บทที่ 45 เพียงแค่เงินเยอะ + บทที่ 46 ความคิด Ink Stone_Romance
บทที่ 45 เพียงแค่เงินเยอะ
ทว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่พวกนางคุยกันอยู่ตอนนี้ เฉียวเทียนช่างก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา หากทุกสิ่งยังดำเนินไปเช่นนี้ คงจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเป็นแน่
หลังจากไตร่ตรองดู เฉียวเทียนช่างหันไปมองกำแพงบ้านซึ่งอยู่ติดกัน ก่อนสาวเท้าออกไป
เขาเดินไปที่บ้านของหนิงเมิ่งเหยา เฉียวเทียนช่างรู้สึกค่อนข้างเคอะเขินเล็กน้อยยามเมื่อก้าวเท้าเข้าไปด้านใน เขารู้ว่าหนิงเมิ่งเหยาเห็นเขาแล้วและปล่อยให้เขาเข้ามา
“ท่านต้องการสิ่งใดหรือ?” เมื่อสักครู่นางเห็นเฉียวเทียนช่างอยู่ด้านนอก เขามีท่าทางราวกับอยากจะบอกอะไรสักอย่างกับนาง หากแต่เขินอายเกินกว่าจะเข้ามา
“เจ้าวางแผนจะจัดการกับพวกหยางชุ่ยอย่างไร?” เฉียวเทียนช่างอยากรู้ความคิดของนาง
หากเรื่องยังดำเนินไปเช่นนี้ คนที่จะประสบพบเจอกับโชคร้ายก็คงหนีไม่พ้นตัวนางเอง
หนิงเมิ่งเหยาชะงักและจ้องมองเฉียวเทียนช่างด้วยความสงสัย “ท่านถามทำไมหรือ? ท่านกลัวว่าข้าจะทำอะไรกับหยางชุ่ยหรืออย่างไร?”
เฉียวเทียนช่างนึกไม่ถึงว่าเมื่อหนิงเมิ่งเหยาได้ยินคำถามของเขาแล้ว สิ่งแรกที่นางคิดถึงจะเป็นเรื่องนี้ เขาส่ายศีรษะอย่างจนใจ “ไม่ใช่เช่นนั้น นางจะไปมีความสัมพันธ์อันใดกับข้ากันเล่า? ข้ามาที่นี่เพื่อเตือนเจ้าว่าให้ระวังตัวเอาไว้เสีย มารดาของหยางชุ่ยนั้นมิใช่คนจิตใจดี หากเจ้าต่อต้านนาง ผู้ที่จะได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ก็คือตัวเจ้าเอง”
หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างอย่างแปลกใจ นางรู้สึกว่าชายผู้นี้ช่างเป็นคนที่ประหลาดนัก เหตุใดจู่ ๆ จึงมาหาและกล่าวเตือนนางเช่นนี้กัน?
“หากพวกเขาคิดจะทำการใดกับเจ้านั้น แม้เจ้าอาจจะไม่ได้เห็นเขาเหล่านั้นในสายตา แต่พวกเขาไม่ได้เป็นเช่นเจ้า ในสายตาของพวกเขานั้นเจ้าก็เป็นเพียงผู้ที่มีเงินทองเท่านั้น ไม่สามารถทำอะไรผู้อื่นได้ โดยเฉพาะยิ่งเจ้าเป็นเพียงเด็กกำพร้าด้วยแล้ว” เฉียวเทียนช่างดูราวกับเข้าใจในสิ่งที่หนิงเมิ่งเหยากำลังคิดอยู่ เขาจ้องหนิ่งเมิ่งเหยาด้วยสายตาจริงจังพลางเอ่ย
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้นางไม่เคยเอาเรื่องนี้มาใส่ใจนัก แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวเทียนช่าง ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นดังที่เขากล่าวจริงๆ
ถึงแม้ว่านางจะให้ความช่วยเหลือแก่หมู่บ้านและพยายามทำตัวกลมกลืนเพียงใด แต่ถ้าหากชาวบ้านอยากจะต่อต้านนางขึ้นมา ก็ยังคงมีโอกาสว่าจะเกิดขึ้นได้
เหมือนดังที่เฉียวเทียนช่างกล่าว ในสายตาของพวกเขานางก็เป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าซึ่งมีเงินทอง แต่ไร้ซึ่งพลังอันใด
