกอยู่ในภวังค์ โชคดีที่ความรู้เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์นั้นน่าดึงดูดสำหรับเขามาก นั่นทำให้เขาไม่ได้แสดงสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อไปว่า “ข้าตรวจสอบวิชาเทพอมตะของเจ้าก่อนหน้านี้แล้ว เจ้าบอกว่าคืนที่ผ่านมาเจ้าสามารถทะลวงจุดตายได้ถึง 4 จุด?”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้า
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วของเธอก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากเจ้าเลือกวิธีฝึกปราณสวรรค์ด้วยวิทยายุทธตามคัมภีร์นั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่สามารถฝึกแบบอื่นได้อีก ในเมื่อเจ้าใช้การฝึกวิทยายุทธตามวิชาเทพอมตะไปแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะฝึกต่อไป ซึ่งการฝึกแบบนี้มีความพิเศษมาก แต่ก็ค่อนข้างอันตรายด้วย”
“เอ๋? ข้าเปลี่ยนวิธีการฝึกปราณไม่ได้งั้นหรือ” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะตอบ “ใช่ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก แม้ว่าวิธีนี้จะลำบากไปเสียหน่อย แต่ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือการทำลายจุดตายแรก ซึ่งเจ้าก็ได้ทะลวงไปแล้วถึง 4 จุด ดังนั้นข้าเชื่อว่าสิ่งที่ตามมาน่าจะค่อนข้างง่ายกว่า ยิ่งไปกว่านั้น หากสิ่งที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้เป็นจริง ไข่มุกสีดำที่เจ้ากลืนเข้าไปก่อนหน้านั้นก็ย่อมสามารถปกป้องเจ้าได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนที่เจ้าฝึก มันก็เป็นธรรมดาที่ขั้นต่อไปจะยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อระดับของเจ้าสูงขึ้น เจ้าก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดให้กำลังใจตนเอง “ข้าจะพยายามอย่างหนักและฝึกต่อไปขอรับ!!!” ในที่สุดโอกาสของเขาก็มาถึง และเขาสาบานว่าเขาจะไม่กลับไปเศษสวะอีก!!!!
………………………………………………..
[1] สำนวน 偷鸡摸狗 แปลตรงตัวว่า ขโมยไก่ไล่เตะหมา หมายถึง การก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