แม้มังกรผู้แข็งแกร่งก็มิอาจกดดันงูซึ่งอยู่บนผืนดินได้ นี่เป็นคำกล่าวที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ในคราแรกเมื่อนางมาถึงที่แห่งนี้นั้น นางเพียงแค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องบอกกับผู้คนว่านางจะไปไหน
บัดนี้เมื่อลองตรองดู ดูเหมือนว่านางเองก็ควรจะเปลี่ยนความคิดของตนบ้างเสียแล้ว ความต้องการที่อยากจะใช้ชีวิตอันสุขสบายไปเรื่อยๆ นั้น สิ่งที่นางจะต้องมีคือพลังและอำนาจซึ่งสามารถำให้ทุกคนหวาดกลัวนางได้
เมื่อทำให้ผู้คนกลัวได้ นางก็จะสามารถทำให้พวกเขาเอาผิดนางไม่ได้ และในตอนนั้น แม้ว่าจะมีใครบางคนต้องการขัดขวางนาง ก็จะไม่มีผู้ใดเข้าข้างหรือพร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยคนผู้นั้น
การกดขี่ขาดปากเสียง ทำให้ผู้คนลังเลในการลงมือ ไม่ว่าใครก็เข้าใจถึงเหตุผลข้อนี้กันทั้งนั้น
ชาวบ้านที่นี่นั้นยังไม่ได้รับการศึกษา แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะไม่ค่อยมีอะไรมากนัก แต่พวกเขาก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์และซื่อตรง
เมื่อเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยาเงียบไป เฉียวเทียนช่างก็รู้สึกสงสัย “เจ้าคิดอะไรอยู่?”
“แค่คิดว่าจากนี้ข้าควรทำอะไร” หนิงเมิ่งเหยายักไหล่
นางควรจะทำการใหญ่ในสิ่งที่นางต้องการ แต่ต้องไม่ให้หลิงหลัวระแคะระคายจนมาเยี่ยมเยือนถึงที่นี่
ก่อนอื่นนางจะต้องขบคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนเสียก่อน
เมื่อไตร่ตรองเรื่องนี้ หนิงเมิ่งเหยาก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน
“ในเมื่อเจ้ามีความคิดเป็นของตัวเองแล้วก็ดี ข้าเองนั้นก็ไม่สะดวกที่จะช่วยเจ้าในเรื่องนี้เสียด้วย หากข้าพูดอะไรออกไป คนพวกนั้นก็มีแต่จะยิ่งวุ่นวายขึ้น เจ้าควรระวังเอาไว้ด้วย แต่ข้าจะช่วยเจ้าเมื่อถึงยามจำเป็น” เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาจริงจังพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงต่ำๆ ของเขา
เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเขาอย่างใหญ่หลวงแล้วก็เป็นความผิดของเขาเช่นกัน ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะเขา ชีวิตของหนิงเมิ่งเหยาก็คงจะสงบราบรื่นเหมือนเก่า หนำซ้ำยังไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้อีกด้วย
“ข้ารู้แล้ว ขอบคุณที่มาบอกข้า”
“ไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นข้าไปล่ะ” เขากล่าว หมุนตัวและกลับออกไป
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วเมื่อมองดูร่างของเฉียวเทียนช่างซึ่งเดินจากไป ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาด แต่ประหลาดเช่นใดนั้น นางก็ไม่สามารถบอกได้
นางหันหลังและเดินกลับเข้าไปในห้อง หนิงเมิ่งเหยานั่งคิดพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในลานบ้าน นางควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีนะ?
หากนางผลีผลามลงมือแล้วล่ะก็ หลิงหลัวเป็นอันได้มาเคาะประตูหน้าบ้านของนางในเร็ววันนี้แน่นอน แล้วถ้าหากเป็นเช่นนั้น ชีวิตของนางคงพังไม่เป็นท่า และนางเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีทางใดที่นางสามารถทำได้นอกจากทางนี้อีกแล้ว
บทที่ 46 ความคิด
หนิงเมิ่งเหยาจ้องมองแปลงผักด้วยความเงียบงัน หากนางไม่สามารถนำวิธีการจากยุคสมัยใหม่มาลงมือที่นี่ได้ ถ้าเช่นนั้น… การเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่คงจะไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่นัก
คิดได้ดังนั้น หนิงเมิ่งเหยาก็หัวเราะออกมา บางทีนางอาจจะลองเปิดร้านขายของดู
พอมีแผนการในหัว หนิงเมิ่งเหยาก็บิดขี้เกียจ นางใส่กุญแจบ้านและเดินออกไปข้างนอก
เมื่อนางมาถึงบ้านของหยางจู้ หยางเล่อเล่อและนางเฉียวนั้นกำลังปักผ้ากันอยู่ตรงลานบ้าน ทั้งสองดูมีความสุขเปี่ยมล้น
“เหยาเหยา ในที่สุดก็มาเยี่ยมกันเสียที” หยางเล่อเล่อวางผ้าปักในมือลงก่อนคว้าแขนของหนิงเมิ่งเหยาพลางพูดด้วยสีหน้าเหมือนจะบอกว่านางทำอะไรผิด
ใบหน้าอันน่าสงสารนั้นทำให้หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เด็กคนนี้นี่จริงๆ เลย…
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้นางไม่ยอมให้หยางเล่อเล่อมาหาที่บ้านด้วยเพราะยังมีเรื่องของนางเฉินอยู่ ขนาดเวลาที่เด็กๆ จะเรียนหนังสือนั้นก็ยังลดน้อยลงด้วย
“ข้ารู้ว่าเจ้าเบื่อ” หนิงเมิ่งเหยายิ้ม
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หยางเล่อเล่อก็ซุกหน้าลงและจ้องมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างเศร้าสร้อย “เจ้ายังจะมาหัวเราะอยู่อีก เจ้าวางแผนจะจัดการกับเรื่องครอบครัวของหยางชุ่ยอย่างไรหรือ”
นางไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมคนพวกนั้นจึงต้องมาหาเรื่องเหยาเหยาที่เป็นคนดีขนาดนี้ด้วย? หยางเล่อเล่อไม่ชอบใจเลยสักนิด
“ไม่มีอะไร คงไม่มีปัญหาใหม่ตามมาอีกแล้วล่ะ อ้อ จริงสิ ลุงหยางอยู่บ้านหรือเปล่า?” เมื่อนึกถึงสาเหตุที่เธอมาที่นี่ออก หนิงเมิ่งเหยาก็ถามกับหยางเล่อเล่อด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อออกไปทำธุระน่ะ เจ้าถามหาท่านทำไมหรือ?”
“ข้ามีบางอย่างอยากปรึกษาน่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอท่านลุงกลับมาก็แล้วกัน” หนิงเมิ่งเหยายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็ได้”
หนิงเมิ่งเหยานั่งลงข้างๆ พลางมองหญิงสาวทั้งสองปักผ้ากันต่อ ริมฝีปากของนางหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม บัดนี้นางเฉียวเองก็เริ่มฝึกการปักผ้าตามน้องสามีบ้างแล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่สะใภ้ของตน หยางเล่อเล่อนั้นไม่เพียงทำตัวได้เป็นที่น่าพอใจ หากแต่ยังมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปให้ผู้อื่นอีกด้วย
ทั้งสามพูดคุยและปักผ้าร่วมกัน หลังจากนั้นราวหนึ่งก้านธูป หยางจู้ก็กลับมาพร้อมกับสีหน้าอันเหนื่อยล้า
“ท่านพ่อกลับมาแล้ว”
“ลุงหยาง”
เมื่อหยางจู้เห็นว่าหนิ่งเมิ่งเหยาเองก็อยู่ที่นี่ด้วย ใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เหยาเหยามาเยี่ยมรึ ว่าแต่วันนี้เจ้ามาทำไมกันล่ะ”
“ข้าว่าจะมาหาลุงหยางเพื่อซื้อที่ดินสักหน่อย”
“ซื้อที่ดิน? เจ้าจะซื้อที่ดินไปทำอะไร?” หยางจู้มองหนิงเมิ่งเหยาด้วยความตกใจ
นางดูไม่เหมือนคนที่จะปลูกอะไรเป็นเลยสักนิดเดียว แล้วจู่ๆ นางจะมาซื้อที่ดินไปทำไมกัน? นี่มันเหนือจากความคาดหมายของเขาไปไกลนัก
หยางเล่อเล่อเองก็มองหนิงเมิ่งเหยาอย่างตกตะลึง สีหน้าของนางนั้นราวกับเห็นผี
“ใช่แล้ว ข้าอยากจะซื้อที่ดิน อาจจะใช้เพื่อการส่วนตัวหรือไม่ก็เพื่อปล่อยเช่า” หนิ่งเมิ่งเหยาแย้มยิ้มพลางอธิบายสาเหตุไปแบบส่งๆ
หยางจู้ลองใคร่ครวญดู จะว่าไปก็เข้าท่า อย่างไรเสียก็ถือว่าเป็นรายได้อย่างหนึ่ง
“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น เจ้าตั้งใจว่าจะซื้อที่ดินจำนวนเท่าไหร่หรือ?”
“ในหมู่บ้านมีที่ดินว่างอยู่เท่าไหร่หรือ” หนิ่งเมิ่งเหยาครุ่นคิด สายตาจับจ้องอยู่ที่หยางจู้
หยางจู้มองหนิงเมิ่งเหยากลับอย่างทำอะไรไม่ถูก “รอบๆ บ้านของเจ้าก็มีที่ดินว่างอยู่หลายสิบหมู่แล้ว”
“ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?”
“เกิดจากการที่คนทั้งตระกูลไปละเมิดข้อบังคับบางอย่างเข้าเลยถูกยึดที่ดินไปน่ะ แล้วที่ดินพวกนั้นก็เลยต้องนำมาเวียนจ่ายใหม่อีกครั้ง นี่เป็นสิ่งที่ข้าไปทำมาวันนี้ ตอนแรกข้ากะจะบอกเรื่องนี้ให้ชาวบ้านได้รู้อยู่เหมือนกัน แต่ถ้าหากเจ้าต้องการ ข้าก็ยกให้เจ้าไปเลยก็ได้” หยางจู้สั่นศีรษะ ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เขามักจะต้องยุ่งจนหัวปั่นอยู่เสมอ แม้จะยุ่งมากแค่ไหน แต่ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้อะไรกลับมาอยู่ดี
หากผู้มาขอซื้อได้ที่ดินคุณภาพเยี่ยมไป นั่นมันก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากที่ดินที่ได้ไปนั้นเป็นที่ดินคุณภาพต่ำแล้วละก็ เพียงละอองน้ำลายไม่กี่หยดก็คงทะลักท่วมเขาจนตาย
เรื่องพรรค์นี้มันกินแรงเขามากเหลือเกิน ถ้าหากไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากจะหลับหูหลับตาเข้าไปยุ่งเกี่ยวสักเท่าใดนัก
หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิด การทุบประตูบ้านตัวเองมันก็คงจะไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก แล้วอีกอย่าง ที่ดินเหล่านี้ก็อยู่ใกล้ด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็พยักหน้าเป็นการตกลง “ถ้าเช่นนั้นได้โปรดยกให้ข้าเถิด ท่านลุงหยาง ช่วยชี้แจงรายละเอียดให้ข้าฟังได้หรือไม่”
หยางจู้พยักหน้าแล้วเริ่มต้นอธิบาย ที่ดินผืนนี้นั้นมีบริเวณที่เป็นดินซึ่งดูดซับน้ำได้อย่างดีอยู่จำนวนยี่สิบหมู่ อีกสิบห้าหมู่นั้นอยู่ในระดับปานกลาง ที่ดินคุณภาพระดับต่ำลงมานั้นมีอยู่ห้าหมู่ ส่วนตรงที่เป็นแผ่นดินแห้งแล้งและภูเขานั้นรวมกันได้สามสิบห้าหมู่ ถึงแม้ว่าที่ดินซึ่งมีอัตราการดูดซึมน้ำได้ดีนั้นจะมีราคาแพงกว่า แต่การจะซื้อที่ดินทั้งหมดนั้นจะต้องจ่ายเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
“ที่ดินตรงที่ซับน้ำราคาหมู่ละแปดตำลึงเงิน คุณภาพระดับกลางหกตำลึงเงิน คุณภาพต่ำสุดนั้นสี่ตำลึงเงิน ส่วนตรงภูเขาและที่ดินแห้งแล้งราคาเดียวกันคืออย่างละสองตำลึงเงิน แม่หนูเมิ่งเหยา เจ้าอยากจะซื้อจริงๆ หรือ?” หยางจู้จ้องมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างคลางแคลงใจ และกล่าวด้วยความเป็นห่วง
“ใช่แล้ว ข้าจะซื้อ ราคาทั้งหมดเป็นจำนวนสามร้อยสี่สิบตำลึงเงินสินะ ท่านลุงช่วยข้าจัดการเรื่องเอกสารสิทธิ์ได้หรือไม่? ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนั้นสักเท่าใดนัก” หนิงเมิ่งเหยามีท่าทีเคอะเขิน นางไม่เคยทำเรื่องอย่างนี้มาก่อน และครั้งนี้ก็ถือเป็นครั้งแรกของนางจริงๆ